ภาค 2 ไร้เทียมทานเย้ยยุทธจักร บทที่ 117.1 ออกหน้าผดุงคุณธรรม (1)

จอมศาสตราพลิกดารา

ภูเขาขาวพิสุทธิ์ปกคลุมด้วยป่าดึกดำบรรพ์ เขียวขจีไปทั่ว ทัศนียภาพงดงาม

 

หลี่มู่ขี่ม้าดำลัดเลาะตามทางถนน มุ่งหน้าไปนอกเขาอย่างไม่รีบไม่ร้อน

 

เจิ้งฉุนเจี้ยนขี่ม้าดำอีกตัวตามติดอยู่ข้างหลัง

 

การตัดสินใจมุ่งหน้าไปเมืองฉางอันของหลี่มู่ครั้งนี้ เขาไม่ได้พาผู้ติดตามคนอื่นมาด้วย มีแค่เจิ้งฉุนเจี้ยนนักโทษเชลยที่คุ้นเคยกับสถานการณ์ในเมืองฉางอันทำหน้าที่เป็นจีพีเอสร่างคนเท่านั้น

 

เมืองฉางอันอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของอำเภอขาวพิสุทธิ์ ห่างออกไปประมาณเจ็ดร้อยกว่าลี้

 

จากอำเภอขาวพิสุทธิ์มุ่งหน้าไปเมืองฉาวอันมีเพียงเส้นทางถนนที่สร้างขึ้นเมื่อร้อยปีก่อนที่ไปได้ ถนนทะลุผ่านภูเขาเขียว ราวกับงูขาว คดเคี้ยวเลี้ยวลดวกวน ระหว่างทางได้ยินเสียงนกป่าขับขาน สิงสาราสัตว์คำราม ต้นไม้ใหญ่สูงเสียดฟ้า หินผาสูงตระหง่าน ทัศนียภาพงามหาใดเปรียบ

 

เดินทางออกไปนอกแนวเขา พื้นที่ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นที่ราบ ลักษณะพื้นที่แบบภูเขาเริ่มหายไป

 

เส้นทางถนนกว้างขึ้น

 

ผู้คนบนท้องถนนค่อยๆ มีมากขึ้น

 

หลี่มู่รู้สึกสนอกสนใจโลกที่รูปแบบคล้ายกับจีนสมัยโบราณมาแห่งนี้โดยตลอด ตลอดทางมาก็สำรวจอยู่เรื่อย เข้าไปพูดคุยมั่วซั่วกับคนบนถนนบ้างเป็นบางครั้ง ทำเพื่อความความสนุกล้วนๆ

 

เจิ้งฉุนเจี้ยนตามอยู่ข้างหลัง พูดน้อยคำมาก

 

แผลที่ขาของเขาหงส์น้อยจ้าวหลิงแห่งสำนักกระบี่ขาวพิสุทธิ์ปฏิเสธไม่รักษาให้ จึงได้แต่ให้โพธิสัตว์บนดินแห่งโรงหมอรักษาแทน แน่นอนว่าผลไม่ดีเท่าหมอยาจ้าวหลิงผู้นี้ลงมือเอง จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่หายดี

 

ยามโพล้เพล้ของวันนั้น ทั้งสองก็มาถึงตำบลสุขสงบที่ห่างจากเมืองฉางอันสี่ร้อยลี้

 

ตำบลแห่งนี้มีขนาดพอๆ กับอำเภอขาวพิสุทธิ์ กระทั่งเจริญรุ่งเรืองกว่าเล็กน้อย

 

ยามหัวค่ำ โคมเปล่งแสงสว่าง

 

หลี่มู่นั่งขัดสมาธิอยู่บนเตียงในห้องของโรงเตี๊ยม พลางฝึกฝน ‘วิชาก่อนกำเนิด’

 

เขารู้สึกได้อย่างฉับไวว่า ยิ่งมุ่งหน้าออกไปจากเขาขาวพิสุทธิ์ พลังวิญญาณในอากาศก็ยิ่งบางเบา

 

