ตอนที่ 208 คาดมิถึงว่าตาเฒ่านั่นจะยังมีชีวิตอยู่

เกิดใหม่ทั้งทีข้าขอเป็นเซียน

ตอนที่ 208 คาดมิถึงว่าตาเฒ่านั่นจะยังมีชีวิตอยู่

เนื่องด้วยจักรพรรดิมารท่านนี้เกี่ยวพันถึงอนาคตของเผ่ามารทั้งเผ่า

หลังจากผู้แข็งแกร่งของเผ่ามารได้ปรึกษาหารือกันแล้ว ก็ได้เรียกให้ทุกฝ่ายส่งพลังฟ้าดิน เพื่อใช้ในการวางค่ายกลขึ้นมาทันที

หลังจากใช้เวลาถึงหนึ่งวันหนึ่งคืน ผู้แข็งแกร่งนับสิบท่านก็ได้ทุ่มเทพลังทั้งหมดจนในที่สุดก็สามารถวางสุดยอดค่ายกลเวทย์จนเสร็จสมบูรณ์

“ผู้อาวุโสฟ่าน ค่ายกลและของวิเศษของเจ้าวางไปถึงไหนแล้ว ? ”

“ทางด้านข้าเสร็จสมบูรณ์แล้ว ทางด้านเจ้าเป็นเช่นไรบ้าง ? ”

“ฝั่งข้าเสร็จเรียบร้อยแล้ว ตอนนี้ก็เหลือแค่ทางด้านผู้อาวุโสเยว่และผู้อาวุโสเสวี่ยว่าเป็นเช่นไรบ้าง ! ”

“ทางด้านข้าก็เสร็จแล้วเช่นกัน ! ”

“ทางด้านข้าของวิเศษชิ้นสุดท้ายก็วางเสร็จเรียบร้อยแล้ว”

“ในเมื่อเป็นเช่นนี้พวกเราก็ปล่อยพลังปราณเข้าสู่ค่ายกลกันเถอะ”

“เริ่มได้ ! ”

หลังสิ้นเสียงของตัวแทนผู้แข็งแกร่งฝ่ายมาร

“เปรี้ยง ! ”

“เปรี้ยง ! ”

“เปรี้ยง ! ”

“เปรี้ยง ! ”

ทันใดนั้นลำแสงสีเลือดมากมายก็ทะยานขึ้นจากที่ต่าง ๆ ของทุ่งน้ำแข็ง

ไอพลังค่ายกลเวทย์โบราณที่มีมวลมหาศาล ก็ปกคลุมไปทั่วทั้งทุ่งน้ำแข็งอันกว้างใหญ่ภายในพริบตา

หลังผ่านไปมิกี่อึดใจ อาวุธในตำแหน่งต่าง ๆ ก็เกิดการสะท้อนกันไปมา ทำให้ลำแสงสีเลือดเหล่านั้นเปล่งแสงอันเจิดจ้าขึ้นทันที

มินานก็เกิดหมอกสีเลือดขนาดใหญ่ปกคลุมฟ้าดิน ของทุ่งน้ำแข็งแห่งนี้เอาไว้จนหมด

ช่างเป็นภาพที่น่าอัศจรรย์ยิ่งนัก

สุดท้ายผู้แข็งแกร่งฝ่ายมารนับสิบคนที่มีสีหน้าซีดเซียว และเต็มไปด้วยความเหนื่อยล้าก็มารวมกันอยู่ที่ยอดเขาน้ำแข็งแห่งหนึ่ง

“ค่ายกลคุกโลหิตนี้เป็นค่ายกลโบราณที่ตกทอดมานับตั้งแต่สมัยบรรพกาล ค่ายกลนี้สามารถกันทุกสิ่งจากโลกภายนอกได้ บัดนี้ค่ายกลคุกโลหิตถูกเปิดเรียบร้อยแล้ว เชื่อว่าท่านจักรพรรดิคงมิได้ยินเสียงพิณนั่นแล้วล่ะ”

