ตอนที่ 181 ปัญหาของคุณหนูใหญ่
เพียงชั่วพริบตา เวลาก็ล่วงเลยเข้าสู่เดือนสิบ ซึ่งเหรินเหรินกำลังจะได้ฉลองวันเกิดครั้งที่ 2 อย่างเป็นทางการ ต่อให้เขาจะมีอายุครบ 2 ขวบแล้วก็ตาม
หนูน้อยเหรินเหรินในวัย 2 ขวบ รู้สึกว่าตนเป็นผู้ใหญ่และมีเหตุผลมากขึ้นกว่าเดิม ตอนนี้เป็นช่วงวัยที่ฉีฉีกำลังซุกซน เขาทั้งคลานและปีนป่ายไปทั่วทุกที่ เพียงแค่ซูตานหงเผลอไผล เขาก็สามารถคลานออกไปจนคลาดสายตาได้ในทันที
เด็กน้อยชอบคลานออกไปเล่นกับต้าเฮยที่คอกสุนัขเป็นพิเศษ พฤติกรรมนี้ถอดแบบมาจากพี่ชายของเขาไม่มีผิด
ต้าเฮยนั้นตามใจเด็ก ๆ มาก ในตอนแรกเหรินเหรินก็เป็นแบบนี้ เขาเคยปีนป่ายขึ้นไปและดึงขนของต้าเฮย สร้างความเจ็บปวดให้แก่มันในบางครั้ง แต่สุนัขตัวนี้ก็ไม่เคยตอบโต้ใด ๆ
แต่ตอนนี้เหรินเหรินโตแล้ว เขาเป็นเด็กที่มีเหตุผล เมื่อเห็นว่าน้องชายกำลังสร้างปัญหา จึงรีบเข้าไปเกลี้ยกล่อม “ต้าเฮยเจ็บนะ นายปล่อยมือก่อน เดี๋ยวพี่ชายจะพาไปกินของอร่อย ๆ”
“แอ๊ ๆ!”
ฉีฉีร้องโวยวายใส่เขา แต่ก็ยังไม่ยอมปล่อยมือจากขนของต้าเฮย
“ลูกพลับแห้งอร่อยมากเลยนะ นายยังไม่ได้กินเลยนี่” เหรินเหรินยังคงเกลี้ยกล่อม
ไม่รู้ว่าฉีฉีเข้าใจหรือไม่ แต่สุดท้ายก็ยอมปล่อยมือจากต้าเฮย เหรินเหรินอยากอุ้มเขาไว้ แต่น้องชายไม่ยอมให้ความร่วมมือ จึงได้แต่ปล่อยให้เขาคลานกลับไปเอง
“แอ๊ ๆ!”
เมื่อกลับเข้ามาในบ้าน ฉีฉีก็ร้องเรียกเขา ดวงตาสีดำกลมโตฉายแววฉลาดรอบรู้
“นายเพิ่งไปจับต้าเฮยมา คุณย่ากับพี่สาวบอกว่าเล่นกับต้าเฮยได้ แต่จะยังกินอะไรไม่ได้จนกว่าจะล้างมือเสร็จ” เหรินเหรินพูด
ฉีฉีเริ่มไม่พอใจที่พี่ชายไม่ยอมให้ของกินตามที่สัญญาไว้ เขาเริ่มหายใจฮึดฮัดและกำลังจะแผดเสียงร้องไห้ออกมา เหรินเหรินที่รู้จักนิสัยของน้องชายตัวเองดี จึงรีบวิ่งออกไปหยิบผ้าเช็ดมือ พร้อมกับนำลูกพลับแห้งมาด้วยอีกครึ่งชิ้น
เขาไม่ได้ป้อนลูกพลับแห้งทั้งหมดให้น้องชาย เพียงแต่แบ่งให้ชิมเท่านั้น เนื่องจากแม่ของเขาเคยบอกว่าตอนนี้น้องชายยังกินลูกพลับแห้งมากไม่ได้
แม้จะไม่ใช่เด็กที่ว่าง่ายนัก แต่ด้วยวัยนี้ของเขา ฉีฉีจึงพอใจอย่างมากเมื่อได้ลิ้มรสลูกพลับแห้ง
เมื่อซูตานหงออกมาจากห้องครัวก็เห็นว่าสองพี่น้องกำลังมีช่วงเวลาที่ดีด้วยกัน