ระดับพลังวิญญาณของตำบลสุขสงบย่อมไม่อาจเทียบกับที่ว่าการอำเภอซึ่งตอนนี้มี ‘ค่ายกลดาราพิฆาต’ ปกคลุมอยู่ได้ แต่หากเทียบกับเขตปกติในอำเภอขาวพิสุทธิ์ พลังวิญญาณก็เบาบางกว่ามาก

 

‘ต้นไม้ภูเขา น้ำตกสายธาร สิงสาราสัตว์ ทำเลพื้นที่และอากาศ…สิ่งเหล่านี้เป็นต้นกำเนิดของพลังวิญญาณ ในเขาขาวพิสุทธิ์ สภาพแวดล้อมดั้งเดิม อากาศบริสุทธิ์ มีร่องรอยการใช้ชีวิตของมนุษย์น้อยมาก ดังนั้นพลังวิญญาณจึงเข้มข้นอยู่บ้าง ส่วนโลกนอกภูเขามีร่องรอยของมนุษย์เยอะ มีการเปลี่ยนแปลงมากนัก พลังวิญญาณจึงน้อย’

 

หลี่มู่กระจ่างทันที

 

เหตุที่บนโลกไม่มีพลังวิญญาณ บางทีอาจเป็นเพราะมนุษย์โลกเปลี่ยนแปลงและสร้างมลพิษให้กับธรรมชาติจนถึงขีดสูงสุดแล้ว มลพิษเต็มไปหมด อากาศบริสุทธิ์ยากจะถือกำเนิดขึ้น ในสภาพที่ไม่มีพลังวิญญาณค้ำจุน เคล็ดวิชาสำนักเซียนทั้งหลายที่นักพรตเฒ่าเข้าใจและเคล็ดฝึกฝนวรยุทธ์ต่างๆ ก็เหมือนต้นไม้ไร้ราก บ่อน้ำไร้ตาน้ำ ยากจะสำแดงพลังออกมาได้

 

หากปรับเปลี่ยนสภาพแวดล้อมบนโลก จะค่อยๆ มีพลังวิญญาณเกิดขึ้นหรือไม่?

 

หรือจะพูดว่าหลายหมื่นปีก่อน…ไม่สิ ต่อให้เป็นหลายพันปีก่อนหน้านี้ มนุษย์โลกยังไม่ก้าวสู่ยุคอุตสาหกรรม ในยามที่สภาพแวดล้อมของโลกยังใกล้เคียงกับช่วงดึกดำบรรพ์ บนโลกอาจจะมีพลังวิญญาณกระมัง?

 

หลี่มู่ฝึกยุทธ์จนใจกระจ่าง ค่อยออกมาจากห้องคนเดียว แล้วมาเดินเล่นบนถนนของตำบลสุขสงบ

 

ระหว่างเดินอยู่บนตรอกซอกซอยที่มีกลิ่นอายโบราณ หลี่มู่เหมือนชินกับทิวทัศน์แบบนี้แล้ว เสียแต่ผมสั้นดกดำของเขาไม่เข้ากับบรรยากาศรอบๆ ทำให้คนที่เดินผ่านไปมามองด้วยสายตาประหลาด เขาเริ่มค่อยๆ ชอบบรรยากาศที่ดั้งเดิมและคึกคักเจริญรุ่งเรืองแบบนี้เข้าแล้ว

 

“เกี๊ยวจ้า เกี๊ยวหวางหมาจื่อที่ขึ้นชื่อที่สุดในตำบลสุขสงบจ้า”

 

“บะหมี่เนื้อแพะ กินแล้วยังอยากกินอีกรอบ”

 

“ปิงเกา[1]น้ำตาลทรายแดง…ไม่หวานไม่เอาเงิน”

 

ถนนของตำบลสุขสงบกว้างเป็นอย่างมาก พื้นหินปูต่างระดับ บ้านเรือนสองข้างทางส่วนมากเป็นชั้นเดียว ประตูร้านค้าต่างๆ ล้วนแขวนป้ายชื่อร้านที่เขียนด้วยตัวอักษรวิจิตร ข้างทางมีพ่อค้าแม่ค้าส่งเสียงร้องเฉพาะตัวเรียกลูกค้า คึกคักกันยิ่งนัก

 

เพราะเป็นช่วงย่ำค่ำ ข้างถนนจึงมีร้านแผงลอยของกินเล่นมากมาย

 

