ตอนที่ 165 คุณเหมือนผู้หญิงที่ผมรักมาก

เดิมพันเสน่หา

ตัวของเหลิ่งรั่วปิงชะงักอย่างเห็นได้ชัด เสียงของหนานกงเยี่ยทุ้มต่ำและอ่อนโยน ทว่าตอนที่ดังเข้ามาในโสตประสาทของเธอ กลับเหมือนฟ้าผ่าลงมา

เหลิ่งรั่วปิงค่อยๆ หันหลังกลับไป พยายามรวบรวมความกล้าทั้งหมดที่มีมองไปที่เขา ใบหน้าเกลี้ยงเกลาหล่อเหลาได้รูป เวลานี้ความเย็นชาที่เคยมีจางหายไป แววตาลุ่มลึก ริมฝีปากบางมีรอยยิ้มจางๆ

เหลิ่งรั่วปิงรู้สึกเหมือนโลกหยุดหมุน “คุณหนานกง คุณเรียกฉันเหรอคะ”

มุมปากของหนานกงเยี่ยกระตุกยิ้มกว้าง “แล้วที่นี่มีคุณฉู่อีกคนหรือครับ”

ดวงตากลมโตสีดำสนิทของเหลิ่งรั่วปิงกระพริบปริบๆ อยากจะมองให้เห็นอะไรบางอย่างจากใบหน้าของเขา แต่เขากลับนิ่งราวกับน้ำ ไม่มีการสั่นเทาแม้แต่น้อย บนใบหน้าของเขามีรอยยิ้มตลอดเวลา “คุณหนานกงสูงศักดิ์เหมือนเมฆบนท้องฟ้า ส่วนฉันต่ำต้อยเหมือนดินโคลน การที่คุณหนานกงเรียกชื่อฉัน ทำให้ฉันดีใจจนเผลอตกใจค่ะ”

นัยน์ตาของหนานกงเยี่ยมีรอยยิ้ม รอยยิ้มนั้นเอ่อล้นออกมา เสียงของเขาอ่อนโยนราวกับฤดูใบไม้ผลิ “คุณไม่รู้ตัวเหรอครับ คุณคือคนที่เปล่งประกายที่สุดในงาน?” ใช่ ในสายตาของเขา เธอเป็นแสงสว่างเดียว ขอแค่มีเธออยู่ เขาแค่กวาดตามองก็เจอเธอแล้ว “ผลงานออกแบบของคุณ ผมชอบมาก”

“…” เหลิ่งรั่วปิงกระพริบตา ไม่ได้พูดอะไร เธอรู้ว่าเขามีเรื่องจะพูดต่อ

“คุณสนใจทำงานร่วมกับบริษัทหนานกงไหมครับ” แววตาของเขาไม่เหมือนกับการเชิญนักสถาปนิกคนใหม่ไปร่วมงาน แต่เหมือนกำลังขอร้อง

เหลิ่งรั่วปิงไม่รู้จะพูดอะไร การได้ทำงานร่วมกับบริษัทหนานกง เป็นความฝันของนักสถาปนิกมากมาย แต่เธอ…จะคว้าโอกาสนี้เอาไว้ไหม”

“ผมขอเลี้ยงข้าวคุณสักมื้อได้ไหมครับ” ไม่รอให้เหลิ่งรั่วปิงตอบ หนานกงเยี่ยเอ่ยเชิญชวนอีกครั้ง

“?” เหลิ่งรั่วปิงมองหนานกงเยี่ยด้วยความตกใจ คิ้วคู่สวยขมวดเล็กน้อย การกระทำของเขาไม่เหมือนหนานกงเยี่ยเลย เขารู้จักชวนผู้หญิงไปกินข้าวตั้งแต่เมื่อไรหร่ หรือว่าเขาจะรู้อะไรเข้าแล้ว

ชั่วขณะหนึ่ง หัวใจของเหลิ่งรั่วปิงเต้นแรง

หนานกงเยี่ยเองก็รู้สึกว่าคำพูดของเขามันบุ่มบ่ามเกินไป นัยต์ตาสีนิลสั่นเทาอย่างไม่เป็นธรรมชาติ สายตาของเขาเหลือบมองไปที่แหวนบนนิ้วนางข้างซ้ายของเธอ เมื่อครึ่งเดือนก่อนเธอสวมแหวนไว้บนนิ้วกลาง แต่วันนี้กลับสวมแหวนบนนิ้วนาง! เขาจำได้ดีว่าหลังจากจากกันคืนนั้น ไซ่ตี้จวิ้นก็ไม่เคยไปที่คอนโดมิเนียมของเธออีก เหลิ่งรั่วปิงเองก็ไม่เคยออกมาข้างนอก แล้วความสัมพันธ์ของพวกเขาพัฒนากันตอนไหน