“เหรินเหรินดูแลน้องหน่อยนะ แม่จะทำขนมไข่อร่อย ๆ ให้กิน” ซูตานหงพูดกับลูกชาย
“ได้ครับ” เหรินเหรินตอบรับ พร้อมกับรั้งน้องชายที่กำลังจะโผเข้าหาอ้อมกอดแม่
ฉีฉีไม่พอใจทันทีที่ซูตานหงยังคงยุ่งจนไม่สนใจเขา เหรินเหรินจึงเข้าไปเกลี้ยกล่อมน้องชาย “น้องชายของพี่ ตอนนี้คุณแม่กำลังทำขนมไข่หอม ๆ อร่อย ๆ ถ้าเสร็จแล้วน้องก็จะได้กินนะ”
“ชิ ๆ!” ฉีฉียอมสงบลงแต่ยังคงส่งเสียงฟึดฟัดใส่เขา
“หายโกรธแล้วจะได้กิน”
“ชิ!”
“กิน”
“…”
หลังจากที่ฉีฉีงอแงอยู่พักหนึ่ง เขาเริ่มง่วงนอนขึ้นมาเล็กน้อย เมื่อถูกความง่วงงุนเข้าเล่นงาน เด็กชายจึงทิ้งตัวลงนอนบนพื้นตามลำพัง เนื่องจากเป็นพื้นพรมที่ไม่หนาวเย็น ดังนั้นเหรินเหรินจึงเอาผ้าห่มผืนเล็กมาห่มให้เขา
เมื่อเห็นว่าในที่สุดน้องชายของเขาหยุดสร้างปัญหาและผล็อยหลับไปแล้ว เหรินเหรินก็โล่งใจเป็นอย่างมาก เขารู้สึกว่าน้องชายของเขาดื้อรั้นเหลือเกิน
แต่เมื่อเขาเปรยเรื่องนี้กับผู้เป็นพ่อ เขาก็ได้พบกับความจริงอันน่าสะพรึงเป็นอย่างมาก พ่อบอกว่าเมื่อตอนที่ยังเป็นเด็กเขาก็ทำแบบเดียวกัน เหรินเหรินคิดว่ามันเป็นเรื่องน่าเหลือเชื่อ แต่สิ่งที่พ่อของเขาพูดไม่น่าจะเป็นเรื่องโกหก
ในไม่ช้าซูตานหงก็กลับมาพร้อมขนมไข่หนึ่งจานและนมมอลต์อีกหนึ่งแก้ว
“น้องชายหนูหลับอยู่เหรอจ๊ะ?” ซูตานหงมองดูเขาด้วยรอยยิ้ม
“ในที่สุดก็หลับไปแล้วครับ” เหรินเหรินพยักหน้า เขารู้สึกว่าชีวิตของผู้เป็นแม่ไม่ง่ายเลยจริง ๆ จากคำบอกเล่าของพ่อ ตอนที่ยังเป็นเด็กเขามักจะร้องไห้เสียงดังอยู่เสมอ
“งั้นระหว่างที่น้องชายกำลังหลับ เรามากินขนมกันสักหน่อยดีไหม?” ซูตานหงถาม
“ดีครับ” เหรินเหรินเม้มปากและยิ้ม “แต่ผมสัญญากับน้องชายเอาไว้ว่าจะเก็บขนมไข่ไว้ให้เขา”
“ถ้าอย่างนั้นก็เก็บให้เขา 1 ชิ้น”
สองแม่ลูกกินขนมด้วยกันอย่างเอร็ดอร่อย
หลังจากกินขนมเสร็จเหรินเหรินก็เริ่มง่วงเล็กน้อย ดังนั้นซูตานหงจึงปล่อยให้เขาหลับ และอุ้มสองพี่น้องไปนอนบนเตียงเตา* ก่อนจะออกไปดูดอกสายน้ำผึ้งที่แขวนอยู่
*เตียงเตา คือ เตียงหรือแท่นที่ก่อด้วยอิฐ ด้านล่างมีปล่องเตาเพื่อจุดให้ความอบอุ่น ด้านบนจะปูด้วยฟูกหรือเบาะรองนั่ง พบมากในบ้านเรือนของชาวจีนทางเหนือซึ่งมีอากาศหนาวเย็น
