ตอนที่ 172 จะทำอย่างไร

ปฏิญญาค่าแค้น

“ถึงอย่างไรเจ้าเองก็รู้ดีแก่ใจอยู่แล้ว” หลินหลันไม่พูดอะไรให้มากความเช่นกัน นางเชื่อมั่นว่าหมิงอวินยังคงมองสถานการณ์โดยรวมออก

หลี่หมิงอวินเผยรอยยิ้มเล็กน้อย “ข้าเข้าใจดี ข้ายังพอรู้จักประมาณตน”

อีกฟากหนึ่ง หลี่จิ้งเสียนอยากหยิบยกกฎระเบียบตระกูลมาสั่งสอนลูกไม่เอาไหนผู้นี้อย่างดุดัน หลี่หมิงเจ๋อสะอึกก่อนกล่าวประโยคหนึ่งที่ทำให้ความโกรธเกรี้ยวของพ่อหลี่ผู้ไร้ยางอายมอดดับลงไปจนหมดสิ้น

“ท่านพ่อ เรื่องลงโทษตามกฎระเบียบตระกูลในครั้งนี้บันทึกเอาไว้ชั่วคราวนะขอรับ! รอลูกสอบหมิงจิ้งเสร็จสิ้นเป็นที่เรียบร้อย ท่านค่อยลงโทษลูกนะขอรับ”

หลี่จิ้งเสียนตะลึงงันไปชั่วขณะ จู่ๆ ก็เกิดความรู้สึกสับสนขึ้นมาฉับพลันว่านี่เป็นบุตรชายของตนเองจริงหรือไม่ ถึงขั้นรู้จักต่อปากต่อคำขึ้นมาแล้วหรือ

นางฮานรีบเอ่ยปากช่วยบุตรชายแก้ไขสถานการณ์ดังกล่าวอีกแรง “ท่านพี่ พรุ่งนี้หมิงเจ๋อต้องเริ่มสอบแล้ว ท่านคงมิให้เขาไปสอบโดยการให้คนแบกหามเข้าไปกระมัง! อีกอย่าง หมิงเจ๋อเพียงแค่คิดว่าการอ่านตำราในช่วงนี้เหน็ดเหนื่อยเกินไปและรู้สึกกดดันอย่างยิ่งจึงออกไปพักผ่อนหย่อนใจก็เท่านั้น ยามนี้คนทั้งคนก็กลับมาแล้ว ท่านให้อภัยเขาก่อนสักครั้งเถอะนะเจ้าคะ!”

หลี่จิ้งเสียนโมโหส่วนโมโห เขายังพอแยกแยะความสำคัญก่อนหลังได้ชัดเจนดี แต่ก็ไม่เต็มใจที่จะให้อภัยหมิงเจ๋ออย่างง่ายดายเพียงนี้ ในระหว่างนั้นหญิงชราส่งคนมาเรียกนายท่านและนายหญิงไปพูดคุยอย่างได้จังหวะพอเหมาะพอเจาะ หลี่จิ้งเสียนจึงทำได้เพียงกล่าวด้วยน้ำเสียงตะคอกภายใต้สีหน้าดุดัน “ยังมิรีบไสหัวไปอีก”

หลี่หมิงเจ๋อที่กำลังหน้าซีดเผือดจึงเดินโซซัดโซเซออกไป

วันนี้หญิงชรารู้สึกแย่มาตลอดทั้งวัน เริ่มจากเรื่องของหลี่จิ้งเสียนกับอวี๋เหลียนที่ยังไม่ทันจัดการให้เรียบร้อย หมิงเจ๋อก็ดันมาเกิดปัญหาขึ้นอีก สำหรับนางการรอคอยหมิงเจ๋อกลับมานั้นนับว่าเป็นช่วงเวลาที่ดำเนินไปอย่างยากลำบาก นอกจากนั้นนางยังรู้นิสัยใจคอของจิ้งเสียนเป็นอย่างดี เลยเกรงว่าหมิงเจ๋อจะตกที่นั่งลำบาก จึงให้คนไปเรียกจิ้งเสียนกับนางฮานมาพบ

หลี่จิ้งเสียนมาถึงโถงจาวฮุยโดยยังคงเผยสีหน้าซึ่งแสดงให้เห็นถึงอารมณ์หงุดหงิด ทว่าเขาพยายามควบคุมตนเองอย่างถึงที่สุด เข้าไปคารวะผู้เป็นมารดาด้วยความเคารพและเอ่ยทักทาย