มารตนหนึ่งที่มีรูปร่างผอมแห้ง ใบหน้าเหลี่ยม นัยน์ตาแดงก่ำ เอ่ยขึ้นพร้อมกับแสยะยิ้มออกมา “เวลานี้พวกเราแค่ต้องรอท่านจักรพรรดิทำลายผนึกอย่างเงียบ ๆ เท่านั้น ถึงตอนนั้นพวกเราก็จะบุกเข้าโจมตีจงหยวน ! ”

มารหัวโล้นและมีรอยแผลบนใบหน้าผู้หนึ่ง ได้ยินเช่นนั้นก็ถอนหายใจออกมา “ขอให้ท่านจักรพรรดิอย่าเป็นอะไรไปเลย เพื่อจะสร้างค่ายกลคุกโลหิตนี้พวกเราต้องใช้ของวิเศษที่สะสมมานับหมื่นปีไปจนเกือบหมดเลยทีเดียว”

“ผู้อาวุโสฟ่าน ข้ารู้สึกว่าท่านมีสายตาที่คับแคบเกินไปหน่อยนะ”

ผู้อาวุโสฝ่ายมารผู้หนึ่งหัวเราะเสียงเย็น “ฝ่ายมารของเราต้องทนทุกข์ทรมานอยู่ในที่อันหนาวเหน็บเช่นนี้มาเกือบร้อยปี บัดนี้ท่านจักรพรรดิได้ตื่นขึ้นมาแล้ว ส่วนการทำลายผนึกก็เป็นสิ่งที่อยู่ใกล้แค่เอื้อมเท่านั้น”

“ถึงเวลานั้นขอเพียงพวกเราสามารถบุกโจมตีและยึดจงหยวนได้สำเร็จ อย่าว่าแต่ของวิเศษในตำนานอายุหลายหมื่นปีเลย ต่อให้ต้องใช้ของวิเศษทั้งหมดก็ถือว่าคุ้มค่าแล้ว”

“ข้าคิดว่าที่ผู้อาวุโสเยว่พูดมามีเหตุผล ขอเพียงบุกโจมตีจงหยวนได้ พวกเราก็จะสามารถยึดครองสมบัติบำเพ็ญเพียรจากที่ต่าง ๆ ของจงหยวนได้ ถึงเวลานั้นของสะสมนับหมื่นปีในดินแดนรกร้างแห่งนี้จะเทียบอะไรได้”

“……”

“……”

ในระหว่างที่ผู้แข็งแกร่งมากมายกำลังถกเถียงกันอยู่บนยอดเขาน้ำแข็งนั้น

ก็เกิดเหตุการณ์ประหลาดขึ้นอีกครั้ง

เสียงพิณ !

ใช่แล้ว เสียงพิณ !

เพลงฮั่วฟานที่คุ้นเคยดังขึ้นในบนทุ่งน้ำแข็งอีกครั้ง

ทันใดนั้นผู้แข็งแกร่งฝ่ายมารนับสิบคนที่มีใบหน้าซีดขาว และเต็มไปด้วยความเหนื่อยล้าก็ต้องตกตะลึงไปตาม ๆ กัน

พวกเขารู้สึกราวกับสมองขาวโพลน

นี่มันเรื่องอะไรกันแน่ ?

หรือว่าแม้แต่ค่ายกลคุกโลหิตก็มิอาจขวางกั้นเสียงพิณนี้ได้เยี่ยงนั้นหรือ ?

เป็นไปมิได้ !

ช่างน่าเหลือเชื่อยิ่งนัก !

แต่ปัญหาก็คือเสียงพิณนี้มาจากที่ใดกันแน่ ?

แล้วผู้ใดกันที่เป็นคนดีดพิณนี้ ?

ค่ายกลคุกโลหิตนี้แม้จะสร้างขึ้นมาภายในระยะเวลาหนึ่งวันหนึ่งคืน ทว่าระหว่างนั้นมีการใช้กำลังคนและทรัพยากรไปมากมายเพียงใด

พวกเขาที่เป็นผู้แข็งแกร่งต่างก็รู้ดีอยู่แก่ใจ

แต่บัดนี้ค่ายกลคุกโลหิตกลับไร้ผล

ดูก็รู้ว่าเวลานี้ภายในจิตใจของพวกเขารู้สึกสับสนมากเพียงใด

ผู้แข็งแกร่งทั้งหลายมีสีหน้าเปลี่ยนไปในทันที พร้อมกับมองหน้ากันด้วยสีหน้าโศกเศร้า