ดอกสายน้ำผึ้งนี้ถูกปลูกไว้บนภูเขาโดยไม่ได้ตั้งใจนักร่วมกับพืชสมุนไพรตัวอื่น ๆ ที่สามารถใช้ทำยาได้ทั่วไป เธอใช้น้ำพุวิเศษรดน้ำไปบ้างเป็นครั้งคราว และมันก็เติบโตได้ดีมาก
ดอกสายน้ำผึ้งเกือบจะบานเต็มที่แล้ว ซูตานหงจึงเก็บมันกลับมา ตอนนี้จี้เจี้ยนอวิ๋นงานยุ่งมาก แม้ว่าเธอจะคอยดูแลเขาเป็นอย่างดี แต่สามีของเธอมักจะเป็นร้อนในได้ง่าย
ดอกสายน้ำผึ้งมีฤทธิ์ช่วยลดความร้อนได้ดี ซูตานหงจึงนำมันมาต้มให้เขาดื่มตอนกลับมาจากทำงาน
จี้เจี้ยนอวิ๋นถูกอาการร้อนในเข้าจู่โจมแล้ว เขาไม่เคยมีสิวมาก่อน แต่เมื่อไม่กี่วันมานี้ เขาเพิ่งบีบสิวออกจากคางและหน้าผากไปบ้างเล็กน้อย
การสร้างอ่างเก็บน้ำเป็นไปอย่างราบรื่น เขาวางแผนจะสร้างมันเพิ่มอีกครั้งในปีหน้า ตอนนี้เขาได้ล้อมอ่างเก็บน้ำด้วยรั้วลวดหนามอย่างรัดกุม เขากำลังยุ่งอยู่กับการจัดซื้อลูกปลาและเพิ่งได้ติดต่อกัน ไม่รู้ว่าด้วยเหตุผลใด เขาจึงเกิดอาการร้อนในขึ้นมา
เมื่อกลับมาถึงบ้านในค่ำวันนั้น เขาก็เห็นน้ำดอกสายน้ำผึ้งที่ภรรยาเตรียมไว้ให้
“รีบดื่มเถอะค่ะ ดูสิว่าตอนนี้หน้าคุณเป็นยังไง” ซูตานหงเทน้ำแก้วใหญ่ให้เขา
“ภรรยา ไม่ใช่เพราะคุณหรอกเหรอที่ทำให้ผมเป็นแบบนี้?” จี้เจี้ยนอวิ๋นถาม
“เป็นเพราะฉันตรงไหนกัน คุณเต็มใจจะทำงานหนักแบบนี้เองนะคะ” ซูตานหงพูดด้วยน้ำเสียงขุ่นเคือง
“ภรรยา ถ้าอย่างนั้นคืนนี้พวกเราทำได้ไหมครับ?” จี้เจี้ยนอวิ๋นเทน้ำดอกสายน้ำผึ้งใส่แก้วแล้วจ้องมองไปยังภรรยาของเขา
“พรุ่งนี้คุณมีงานต้องทำนะคะ” ซูตานหงแย้ง
ช่วงนี้เขายุ่งมาก เธอห่วงว่าเขาจะหมดแรงจึงงดกิจกรรมบนเตียงอย่างเด็ดขาด ไม่นึกว่าเขาจะกังวลเรื่องนี้
“วันพรุ่งนี้ผมงานไม่ยุ่ง ผมตั้งใจจะพักผ่อนอยู่บ้านกับพวกคุณแม่ลูก” จี้เจี้ยนอวิ๋นรีบบอกถึงความตั้งใจของตัวเองทันที
“แค่ครั้งเดียวนะคะ” ซูตานหงโอนอ่อนผ่อนตาม
จี้เจี้ยนอวิ๋นยิ้มหน้าระรื่น ดวงตาเป็นประกายวาววับ ซูตานหงจึงยิ้มออกมาด้วยความเขินอาย และต่อว่าเขาไปหนึ่งคำ “หน้าไม่อาย”
สามีที่ถูกต่อว่าได้ทำให้เธอรู้ว่าผู้ชายของเธอหน้าไม่อายอย่างไรในตอนกลางคืน
รับปากกันไว้ดิบดีว่าแค่ครั้งเดียว แต่ตอนนี้เขาจับเธอพลิกไปพลิกมาถึงสามครั้ง
ท่ามกลางอากาศหนาวเย็นยามค่ำคืน ซูตานหงกลับเหงื่อท่วมตัว!