นางฮานก็คารวะให้แล้วเอ่ยทักทายด้วยเช่นกัน

หญิงชราหน้าดำคร่ำเครียดหนักกว่าเดิมเมื่อเห็นสีหน้าของบุตรชาย “อายุก็ปูนนี้แล้ว มิรู้จักทำนิสัยใจคอให้มั่นคงหนักแน่นเสียหน่อย”

หลี่จิ้งเสียนยังคงไม่เข้าใจถึงแก่นแท้ในคำพูดดังกล่าวของผู้เป็นมารดา จึงกล่าว “หมิงเจ๋อประพฤติปฏิบัติเหลวไหลเกินไป อีกทั้งยังไร้ความรับผิดชอบ ทว่าท่านแม่วางใจได้ ลูกจะสั่งสอนเขาให้ดีๆ อย่างแน่นอนขอรับ”

นางฮานนึกตำหนิอย่างเงียบๆ ทีเรื่องที่เจ้าประพฤติมินับว่าเหลวไหลหรือไร ยังมีหน้าไปสั่งสอนบุตรชายอีก

หญิงชราสบถ ฮึ อย่างเย็นชา “แล้วเจ้ามิเหลวไหลหรือ เจ้ามีความรับผิดชอบหรือ หากเจ้าเป็นผู้ที่มั่นคงหนักแน่น ไยหรือจะทำเรื่องเช่นนั้นออกมาได้ เจ้ายังมีหน้าไปสั่งสอนหมิงเจ๋ออีกหรือ ข้าว่าหมิงเจ๋อก็คงถูกแรงกระตุ้นจากบิดาอย่างเจ้าเสียแล้วกระมัง”

หลี่จิ้งเสียนถึงกับเหงื่อท่วมหน้าผากขึ้นมาฉับพลัน เขาก้มหน้าด้วยความวิตกกังวลและไม่กล้าโต้เถียงใดๆ

สองสามประโยคจากปากหญิงชรานี้ นับว่าเป็นการกล่าวความในใจของนางออกไป ซึ่งน้ำเสียงโดยรวมที่กล่าวออกไปนั้นแสดงถึงความไม่พึงพอใจอย่างชัดเจน

“เจ้าก็มิรู้จักไตร่ตรองเสียหน่อย อวี๋เหลียนเป็นหลานสาวของพี่สะใภ้เจ้า เจ้าทำเช่นนี้แล้วพี่สะใภ้เจ้าจะเอาหน้าไปไหวแห่งหนไหน คนที่บ้านเกิดจะพากันคิดอย่างไร เจ้า…เจ้าช่างเลอะเลือนเสียจริงเชียว!” หญิงชรากล่าวอย่างบันดาลโทสะ

หลี่จิ้งเสียนก้มหน้าต่ำลงยิ่งกว่าเดิมและกล่าวด้วยน้ำเสียงซึ่งขาดความมั่นใจ “อวี๋เหลียนนาง…”

ไม่ทันได้กล่าวจนจบก็ถูกหญิงชราขัดจังหวะขึ้นมาอย่างดุดัน “เจ้าอย่าคิดว่าแม่แก่เฒ่าแล้วก็จะเลอะเลือนไม่รู้เรื่องรู้ราว อวี๋เหลียนขี้ขลาดตาขาวมาแต่ไหนแต่ไร กระทั่งพูดเสียงดังขึ้นมาสักประโยคยังมิกล้า แม้แต่สบหน้ามองดูผู้คนอย่างตรงๆ ยังมิกล้ามองด้วยซ้ำไป แล้วจะกล่าวว่านางยั่วยวนเจ้าเช่นนั้นหรือ เจ้าจะใช้ข้ออ้างเหล่านี้บอกกล่าวต่อคนภายนอกก็ช่าง แต่คิดหรือว่าจะปิดบังมารดาของเจ้าที่ให้กำเนิดและเลี้ยงดูเจ้ามาไปได้”

นางฮานซึ่งอยู่ด้านข้างปล่อยหยาดน้ำตาไหลรินออกมาด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจ หลี่จิ้งเสียนจึงทำได้เพียงกล่าวขออภัยซ้ำแล้วซ้ำเล่า “เป็นลูกเองที่สติฟั่นเฟือนไป ขอท่านแม่โปรดอย่าได้เก็บเอาไปใส่ใจจนทำลายสุขภาพเลยนะขอรับ”