จากนั้นทุ่งน้ำแข็งที่ถูกค่ายกลคุกโลหิตปกคลุมเอาไว้นั้น ก็เกิดการสั่นสะเทือนรุนแรงขึ้นอีกครา

เห็นได้ชัดว่าท่านจักรพรรดิผู้เป็นความหวังของฝ่ายมารเริ่มฮึดสู้อีกคราแล้ว

“ย๊าก ! ”

เวลาผ่านไปมิกี่อึดใจ

หลังจากเงียบไปพักใหญ่

ผู้แข็งแกร่งนับสิบคนที่ยืนตระหง่านอยู่บนยอดเขาน้ำแข็ง ต่างก็เงยหน้าขึ้นและคำรามออกมาอย่างห้ามมิไหว เสียงนั้นเต็มไปด้วยความเสียใจและพลังอำนาจ

เพียงแต่สิ่งที่พอจะปลอบประโลมพวกเขาได้บ้างก็คือ เมื่อเวลาผ่านไปครึ่งชั่วยามเสียงพิณก็ค่อย ๆ เงียบหายไปอีกครา

เป็นอยู่เช่นนั้นติดต่อกันถึงสิบวัน

ทุกวันจะมีเสียงพิณทะลุค่ายกลคุกโลหิตเข้ามาด้านใน กระตุ้นจักรพรรดิมารตนนั้นมิหยุด

ส่วนผู้แข็งแกร่งทุกครั้งที่ได้ยินเสียงพิณนี้ก็รู้สึกเจ็บปวดหัวใจไปด้วยทุกครั้ง จนอยากที่จะกลืนกินผู้ที่ดีดพิณนี้เสียให้สิ้นซาก

อีกด้านหนึ่ง

เวลาสิบวันผ่านไปไวราวกระพริบตา

ยามเที่ยงของวันนี้ มีเงาร่างหนึ่งลอยอยู่ท้องฟ้านอกเมืองเสี่ยวฉือ เตรียมที่จะเหาะผ่านเมืองเสี่ยวฉือเพื่อไปยังดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียน

เห็นได้ชัดว่าผู้ที่มาก็คือซือถูเจิ้นผิง ที่เดินทางมาจากดินแดนศักดิ์สิทธิ์จื่อชิงนั่นเอง

แต่ขณะที่ซือถูเจิ้นผิงปรากฏตัวอยู่ด้านนอกเมืองเสี่ยวฉือนั้น ก็ได้ยินเสียงพิณอันไพเราะนุ่มนวลเข้า

ทันใดนั้นร่างทั้งร่างก็ชะงักงันอยู่กับที่ พร้อมกับสีหน้าตื่นตระหนก

“เสียงพิณนี้แฝงไว้ซึ่งพลังในวิถีดนตรีอันบริสุทธิ์ หากมิมีสิ่งใดผิดพลาด บรรพจารย์ท่านนั้นของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนคงจะเร้นกายอยู่ที่นี่เป็นแน่”

ซือถูเจิ้นผิงขมวดคิ้วแน่น พลางเอ่ยพึมพำกับตัวเอง “คาดมิถึงว่าผู้อาวุโสท่านนี้ มิเพียงแต่มีความแตกฉานในวิถีกระบี่ที่ไร้เทียมทานเท่านั้น แต่ยังมีความแตกฉานในวิถีดนตรีถึงเพียงนี้อีกด้วย ช่างน่าเหลือเชื่อโดยแท้”

ซือถูเจิ้นผิงคิดได้เช่นนั้นแล้วก็เกิดความลังเลขึ้นมา

ความจริงแล้วเขาอยากที่จะให้ผู้อาวุโสท่านนี้ชี้แนะปัญหาในวิถีกระบี่ให้เสียเดี๋ยวนี้

ทว่ายอดคนเช่นนี้ล้วนมีนิสัยแปลกประหลาด

หากเขาวู่วามเข้าไปพบตอนนี้ แล้วเกิดไปละเมิดข้อห้ามของผู้อาวุโสท่านนี้เข้า ถึงตอนนั้นเขาคงต้องตายอย่างอนาถเป็นแน่