ดวงตาคมเฉียบนิ่งค้ข้าง รอยยิ้มในแววตาของเขาก็เย็นยะเยือกกลายเป็นน้ำแข็งขึ้นมาทันที เสียงของเขาเย็นเฉียบและซ่อนความน่ากลัวเอาไว้ “คุณแต่งงานแล้ว?”

เหลิ่งรั่วปิงเองก็สังเกตเห็นมือข้างซ้ายของตนเอง ครึ่งเดือนที่มานี้ เธอใช้ชีวิตด้วยความสับสน นอกจากทำงานแล้ว เธอแทบไม่ได้สนใจเรื่องอื่น ถ้าไม่ใช่เพราะหนานกงเยี่ยถามถึงเรื่องนี้ เธอคงลืมไปแล้วว่าสวมแหวนเอาไว้ที่มือ

เหลิ่งรั่วปิงคลี่ายยิ้มบางๆ “คุณหนานกงสนใจเรื่องส่วนตัวของคนอื่นด้วยเหรอคะ”

หนานกงเยี่ยใช้เวลาในการครุ่นคิดอย่างรวดเร็ว พวกเขาไม่มีทางจดทะเบียนสมรส เพราะว่าไม่มีเวลานั้น ดังนั้นเขาจึงโล่งออก รอยยิ้มบางๆ กลับมาอีกครั้ง “เปล่าครับ ผมแค่ตกใจเท่านั้น คิดไม่ถึงว่าคุณฉู่จะแต่งงานทั้งที่อายุยังน้อย” เงียบไปสองวินาที “ผมชื่นชมผลงานของคุณฉู่มากจริงๆ นะครับ จึงอยากชวนคุณมาร่วมงานกับบริษัทหนานกง ถ้าคุณยินดีมาร่วมงานกับผม พวกเราไปกินข้าวด้วยกันสักมื้อ แล้วคุยพูดรายละเอียดของงานกันดีไหมครับ”

เหลิ่งรั่วปิงเองก็ใช้เวลาในการครุ่นคิดอย่างรวดเร็ว แม้ว่าการทำงานกับหนานกงเยี่ยจะเป็นโอกาสที่ดีแค่ไหน เธอก็ไม่อาจสามารถเข้าใกล้เขาได้อีก “ขอบคุณสำหรับคำชมของคุณหนานกงนะคะ คิดว่าคุณคงรู้แล้ว ตอนนี้ฉันทำงานอยู่ที่บริษัทของแฟนค่ะ ยังไม่คิดจะย้ายไปไหน ดังนั้นต้อง ขอโทษด้วยนะคะ”

เธอบอกว่าแฟนของเธอ!

คำพูดทั้งประโยค หนานกงเยี่ยได้ยินใจความสำคัญแค่นี้ ดีมาก ดีมาก!

เขาตนก็เป็นสามีของเธอเหมือนกัน!

มุมปากของหนานกงเยี่ยยิ้มกว้าง รูปปากของเขากำลังพูดคำว่า “หวานดีนะครับ” แต่ก็เปลี่ยนเป็น “ไม่จำเป็นต้องด่วนปฏิเสธขนาดนี้หรอกครับ โอกาสของบริษัทหนานกงดีกว่าบริษัทจั๋วเจวี๋ยมาก คุณไม่อยากเป็นนักสถาปนิกชื่อดังระดับโลกหรอกจริงๆ เหรอครับ”