หญิงชรารู้สึกทุกข์ระทมใจอย่างยิ่ง “ปีนั้นข้าก็เคยพูดไว้แล้วเช่นกันว่าจะไม่สนใจเรื่องของเจ้าอีก แต่ถึงอย่างไรเจ้าก็เป็นบุตรของข้า จะเลวจะร้ายมากเพียงใดก็ไม่อาจมองดูเจ้าทำผิดซ้ำแล้วซ้ำเล่าอย่างเงียบๆ ได้ หากเจ้าถูกอกถูกใจผู้ใด ต้องการรับอนุภรรยาหน้าไหนมา แม่ล้วนมิว่าอันใดทั้งสิ้น ขอเพียงภรรยาของเจ้ายินยอมด้วยเท่านั้น ทว่าเจ้าดันต้องการอวี๋เหลียน ยามนี้เจ้าว่าเรื่องนี้ควรจัดการอย่างไรหรือ”

หลี่จิ้งเสียนถูกตำหนิจนหูหน้าตาแดง เขากล่าวขึ้นด้วยความละอายแก่ใจ “ลูกจะให้ฐานะแก่นางขอรับ”

นางฮานรู้สึกเสมือนถูกทิ่มแทงไม่ยั้งจึงส่งเสียงตะคอกขึ้นมา “ข้าไม่ยินยอม”

หลี่จิ้งเสียนจ้องเขม็งไปที่นาง “เช่นนั้นเจ้าลองเอ่ยมาสิว่าเรื่องนี้จะจัดการเยี่ยงไร”

นางฮานกล่าวด้วยความโกรธเกรี้ยว “ข้าไม่สน เจ้าก่อเรื่องขึ้นมาเอง เจ้าก็จัดการแก้ไขด้วยตนเองไปเสีย ทว่าเรื่องให้ฐานะนาง จะทำได้ก็ต่อเมื่อข้าตายไปแล้วเท่านั้น”

หญิงชราแสดงอาการหายใจหายคอไม่ทัน แม่จู้จึงรีบเข้ามาเพื่อจะช่วยลูบแผ่นหลังให้นาง ทว่าหญิงชรากลับแสดงท่าทีเป็นนัยบอกนางว่าไม่เป็นไร นางลูบหน้าอกของตนเองเพื่อผ่อนคลายอารมณ์ก่อนหันไปกล่าวกับนางฮาน “ข้ารู้ดีว่าเรื่องนี้ทำให้เจ้ารู้สึกไม่ยุติธรรม ทว่าเจ้าเองก็รู้ชัดกระจ่างแจ้งว่าเรื่องนี้ผู้ใดเป็นคนริเริ่ม”

นางฮานตกตะลึงทันที นางมองไปยังดวงตาอันขุ่นมัวของหญิงชราแต่กลับจ้องเขม็งมาที่นางด้วยอานุภาพรุนแรงยิ่งจึงอดรู้สึกร้อนตัวขึ้นมามิได้ นางถึงกับไม่รู้ว่าควรพูดอันใดต่อไปอย่างฉับพลัน

ทันใดนั้นมีเพียงเสียงของหญิงชราที่กล่าวขึ้นอีกระลอก “วันนี้ช่วงบ่าย ยามที่เจ้ากำลังร้อนรนใจตามหาบุตรชายให้ทั่ว อวี๋เหลียนเกือบผูกคอปลิดชีพอยู่ในห้องของตนเองเสียแล้ว”

หลี่จิ้งเสียนและนางฮานต่างตระหนกตกใจ

“เด็กผู้นี้ เพราะได้รับความไม่ยุติธรรมจนอัดแน่นแต่หาได้มีที่ใดให้กล่าวระบายความอัดอั้นนี้ออกไปไม่ โชคดีที่โม่เอ๋อร์พบเจอทันการณ์ มิเช่นนั้น ยามนี้พวกเจ้าจะยังยืนพูดคุยกันตรงนี้ได้อีกหรือ หากนางเสียชีวิตขึ้นมาจริง พวกเจ้าเตรียมการจะบอกกล่าวคนบ้านเขาอย่างไรหรือ อวี๋เหลียนแม้ว่าภูมิหลังต่ำต้อยไปหน่อย แต่ถึงอย่างไรก็เป็นสตรีที่ซื่อสัตย์จริงใจผู้หนึ่ง พี่สะใภ้เจ้าก็มีจิตใจอันเปี่ยมไปด้วยเจตนาดีอยากช่วงมารดาของนางทำสิ่งดีๆ ให้สักเรื่อง ทว่านางถูกส่งมายังบ้านเราไม่กี่เดือนก็แขวนคอเพื่อปลิดชีพตนเองเสียแล้ว มิว่าพวกเจ้าจะใช้วาทศิลป์ที่ฟังดูสวยหรูเพียงใด ก็ยากที่จะหลุดพ้นคำตำหนิไปได้ และต่อให้ไม่เอ่ยถึงทางด้านบ้านเกิด ยามนี้จิ้งเสียนมียศถาบรรดาศักดิ์สูงส่ง หน้าที่การงานของหมิงอวินก็เป็นไปอย่างราบรื่น ผู้คนที่อิจฉาตาร้อนมีอยู่มากมายยิ่งนัก ซึ่งล้วนแต่จ้องจะจับผิดพวกเรา หากมีผู้ให้ความสนใจต่อเรื่องนี้และกล่าวหาว่าความลุ่มหลงในราคะของเจ้ามีส่วนบีบบังคับให้คนเขาถึงแก่ความตาย ต่อให้หลุดพ้นจากการถูกลงโทษไปได้ ทว่าชื่อเสียงของเจ้าก็คงเป็นอันพังพินาศไม่เหลือชิ้นดี…”

