บทที่ 196 ทิวทัศน์เขียวขจี จิตใจกลับคลุมเครือ

ตื๊อรักแพทย์หญิง ฉบับท่านอ๋อง

ต่อมาหลินชิงเวยนั่งแปะลงกับพื้นมองดูเซียวเยี่ยนฝึกและให้อาหารนกพิราบเหล่านั้น เขาออกคำสั่งอย่างเป็นระบบระเบียบ เหล่านกพิราบล้วนเคลื่อนไหวตามคำสั่งของเขา ประเดี๋ยวบินขึ้น ประเดี๋ยวหยุดไม่เคยรับคำสั่งผิดพลาด หลินชิงเวยจำได้ว่าเมื่อก่อนนางเคยดูคลิปเกี่ยวกับการฝึกเลี้ยงสัตว์ นกพิราบจะไวต่อทิศทางและสีสันอย่างที่สุด เมื่อผู้ฝึกสัตว์ให้อาหารพวกมันจะใช้สีสันมาออกคำสั่ง ทว่าเซียวเยี่ยนไม่จำเป็นต้องใช้สิ่งเหล่านี้ เขาอาศัยเพียงสัญญาณมือและการผิวปากที่สูงต่ำต่างกันก็สามารถฝึกพวกมันได้แล้ว

หลินชิงเวยหรี่ตาเงยหน้ามองเงาร่างของเขา เงาของเขาที่สะท้อนบนสนามหญ้าดูสูงยิ่ง นางถามขึ้นว่า “ในเมื่อท่านเองสามารถฝึกพวกมันได้ดีเช่นนี้ ยังจะเรียกข้ามาฝึกเพื่ออันใดกัน”

เซียวเยี่ยนตอบทั้งที่ไม่ได้หันกลับมา “เปิ่นหวางไม่ได้มีเวลาทุกวัน” หยุดไปครู่หนึ่งจึงพูดต่อว่า “อีกทั้งพวกมันจดจำเจ้านายของมัน”

หลินชิงเวยตกตะลึง มิน่าเล่าพวกมันจึงสนิทชิดเชื้อเซียวเยี่ยนเช่นนี้ ทว่าเซียวเยี่ยนยังคงต้องการให้นางมารับช่วงต่อโดยสั่งให้นางชดใช้หนี้ แต่ในความเป็นจริงแล้ว…คือต้องการให้พวกมันจดจำนางในฐานะเจ้านายเช่นกันหรือ?

หลินชิงเวยหัวเราะอย่างไม่เห็นด้วย “ท่านบอกว่าพวกมันจดจำเจ้านาย เรียกข้ามาก็เป็นการเสียเวลาเปล่ากระมัง ความเชื่อใจเหล่านี้ข้ารู้ดี เมื่อพวกมันจดจำเจ้านายคนหนึ่งแล้วย่อมเปลี่ยนเจ้านายไม่ง่ายดาย”

“อืม เจ้าพูดถูกต้อง” เซียวเยี่ยนพูดเนิบๆ “แต่ไม่ได้หมายความว่าพวกมันจะจดจำเจ้านายเพียงคนเดียว พวกมันจดจำเจ้านายบุรุษคนหนึ่ง และยังจดจำเจ้านายสตรีคนหนึ่ง”

ยามนั้นไม่รู้ด้วยเหตุใด เงาร่างด้านของหลังเซียวเยี่ยน ท่าทางของเขา น้ำเสียงของเขา ล้วนทำให้หลินชิงเวยรู้สึกจิตใจสั่นไหวอย่างรุนแรง นางรู้สึกว่าความน้อยเนื้อต่ำใจในหนึ่งวันนี้ล้วนอันตรธานหายไปกับสายลมและเมฆหมอก จนทำให้รู้สึกไม่ยินยอมนัก

อึดใจต่อมาเซียวเยี่ยนถามเสียงเบาว่า “เจ้ายังไม่ได้กินข้าวหรือ”

หลินชิงเวย “เหตุใดท่านไม่ถามว่าข้าไม่ได้กินมื้อเที่ยงหรือมื้อเย็นเล่า”