ไม่รอให้เหลิ่งรั่วปิงตอบ หนานกงเยี่ยแย่งโทรศัพท์มาจากมือเธอ จากนั้นกดเลขเรียงยาว แล้วกดบันทึกเบอร์โทรศัพท์ให้เธอ “ไม่ต้องรีบตอบผมหรอกครับ คุณกลับไปคิดให้ดีก่อนแล้วค่อยโทรมาหาผม” ยื่นโทรศัพท์คืนให้กับเหลิ่งรั่วปิง จับจ้องไปที่ดวงตาคู่สวยของเธอ “รู้ไหมครับว่าทำไมผมถึงชื่นชมผลงานของคุณ นอกจากการออกแบบของคุณที่ดึงดูดผมแล้ว บุคลิกของคุณก็ดึงดูดผมมากเหมือนกัน บุคลิกของคุณเหมือนผู้หญิงที่ผมรักมากที่สุด เธอเองก็อยากเป็นนักสถาปนิกเหมือนกัน แต่น่าเสียดายที่ตอนนี้ผมหาเธอไม่เจอ ดังนั้นการที่ผมให้โอกาสคุณมันทำให้ผมรู้สึกเหมือนให้โอกาสกับผู้หญิงคนนั้น คุณไม่ต้องคิดมากนะครับ ผมไม่ได้มีอะไรแอบแฝง ก่อนหน้าผมมีปัญหากับแฟนของคุณนิดหน่อย หวังว่าคุณจะลืมมันไปนะครับ”

เหลิ่งรั่วปิง “…” เขาบอกว่าเธอเป็นผู้หญิงที่เขารักมากที่สุด เฮือก!

“ผมมีเรื่องอยากจะบอกคุณอีกเรื่องหนึ่งครับ แลนด์มาร์คเมืองหลง เป็นผลงานการออกแบบของผู้หญิงที่ผมรักมากที่สุดเองครับ น่าเสียดายที่ผู้รับเหมาคนก่อนลดวัสดุในการสร้าง ทำให้มันพังลงมา ผมอยากสร้างใหม่มาโดยตลอด แต่น่าเสียดายที่ภาพสเก็ตช์แลนด์มาร์คหายไป ผมอยากให้เธอกลับมาออกแบบให้ผมใหม่มาก แต่เธอกลับไม่ยอมมาเจอผม ถ้าคุณสนใจอยากจะทำ ผมยินดีให้คุณรับผิดชอบโปรเจคแลนด์มาร์คเมืองหลงได้นะครับ แต่ถ้าคุณไม่ต้องการ ผมก็ทำได้เพียงประกาศรับสมัครหาคนจากทั่วโลก”

หัวใจของเหลิ่งรั่วปิงสับสนไปหมด แลนด์มาร์คเมืองหลงเหมือนเป็นตราบาปที่ติดอยู่ในใจและเป็นหนามที่ทิ่มแทงเธอ เธอรักการออกแบบสิ่งก่อสร้าง หวังว่าสุดท้ายแล้วงานออกแบบของตนเองจะสามารถสร้างขึ้นได้จริงๆ แต่เธอกลับทำลายแลนด์มาร์คเมืองหลงด้วยตนเอง ทั้งที่มันก็เป็นความปรารถนาของพ่อ ]”เฟยเทียน’” ชื่อที่พ่อชอบที่สุด

หนานกงเยี่ยมองหญิงสาวที่กำลังใช้ความคิด มุมปากของเขากระตุกยิ้มด้วยความพอใจ “ถ้าคุณได้คำตอบแล้วโทรมาหาผมนะครับ”

ตอนที่เหลิ่งรั่วปิงดึงสติกลับมา หนานกงเยี่ยก็เดินไปถึงประตูทางออกโถงนิทรรศการแล้ว เธอเห็นแค่แผ่นหลังของเขาเท่านั้น

*****

งานสัมมนายังไม่จบ เหลิ่งรั่วปิงก็ออกไปแล้ว ตอนนี้ในใจของเธอมีแค่เรื่องเดียวเท่านั้น แลนด์มาร์คเมืองหลง

การออกแบบแลนด์มาร์คเมืองหลง คือความฝันสูงสุดของพ่อ เธอมีหน้าที่ที่ต้องสานฝันและทำ ‘”เฟยเทียน’” ให้สำเร็จ มันไม่ควรกลายเป็นความล้มเหลวที่เธอทำลายด้วยมือตนเอง

ตอนที่เดินออกมาจากโถงนิทรรศการ เธอก็เห็นไซ่ตี้จวิ้น เขายืนพิงที่ประตูรถด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน เอียงศีรษะมองมาที่เธอ “ผมได้ยินว่า งานในวันนี้มีนักสถาปนิกที่เก่งมากๆ เธอชื่อฉู่หนิงซยา ผมควรจะเลี้ยงข้าวคุณเป็นการฉลองสักมื้อไหมครับ”