ทว่าจี้เจี้ยนอวิ๋นรู้สึกอิ่มเอมใจเป็นอย่างมาก เมื่อตื่นขึ้นมาในวันรุ่งขึ้น ซูตานหงรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าสามีของเธอไม่ได้เป็นร้อนในจริง ๆ
เป็นไปได้ไหมว่าจริง ๆ แล้วเป็นเพราะต้องทนอดกลั้น? ในชาติที่แล้วเธอไม่ได้เก่งเรื่องทักษะความรู้ จึงไม่รู้ว่าสามีของเธอสามารถอดกลั้นได้หรือไม่?
แม้คำพูดของจี้เจี้ยนอวิ๋นจะเชื่อถือไม่ได้ยามอยู่บนเตียง แต่นอกเหนือจากนั้นเขาพูดจริงทำจริงเสมอ วันนี้ทั้งวันเขาไม่ได้ออกไปไหนเลยตามที่พูด
“ภรรยา เมื่อวานผมไปดูมาแล้วนะครับ ถ้าอาหารดีขึ้น หมูบนภูเขาของพวกเราจะถูกเลี้ยงจนถึงปีใหม่ แล้วก็ขายหมดแน่นอนครับ” จี้เจี้ยนอวิ๋นกล่าว
อาหารหมูที่ครอบครัวเขาเลี้ยงน่าจะต้องปรับปรุง วันนี้ก็เช่นกัน หวังต้ากังกับคุณลุงจี้กำลังทำอาหารให้หมูอยู่ ในตอนนี้พวกเขาต่างงานยุ่งมาก ด้วยมีหมูต้องเลี้ยงถึง 21 ตัว ปริมาณการกินอาหารของพวกมันนั้นจึงไม่ใช่เรื่องเล่น ๆ เลย
“เป็นเรื่องปกติที่จะขายได้ค่ะ อีกแค่ครึ่งปีก็จะถึงปีใหม่แล้ว” ซูตานหงพูด
เพราะที่นั่นมีกลิ่นไม่พึงประสงค์ค่อนข้างแรง เธอจึงไม่ค่อยไปเยือนบ่อยนัก ถึงแม้จะขึ้นไปบนเขาแต่ก็แค่ไปรดน้ำต้นกล้าผลไม้ ไม่ค่อยเดินผ่านคอกหมูเท่าไร
ไม่ต้องพูดถึงแค่คอกหมู แม้แต่เล้าไก่ในสวนตอนแรกเธอยังไม่เข้าไปด้วยซ้ำ
ปัญหาอื่น ๆ ยังพอแก้ไขได้ แต่เรื่องนี้คุณหนูใหญ่เช่นเธอไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้จริง ๆ
……………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
ฉีฉีโตขึ้นไปจะดื้อไหมเนี่ย ตอนเด็ก ๆ ดื้อมากเลย
แหม่ ร้อนรุ่มมากกว่าละมั้งพี่จี้ อาการแบบนี้ไม่น่าใช่ร้อนในนะ
ตานหงสมกับเป็นคุณหนูสูงศักดิ์โดยแท้ ให้ทำอย่างอื่นพอไหว แต่ถ้าให้ทำอะไรเกี่ยวกับมูลสัตว์ไม่น่าจะไหว
ไหหม่า(海馬)