เซียวเยี่ยนไม่ได้ตอบนาง เขาบีบริมฝีปากผิวปากเรียกนกพิราบกลับมา ให้พวกมันไปหยุดอยู่ในบ้านนก เซียวเยี่ยนเห็นขี้นก “วันนี้เจ้าไม่ได้ทำความสะอาดสิ่งนี้หรือ”

“…” หลินชิงเวยรู้สึกสติแตก “เหตุใดข้ายังต้องทำความสะอาดสิ่งเหล่านี้ด้วยเล่า”

“เจ้าเป็นเจ้านายของพวกมัน เจ้าไม่ทำความสะอาดแล้วผู้ใดจะทำเล่า?”

“ท่านก็เป็นเจ้านายของพวกมันเช่นกัน เหตุใดท่านจึงไม่ทำความสะอาด?” หลินชิงเวยพลันมีความกล้าหาญขึ้นมาในการโต้เถียงเรื่องการทำความสะอาดมูลนกเหล่านั้น

เซียวเยี่ยนเห็นนางนั่งโมโห ทว่าไร้เรี่ยวแรงอยู่บนพื้น จึงไม่โต้แย้งกับนาง เขาทำความสะอาดมูลนกเงียบๆ ให้เซ่อเจิ้งอ๋องของราชวงศ์มาทำเรื่องประเภทนี้ หากให้ผู้อื่นเห็นเข้าจะต้องตกตะลึงจนอ้าปากค้างเป็นแน่

ภายในสวนไป่โซ่วไม่ขาดแคลนแหล่งน้ำ ในอดีตสถานที่แห่งนี้เป็นสถานที่งดงามและเพียบพร้อมสมบูรณ์แห่งหนึ่ง เพื่อเป็นการสร้างแหล่งน้ำสะอาดให้กับสวนไป่โซ่วยังได้ต่อน้ำจากน้ำตกเข้ามา น้ำตกยังแบ่งออกเป็นลำธารเล็กๆ หลายสาย แบ่งให้ไหลออกเป็นสายซ้าย กลาง และขวา สามทิศทาง ยามนี้ข้างๆ สนามหญ้ามีสายน้ำไหลจากลำธารเล็กๆ สายหนึ่ง หลินชิงเวยและเซียวเยี่ยนล้างมือที่นั่น หลินชิงเวยคิดว่าน้ำในลำธารเย็นเหลือประมาณ นางถึงกับถอดรองเท้าไปเดินในแม่น้ำหลายเที่ยว ชายกระโปรงของนางถูกหยดน้ำที่กระเซ็นโดนเป็นจุดๆ

เซียวเยี่ยนยืนอยู่ริมลำธาร “อย่าดื้อ ควรกลับไปได้แล้ว”

หลินชิงเวยจึงขึ้นมาจากลำธารอย่างหักใจไม่ได้แล้วค่อยๆ สวมรองเท้าเดินตามเซียวเยี่ยนออกไป พวกเขาไม่ได้ใช้เส้นทางที่เดินเข้ามา เซียวเยี่ยนพานางเดินอ้อมในสวนไป่โซ่วรอบหนึ่ง ทัศนียภาพงดงามเหล่านี้ไม่ถูกคนนอกล่วงรู้ เถาวัลย์สีเขียวบนกำแพงขึ้นอย่างอิสรเสรี ดอกไม้ป่าข้างทางประชันขันแข่งกันบานสะพรั่ง อากาศภายในทั้งสดชื่นและชุ่มชื้น ทั้งหมดทั้งมวลนี้ทำให้จิตใจผ่อนคลายอย่างที่สุด

เซียวเยี่ยนเดินอยู่ข้างหน้า รูปร่างสูงใหญ่ของเขาเปิดทางให้กับหลินชิงเวย เส้นทางเหล่านี้ไม่มีผู้คนใช้มานานนับปี ด้วยเหตุนี้บนทางเดินจึงมีต้นหญ้าขึ้นคลุมพื้นที่ เซียวเยี่ยนไม่ได้เดินเร็วนัก ทางหนึ่งเดินไป อีกทางหนึ่งใช้ปลายเท้าเหยียบต้นหญ้าเหล่านั้น หลินชิงเวยที่ตามอยู่ด้านหลังจึงเดินไม่ลำบาก