รอยยิ้มของเขาอบอุ่นมาก ปัดเป่าความเศร้าในใจของเหลิ่งรั่วปิงไปจนหมด เหลิ่งรั่วปิงคลี่ยิ้ม “ได้ค่ะ ฉันอยากกินอาหารชื่อดังที่สุดในเมืองหลวงของประเทศเอ้าตู หูฉลามมังกร”

ไซ่ตี้จวิ้นยิ้มอย่างมีความสุข แล้วเปิดประตูรถ “ไปกันเถอะครับ”

หนึ่งในภัตตาคารที่หรูที่สุดในเมืองหลวงของประเทศเอ้าตู ภัตตาคารเวยซือทิง ไซ่ตี้จวิ้นจองที่นั่งริมหน้าต่างบนชั้นสอง สั่งอาหารขึ้นชื่อของเมืองหลวง หูฉลามมังกร

“กินเยอะๆ นะครับ” เขาตักหูฉลามลงบนจากนของเหลิ่่งรั่วปิง

เหลิ่งรั่วปิงก้มหน้าลงแล้วกินเข้าไปเล็กน้อย สุดท้ายเธอก็วางตะเกียบลง “วันนี้ ฉันเจอคุณหนานกงเยี่ยค่ะ”

ไซ่ตี้จวิ้นชะงัก ไม่ได้เงยหน้าขึ้น “ผมรู้ครับ”

ถึงแม้เขาจะติดธุระสำคัญทำให้ไม่สามารถไปร่วมงานไม่ได้ แต่เขาก็สังเกตดูท่าทางของเธอมาโดยตลอด เขารอให้เธอเป็นฝ่ายพูดเรื่องนี้

“เขาชวนให้ฉันไปเป็นนักสถาปนิกของบริษัทหนานกง”

ไซ่ตี้จวิ้นยังคงไม่เงยหน้าขึ้น เหลิ่งรั่วปิงไม่รู้ว่าสีหน้าของเขาเป็นยังไง “แต่ฉันปฏิเสธไปแล้ว”

ไซ่ตี้จวิ้นชะงัก แววตาอ่อนโยนกลรอกไปมา จากนั้นเงยหน้าขึ้นมองเหลิ่งรั่วปิง เขาเงียบอยู่สามวินาที แล้วคลี่ยิ้ม “ครับ”

เหลิ่งรั่วปิงไม่อยากจะพูดถึงเรื่องนี้ แต่เธอจำเป็นต้องพูด “คุณไซ่ตี้จวิ้น ถ้าเป็นไปได้ ชีวิตนี้ฉันไม่อยากเกี่ยวข้องกับคุณหนานกงเยี่ยอีก แต่มีเรื่องหนึ่งที่ฉันจำเป็นต้องจัดการให้เรียบร้อย ฉันถึงจะสบายใจ”

ไซ่ตี้จวิ้นหรี่ตาลงเล็กน้อย ฟังเหลิ่งรั่วปิงเงียบๆ เขารู้ว่าสิ่งที่เหลิ่งรั่วปิงจะพูดต่อจากนี้ เป็นสิ่งที่เขาไม่อยากฟังที่สุด

“ฉันมีหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบทำโปรเจคแลนด์มาร์คเมืองหลงให้สำเร็จ” เหลิ่งรั่วปิงมองหน้าไซ่ตี้จวิ้นด้วยความจริงใจ หวังว่าเขาจะเข้าใจตน “ดังนั้น ฉันอาจจะต้องกลับเมืองหลงอีกครั้ง”

ไซ่ตี้จวิ้นไม่ได้พูดอะไร เขารู้ว่าวันนี้หนานกงเยี่ยเชิญเธอไปร่วมงาน และเพราะเหตุนี้ เขาจึงทิ้งงานสำคัญ เพื่อรีบมารับเธอที่งานในวันนี้

“แลนด์มาร์คเมืองหลงสำคัญกับคุณมากขนาดนั้นเลยหรอครับ” เธอไม่สามารถวางมือจากแลนด์มาร์คเมืองหลงไม่ได้ หรือไม่สามารถลืมคนที่นั่นไม่ได้กันแน่