“ไต้ซือท่านนี้เอาบะหมี่ผักสักชามรึไม่? บะหมี่เจโจวจี้ หนึ่งชาหนึ่งอีแปะเท่านั้น…” หญิงชราที่บนศีรษะโพกผ้าซับเหงื่อทักทายหลี่มู่ ใบหน้าประดับยิ้มจริงใจแฝงแววประจบเอาใจเล็กๆ

 

หลี่มู่จะร้องไห้ก็ไม่ได้ หัวเราะก็ไม่ออก

 

ผมสั้นของตนทรงนี้ทำให้ถูกมองเป็นพระพเนจรเสียอย่างนั้น

 

ดูอายุอานามของหญิงชราคนนี้ อย่างน้อยๆ ก็น่าจะหกสิบกว่าแล้ว ผมขาวโพลน หลังโค้งค่อม บนใบหน้าไม่มีรอยยิ้มเรียกแขกอย่างชำนาญเหมือนร้านอาหารข้างถนนอื่นๆ ดูท่าไม่ค่อยได้ค้าขายเท่าไหร่

 

“พี่ชาย กินสักชามสิ อร่อยมากนะ”

 

เด็กหญิงตัวน้อยร่างผอมแห้งที่สวมชุดผ้าปะชุนทั้งตัวกำลังช่วยย่าเช็ดโต๊ะเก้าอี้ ได้ยินดังนั้นก็ส่งสายตาวาดหวังมายังหลี่มู่

 

เห็นได้ชัดว่ากิจการการค้าของสองย่าหลานไม่ดีนัก

 

โต๊ะไม้สีน้ำตาลแดงที่ขาหักไปข้างหนึ่งแล้วใช้อิฐหยาบๆ สองก้อนรองเอาไว้ตั้งอยู่มุมกำแพง ชามกระเบื้องเก่าสามสี่ใบ ตะเกียบไม้สามสี่คู่ เช็ดจนสะอาดเงาวับ ข้างเท้าหญิงชรามีหาบเก่าวางอยู่ ฝั่งหนึ่งเป็นกล่องบะหมี่และกระปุกเครื่องปรุง อีกฝั่งหนึ่งเป็นเตาเล็กแบบง่ายๆ ข้างบนมีกระทะเหล็กใบเล็กวางอยู่ น้ำแกงสีขาวในนั้นเดือดเป็นฟองปุดๆ

 

หลี่มู่ส่ายหน้า

 

บะหมี่ผักน้ำแกงจืดชืด อยู่บนถนนสายของกินเล่นที่กลิ่นหอมโชยไปทั่ว ก็ไม่มีอะไรสู้ได้จริงๆ

 

บางทีท่านย่าคงเข้าใจผิดคิดว่าตนเป็นภิกษุพเนจร ไม่กินเนื้อกินแต่ผัก ดังนั้นจึงเข้ามาเชิญชวน?

 

เขาส่ายหน้าโดยไม่รู้ตัว ทำให้ใบหน้าของหญิงชราฉายแววเศร้าสลด ส่วนเด็กหญิงตัวน้อยร่างผอมก็ร้อนรนแล้ว คว้าชายเสื้อของหลี่มู่เอาไว้เบาๆ ก่อนพูดด้วยใบหน้าอ้อนวอน “พี่ชาย ท่านกินสักชามเถอะ กินแค่ชามเดียวได้รึไม่ อร่อยมากนะ…”

 

หลี่มู่มองเห็นประกายที่ชวนให้คนปวดหัวใจในสายตาของนาง

 

“ได้ เช่นนั้นก็เอามาชามหนึ่ง” หลี่มู่เดินไปนั่งหน้าโต๊ะเหลี่ยมตัวเตี้ยสีน้ำตาลแดงที่ขาหักข้างหนึ่งตัวนั้น

 

เด็กหญิงร้องอย่างดีใจ “ขอบคุณพี่ชาย”

 

“นั่งเถิด ไต้ซือนั่งเถิด…บะหมี่อีกไม่นานก็เสร็จแล้ว” ใบหน้าที่เต็มไปด้วยริ้วรอยของหญิงชราฉายความยินดีอย่างยากจะเก็บซ่อน

 