ยิ่งไปกว่านั้นผู้อาวุโสท่านนี้อาจจะลงมือทำลายตบะบารมีของเขาเสียก็เป็นได้

หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง ซือถูเจิ้นผิงก็พึมพำกับตัวเอง พร้อมกับขมวดคิ้วมุ่น “ช่างเถอะ ไปพบเจ้าสำนักที่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนก่อน จากนั้นค่อยวางแผนอีกทีก็แล้วกัน”

เอ่ยเพียงเท่านั้นซือถูเจิ้นผิงก็ถอยหลังไปนับสิบลี้ภายในพริบตา จากนั้นก็อ้อมเมืองเสี่ยวฉือเพื่อเหาะไปยังดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียน

เวลาผ่านไปครึ่งก้านธูป

ซือถูเจิ้นผิงก็ปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งยังเชิงเขาไท่เสวียน

“ท่านเป็นใครกัน ? ”

เมื่อเห็นซือถูเจิ้นผิงเหาะเข้ามา

เหล่าศิษย์ที่กำลังตรวจตราเชิงเขาอยู่ก็ได้เงยหน้าขึ้นถาม

เนื่องจากมีเรื่องที่ต้องการขอร้องดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียน จึงทำให้ซือถูเจิ้นผิงมิได้แสดงท่าทางทะนงตนมากนัก เพียงแค่เอ่ยเสียงเรียบว่า

“บอกเจ้าสำนักไท่เสวียน ซือถูเจิ้นผิงแห่งนิกายหมื่นกระบี่ขอเข้าพบ”

‘นิกายหมื่นกระบี่ ? ’

ศิษย์ทั้งหลายสบตากันเล็กน้อย

นิกายหมื่นกระบี่ พวกเขาย่อมรู้จักมาบ้าง

เช่นนั้นศิษย์ที่เป็นผู้นำในที่นั้นจึงรีบประสานมือพลางกล่าวว่า “ผู้อาวุโสซือถูโปรดรอสักครู่ ผู้น้อยจะรีบไปเรียนท่านเจ้าสำนักเดี๋ยวนี้ขอรับ”

ซือถูเจิ้นผิงเพียงพยักหน้าน้อย ๆ

ณ ตำหนักไท่เสวียน ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียน

“ท่านเจ้าสำนัก ที่เชิงเขามีผู้อาวุโสจากนิกายหมื่นกระบี่ นามว่าซือถูเจิ้นผิงมาขอพบขอรับ”

ศิษย์ผู้หนึ่งรีบวิ่งเข้ามารายงานยังตำหนักไท่เสวียน หลังจากที่ได้รับข่าวจากเชิงเขา

“ซือถูเจิ้นผิงงั้นหรือ ? ”

“เหตุใดมิเคยได้ยินมาก่อนว่านิกายหมื่นกระบี่มีคนชื่อนี้ด้วย”

นักพรตฉางเสวียนขมวดคิ้วมุ่น อดมิได้ที่จะปรายตามองหนานกงเสวียนจีที่นั่งอยู่ตรงข้าม พลางเอ่ยอย่างครุ่นคิด

ทว่าหนานกงเสวียนจีกลับมีสีหน้าเปลี่ยนไปทันที “คาดมิถึงว่าตาเฒ่าผู้นี้จะยังมีชีวิตอยู่อีก”

“ผู้อาวุโสหนานกง ท่านรู้จักซือถูเจิ้นผิงผู้นี้ด้วยหรือขอรับ ? ”

นักพรตฉางเสวียนเอ่ยถามด้วยความสงสัย

“เจ้าสำนักไทเสวียน เกรงว่าท่านคงจะลืมไปแล้ว”

หนานกงเสวียนจีมุมปากยกขึ้นน้อย ๆ ก่อนจะเอ่ยพร้อมรอยยิ้มบาง ๆ “เมื่อพันปีก่อนตาเฒ่าผู้นี้ถือเป็นอันดับหนึ่งในวิถีกระบี่อย่างแท้จริงเชียวนะ”

“เป็นเขาเยี่ยงนั้นหรือขอรับ ! ”

นักพรตฉางเสวียนลุกขึ้นยืนด้วยใบหน้าตื่นตระหนกในทันที