“ก่อนหน้านี้…” เสียงของเซียวเยี่ยนทำลายความเงียบขึ้นมา

หลินชิงเวยราวกับรู้ว่าเขากำลังจะพูดอะไร จึงเอ่ยขัดจังหวะคำพูดของเขา “ไม่เอ่ยถึงเรื่องราวเลวร้ายเหล่านั้นได้หรือไม่”

เซียวเยี่ยนจึงไม่พูดจา

เดินไปๆ เซียวเยี่ยนหยุดเดินกะทันหัน ศีรษะของหลินชิงเวยชนเข้ากับกระดูกสันหลังบนแผ่นหลังของเขา ทัศนียภาพโดยรอบงดงามหลินชิงเวยจึงเอาแต่เงยหน้ามองซ้ายมองขวา ไม่ได้ระมัดระวังกำแพงสูงใหญ่ข้างหน้า หลินชิงเวยนวดจมูกของตนและถามว่า “ท่านหยุดเดินทำไมกัน”

เซียวเยี่ยนหันกลับมาก้มหน้ามองนาง “อยากดูนกยูงหรือไม่?”

หลินชิงเวยเพิ่งจะสังเกตเห็นว่าด้านข้างมีประตูบานหนึ่ง ด้วยกาลเวลาผ่านมาเนิ่นนาน ดังนั้นบนประตูล้วนมีเถาวัลย์สีเขียวเลื้อยคลุมเต็มไปหมดจึงแยกไม่ออก

หลินชิงเวยกล่าวยิ้มๆ “ในเมื่อมาก็มาแล้ว หากไม่เข้าไปดูสักหน่อยก็เป็นการเสียเที่ยวน่ะสิ”

พื้นหินสีเขียวเหล่านั้นล้วนถูกต้นหญ้าขึ้นคลุมไปหมด เดินลำบากยิ่ง หลังจากเซียวเยี่ยนเอ่ยเตือนขึ้นประโยคหนึ่ง “เดินระวังด้วย” ก็เห็นหลินชิงเวยเกือบจะลื่นล้มครั้งหนึ่งจึงรีบจับมือนางพาเดินไปข้างหน้าทีละก้าวๆ

หลินชิงเวยตื่นตะลึง รอยยิ้มบนริมฝีปากคล้ายมีคล้ายไม่มีนั้นกลับงดงามกว่าดอกเฉียงเวยที่บานอยู่บนกำแพงก่อนหน้านี้เสียอีก

แม้เซียวเยี่ยนจะไม่ได้หันกลับมา เขาก้มหน้าลงเล็กน้อยเพื่อมองทางเดินยื่นมือข้างที่ว่างไปผลักประตูใหญ่ที่ปิดสนิท เถาวัลย์สีเขียวบนประตูถูกดึงจนขาดออกจากกัน เส้นผมดำขลับยาวของเขาแผ่สยาย ตกลงมาข้างแก้มของเขาและบ่าไหล่ ขับให้ใบหน้าของเขาราวกับช่วงเวลาการผลัดเปลี่ยนฤดูจากฤดูเหมันต์เข้าสู่ฤดูวสันต์ กลิ่นอายเย็นชาจางหายไป แทนที่เข้ามาคือความอบอุ่นอ่อนโยน แววตาในดวงตารูปหงส์นั้นลึกซึ้ง กระจ่างใสไร้ผู้ใดเทียบเทียม

เสียงเอี๊ยดอ๊าดที่เกิดจากการเปิดประตูบานเก่าดังขึ้น หลังจากเปิดประตูใหญ่แล้วข้างในก็เป็นผืนดินกว้างใหญ่ผืนหนึ่ง