“ฉันไม่เคยบอกเรื่องชาติกำเนิดของตัวนเองให้คุณฟัง และไม่เคยบอกคุณว่าทำไมตอนนั้นฉันถึงไปหางานทำที่เมืองหลง” เหลิ่งรั่วปิงค่อยๆ พูดออกมา ริมฝีปากบางบอกเล่าเรื่องราวเจ็บปวดในอดีต “เมื่อสิบปีก่อน พ่อของฉันเป็นเจ้าของบริษัทรับเหมาก่อสร้างที่พอจะมีชื่อเสียงเล็กน้อย ลั่วเฮิ่งเป็นผู้ช่วยของพ่อ เขาวางแผนฆ่าพ่อของฉันและฮุบสมบัติของครอบครัวฉัน ตอนนั้นที่ฉันกลับไปเมืองหลงก็เพื่อจะแก้แค้น ฉันต้องการใช้หนานกงเยี่ยเป็นเครื่องมือเพื่อจะได้สามารถรับผิดชอบการออกแบบสิ่งก่อสร้างของเมืองหลง แล้วแก้แค้นลั่วเฮิง ดังนั้นหนานกงเยี่ยไม่ได้เป็นคนบีบบังคับให้ฉันไปอยู่วิลล่าหย่าเก๋อของเขา แต่ฉันเป็นฝ่ายเข้าหาเขาเอง

ไซ่ตี้จวิ้นเงยหน้าขึ้น มองเหลิ่งรั่วปิงเงียบๆ ขมวดคิ้วเล็กน้อย

“สุดท้ายฉันก็แก้แค้นสำเร็จ ฉันส่งลั่วเฮิ่งลงนรกได้สำเร็จ และฉันก็เป็นคนทำลายแลนด์มาร์คนั้นด้วยมือตนเอง นั่นคือสตราบาปในใจของฉัน”

“คุณรู้สึกผิดต่อหนานกงเยี่ย?”

“นั่นเป็นแค่ส่วนหนึ่ง แต่เหตุผลสำคัญก็คือ การออกแบบแลนด์มาร์คเมืองหลง เป็นความฝันของพ่อฉัน นั่นเป็นสิ่งที่ท่านไม่ได้ทำก่อนจะจากไป ฉันหวังว่าตนเองจะสามารถสานฝันของท่านได้สำเร็จ แต่ว่า เพื่อที่จะแก้แค้น ฉันไม่เพียงแต่ไม่สามารถสานฝันของท่านไม่ได้สำเร็จ แต่ฉันยังทำลายแลนด์มาร์คด้วยมือตนเอง และเมื่อมีหนามทิ่มแทงในใจของฉัน ฉันจำเป็นต้องดึงมันออกด้วยตนเอง”

ไซ่ตี้จวิ้นก้มหน้าลง ผ่านไปนานครู่หนึ่งจึงถามขึ้นเสียงเบา “พอกลับไปเมืองหลง คุณจะกลับมาที่นี่อีกไหมครับ”

เสียงของเขาเบามาก ถ้าเหลิ่งรั่วปิงไม่ได้ตั้งใจฟังก็คงไม่ได้ยิน เสียงของเขามีแต่เต็มไปด้วยความกังวล มันทำให้เธอรู้สึกปวดใจ “กลับค่ะ เหลิ่งรั่วปิงไม่อยู่แล้ว ตอนนี้ฉันคือฉู่หนิงซยา ทุกอย่างของฉันอยู่ที่ประเทศเอ้าตู สุดท้ายไม่ว่ายังไงฉันก็ต้องกลับมาที่นี่”

“พวกเราแต่งงานกันเถอะครับ!” ไซ่ตี้จวิ้นตัดสินใจครั้งยิ่งใหญ่ เขาเงยหน้าขึ้นมองเหลิ่งรั่วปิง “เราแต่งงานกันนะครับ แล้วผมจะยอมให้คุณกลับไปเมืองหลง”

“คุณไซ่ตี้จวิ้น คุณเคยรับปากว่าจะให้เวลาฉันคิด” ภายในใจของเธอสับสนวุ่นวายไปหมด ไม่อาจสามารถคิดได้

“ครบกำหนดครึ่งเดือนแล้ว รั่วปิง ผมต้องการคำตอบจากคุณ”

“คุณไซ่ตี้จวิ้น ฉันเคยบอกไปแล้ว ฉันไม่ได้รักคุณ”

“ผมเองก็เคยพูดแล้ว ผมไม่ได้คาดหวังให้คุณรักผม ผมแค่อยากให้คุณอยู่ข้างๆ ผม และอนุญาตให้ผมได้รักคุณ”