นางต้อนรับพลางรีบหมุนตัวงกๆ เงิ่นๆ ไปต้มบะหมี่ เส้นบะหมี่ที่หยิบออกมาจากกล่องเป็นเส้นสีดำอ่อนๆ เส้นหนาหยาบ มือด้าน ร่างกายโค้งค่อมราวยอดเขาที่ใกล้จะถล่มลงมาเต็มที

 

ไม่นานนัก เด็กน้อยก็ยกบะหมี่เส้นธัญพืชใส่น้ำแกงจืดชืดชามหนึ่งมาวางไว้ข้างหน้าหลี่มู่

 

บนบะหมี่มีใบผักลอยอยู่สามสี่ใบ ดูไปแล้วเหมือนจะเป็นผักป่าที่ไม่รู้จักชื่อ แต่ดูเขียวสดดี

 

หลี่มู่กินคำแรกเข้าไปท่ามกลางสายตาที่เต็มไปด้วยความคาดหวังของเด็กหญิง

 

“เป็นอย่างไรบ้างพี่ชาย? บะหมี่ของท่านย่าข้าอร่อยมากใช่หรือไม่?” ท่าทางนางเหมือนเด็กอนุบาลรอคำชมเชยจากคุณครู เต็มไปด้วยความหวังที่จะได้รับการยอมรับจากผู้อื่น

 

หลี่มู่ยิ้มพลางพยักหน้า “อืม อร่อยมากจนข้าแทบจะกัดลิ้นตัวเองขาดแล้ว”

 

เด็กหญิงตัวน้อยร้องอย่างยินดีทันที

 

ใบหน้าเล็กรูปไข่ที่ผอมเสียจนซูบเต็มไปด้วยความสุข เสมือนได้ยินคำชมเชยที่ดีที่สุดในโลกนี้อย่างไรอย่างนั้น

 

หลี่มู่กินอีกคำหนึ่ง กลืนลงไปช้าๆ

 

อันที่จริง มันไม่อร่อยสุดๆ

 

หลี่มู่ซึ่งเคยชินกับอาหารเลิศรสที่ปรุงแต่งด้วยกรรมวิธีต่างๆ บนโลก หลังจากมาถึงดาวดวงนี้ ก็มีห้องครัวที่ว่าการอำเภอคอยรับใช้ สำหรับคนที่เสพสุขกับอาหารเลิศรสต่างๆ มา บะหมี่ผักน้ำแกงใสออกจะไร้รสจริงๆ แม้แต่เครื่องปรุงก็เป็นเครื่องปรุงที่หญิงชราใช้ผักป่าคั้นออกมาเอง บอกได้ยากว่าอร่อย

 

แต่ว่า ภายใต้รอยยิ้มคาดหวังบนใบหน้าของเด็กหญิงตัวผอมและสายตาซาบซึ้งเฝ้ามองบนหน้าที่ริ้วรอยราวร่องน้ำของหญิงชรา หลี่มู่สวาปามบะหมี่ชามนั้นหมดไม่เหลือซาก

 

“ฮ่าๆ อร่อย ท่านป้า เอามาอีกสองชาม วันนี้ข้าค่อนข้างหิว” หลี่มู่พูดพร้อมหัวเราะร่า

 

“จริง จริง…จริงรึ?” เด็กน้อยติดอ่าง มองหลี่มู่อย่างไม่อยากจะเชื่อ

 

หลี่มู่พยักหน้าอย่างจริงจัง ทำท่าทางอยากจะกินต่อ พลางควักเงินสามอีแปะให้กับนาง

 

“ดีจริงๆ…ท่านย่า พี่ชายจะเอาอีกสองชาม…” นางกระโดดโลดเต้นอย่างดีใจ รับเงินมาถือไว้ด้วยมือทั้งสอง ท่าทีระมัดระวัง กลัวจะทำหาย จากนั้นวิ่งมายังกล่องไม้เล็กๆ ที่อยู่ด้านหนึ่งของหาบ หยิบกระเป๋าใส่เงินใบเล็กออกมาแล้วใส่มันลงไป ต่อมาก็นับนิ้ว คำนวนอย่างละเอียดรอบหนึ่ง พูดพึมพำกับตัวเองว่า “เพิ่มขึ้นมาอีกสามอีแปะ เก็บอีกสามร้อยอีแปะก็พอแล้ว”