หลินชิงเวยคิดว่าตนเองยืนอยู่ท่ามกลางสวนดอกไม้ที่มีพื้นหญ้าสีเขียว นี่เป็นสวนดอกไม้ในห้องห้องหนึ่ง รอบด้านล้วนประดับประดาด้วยหน้าต่างดอกไม้ แสงสว่างลอดผ่านเข้ามาจากหน้าต่างด้านนอก สอดส่องให้ทุกๆ สรรพสิ่งมีชีวิตในที่นี้มีชีวิตชีวา ตำแหน่งตรงกลางของลานกว้างแห่งนี้มีกรงสีเงินกรงหนึ่ง บนกรงเงินนั้นแกะสลักด้วยหยกเขียว ไม่ทำให้แสงสว่างที่ส่องเข้ามานั้นจืดจางไปแม้แต่น้อย ในทางกลับกันสรรพสิ่งบนพื้นดินเหล่านี้กลับยิ่งเขียวชอุ่ม ตรองดูแล้วครานั้นเมื่อสร้างกรงใบนี้คงทุ่มเทจิตใจไปไม่น้อยทีเดียว

ภายในกรงมีนกยูงตัวหนึ่ง คิดดูแล้วก็คือนกยูงตัวที่เซียวเยี่ยนเอ่ยถึงตัวนั้น มันลืมดวงตาขึ้น เพราะการมาเยือนของมนุษย์

นกยูงตัวนี้มีลำตัวสีขาวราวกับหิมะ ปลายขนแต่ละเส้นของมันชี้ขึ้นเล็กน้อย แต่เมื่อพินิจพิจารณาดูดีๆ แล้วจะพบว่ามันสามารถรำแพนหางนกยูงของมันเป็นหลากหลายสีสัน เป็นนกยูงลักษณะงดงามยิ่งยวดตัวหนึ่งที่หลินชิงเวยไม่เคยพบเห็นมาก่อน

หน้าต่างด้านบนของกรงนั้นเปิดอยู่ มันสามารถบินขึ้นไปเปิดหน้าต่างบานนี้เพื่อไปกินอาหาร แต่เมื่อตรองดูแล้วพวกมันเคยชินที่จะใช้ชีวิตในสวนไป่โซ่วแห่งนี้แล้ว เพราะหลังจากที่มันบินออกไปแล้วก็จะบินย้อนกลับมาอีก

หลินชิงเวยนั่งยองๆ ลงเบื้องหน้ากรง มองประเมินด้วยความประหลาดใจว่านกยูงตัวนี้น่าจะไม่ได้พบเห็นคนมาเป็นเวลายาวนาน มันมีท่าทีลิงโลดอย่างยิ่ง เดินวนไปเป็นวงกลมในกรง หางยาวๆ ของมันลากไปกับพื้น

เซียวเยี่ยนบอกว่ามันเป็นเครื่องบรรณาการจากแคว้นอื่นเมื่อครั้งอดีตฮ่องเต้ยังอยู่ เมื่อแรกที่ได้มานั้นเป็นสิ่งแปลกใหม่ แต่ทว่ามันกลับรำแพนหางนกยูงของมันต่อหน้าผู้คนน้อยยิ่งเมื่อเวลาเนิ่นนานไปอดีตฮ่องเต้จึงหมดความสนใจต่อมัน ดังนั้นมันจึงถูกขังไว้ในสถานที่แห่งนี้

ไหนเลยจะคิดว่าทันทีที่สิ้นเสียงของเซียวเยี่ยน นกยูงสีขาวตัวนั้นกลับหยุดก้าวเดินทันใด มันขยับปีกของมันจากนั้นรำแพนหางของมัน สีสันหลากหลายปรากฏขึ้นท่ามกลางขนสีขาวของมันประหนึ่งลำแสงสีแดงบนขอบนภาท่ามกลางเมฆขาว งดงามจับตาเหลือประมาณ มันยังแสดงความงดงามของมันต่อหน้าหลินชิงเวยราวกับเป็นสิ่งของล้ำค่า

เซียวเยี่ยนจนคำพูดในทันใด “…”