 

หลี่มู่เห็นท่าทางของนาง ก็หายใจติดขัดขึ้นมาอย่างอดไม่ได้

 

ไม่รู้ว่าพ่อแม่ของเด็กน้อยอยู่ที่ไหน ปล่อยให้คนแก่อายุหกสิบกับเด็กผู้หญิงตัวเล็กดิ้นรนเอาชีวิตรอดอย่างยากลำบากข้างถนนเช่นนี้ ภาพเด็กน้อยนับนิ้วนับเงินติดอยู่ในหัวของหลี่มู่อยู่นานไม่จางไป

 

“ท่านป้า เอาบะหมี่ชามหนึ่ง”

 

สายลมหอมกรุ่นปะทะเข้ามา เสียงไพเราะเสนาะหูดังขึ้นมาจากข้างหลัง

 

หญิงสาวชุดขาวใส่หมวกทรงกลมมีผ้าโปร่งคลุมหน้าคนหนึ่ง เดินมานั่งอยู่อีกฝั่งของโต๊ะสีน้ำตาลแดง เสียงแกร๊กดังขึ้น กระบี่ยาวฝักสีขาววางไปบนโต๊ะตามมือ

 

หลี่มู่อดไม่ได้ มองไปอีกรอบหนึ่ง

 

สตรีผู้นี้อายุน่าจะไม่มาก ร่างสูงโปร่งอ้อนแอ้น ชุดคลุมตัวยาวที่หญิงชายล้วนใส่ได้ขาวสะอาดราวหิมะ บริสุทธิ์เหนือโลกีย์ ผมดำดกหนาราวน้ำตกสยายลงมาจากผ้าโปร่งด้านหลัง เงางามเปล่งประกาย ผ้าโปร่งสีขาวบดบังเครื่องหน้าของนางจนเห็นไม่ชัด เห็นได้แค่เค้าเลือนๆ เป็นรูปหน้าเรียวงดงาม มือที่วางอยู่บนโต๊ะตามสบายขาวราวหยก ผิวพรรณเรียบเนียน มีเสน่ห์ประหลาดที่ดึงดูดสายตาผู้คนโดยธรรมชาติ

 

หลี่มู่ตัดสินได้ว่า นี่จะต้องเป็นหญิงงามที่หน้าตาโดดเด่นอย่างยิ่งแน่นอน

 

หลี่มู่มองนางอีกหลายทีโดยไม่รู้ตัว

 

“เณรน้อย ผู้ออกบวชห้ามมองสิ่งที่ผิดศีล” หญิงสาวชุดขาวพลันเอ่ยปากขึ้น

 

หลี่มู่อึ้งไป หัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออกอีกครั้ง

 

ถูกมองเป็นพระพเนจรอีกแล้ว

 

เห็นได้ชัดว่าสายตาที่เหมือนมองประเมินของหลี่มู่ ทำให้สตรีนางนี้ค่อนข้างขุ่นเคือง

 

โลกใบนี้ไม่ใช่ดาวโลก ธรรมเนียมจารีตโบราณกว่ามาก นักบวชคนหนึ่งจ้องหญิงสาวแรกแย้มเช่นนี้ ก็ชวนให้คนเข้าใจผิดจริงๆ

 

“ข้าเหม่อไปหน่อย” หลี่มู่หัวเราะ ไม่อธิบายให้มาก

 

ท่าทีนิ่งเฉยเช่นนี้เหมือนจะทำให้ความไม่พอใจของหญิงชุดขาวหายไป และหัวเราะขึ้นเบาๆ

 

“นักบวชอายุยังน้อย จิตใจไม่เลวเลยนี่” นางเอ่ยปาก เสียงน่าฟังราวกับไข่มุกตกกระทบบนจานหยก เสนาะหูเป็นอย่างยิ่ง

 

………………………………..

 

[1] ปิงเกา คือไอศกรีมในยุคแรกเริ่ม ทำโดยนำน้ำผสมกับกลิ่นต่างๆ แล้วแช่แข็ง ตัดเป็นทรงสี่เหลี่ยม จากนั้นห่อด้วยกระดาษ