หลี่จิ้งเสียนได้ฟังดังกล่าวจึงรู้สึกเจ็บปวดและเศร้าสลด ส่วนนางฮานยิ่งแสดงถึงอาการกังวลใจขึ้นมามากยิ่งขึ้น นางเอาแต่กระวนกระวายใจเรื่องของหมิงเจ๋อตลอดทั้งช่วงบ่าย ถึงได้ไม่รู้ว่าคนชั้นต่ำผู้นั้นผูกคอหวังฆ่าตัวตาย และไม่รู้เช่นกันว่าคนต่ำช้าผู้นั้นได้เอ่ยถึงหมิงจูออกไปด้วยหรือไม่ นังคนชั้นต่ำผู้นี้ เหตุใดถึงไม่ผูกคอตายๆ ไปให้สิ้นเรื่อง

“ลูกสะใภ้ของข้า ข้าหญิงชราคนหนึ่งก็คงไม่ขอพูดอันใดไปมากกว่านี้แล้ว หากเจ้ายืนหยัดที่จะไม่ยินยอม เช่นนั้นหญิงชราอย่างข้าก็คงทำได้เพียงพาตัวต้นเรื่องกลับบ้านเกิดไปเพื่อชี้แจ้งต่อครอบครัวอวี๋” หญิงชรากล่าวโดยตวัดสายตาอย่างมีนัยอื่นมองไปยังนางฮาน

ต่อให้นางฮานโง่เขลาเพียงใดก็เข้าใจถึงความหมายในคำพูดของหญิงชรา หญิงชรากำลังหยิบยกหมิงจูมาบีบบังคับนาง

หลี่จิ้งเสียนเข้าใจเพียงว่ามารดาต้องการให้เขากลับบ้านเกิดไปขอขมา จึงลนลานกล่าวขึ้นทันควัน “เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว เจ้ายังต้องการอย่างไรอีกหรือ จะโวยวายจนคนเขารู้กันทั่วบ้านทั่วเมืองเลยหรือไร ทำเช่นนี้แล้วเจ้าจะได้ประโยชน์อันใดหรือ หากครั้งนี้หมิงเจ๋อสอบหมิงจิ้งผ่าน ก็ยังมีการสอบขุนนางส่วนท้องถิ่นตามมาติดๆ หากในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อนี้ ตระกูลหลี่ดันมีเรื่องไม่ดีงามแพร่งพรายออกไป เรื่องของหมิงเจ๋อก็เลิกคาดหวังอันใดไปได้เลย”

ทางด้านหนึ่งเป็นชื่อเสียงของบุตรสาว อีกด้านหนึ่งเป็นอนาคตในหน้าที่การงานของบุตรชาย นางฮานถูกบีบบังคับให้เข้าไปอยู่ในทางตัน นอกจากยินยอมประนีประนอมแล้วยังมีวิธีอื่นใดอีกหรือ นางฮานกล่าวทั้งน้ำตาภายใต้สีหน้าเศร้าสลด “เหตุใดชีวิตข้าถึงทุกข์ระทมเช่นนี้นะ…”

หลังคู่สามีภรรยาที่ทำให้คนเขามีแต่ทุกข์ใจเดินออกไปแล้ว หญิงชราจึงเอนกายพิงหมอนอิงอย่างอ่อนล้า นางปิดเปลือกตาลงพลางกล่าวด้วยความเหนื่อยใจ “มิควรมาแต่แรกเลย ตาไม่เห็นจิตใจก็มิต้องวุ่นวาย…”

แม่จู้กล่าวอย่างเข้าอกเข้าใจ “โชคดีที่มาต่างหากเจ้าค่ะ มิเช่นนั้นไม่รู้เลยว่ายามนี้จะยุ่งวุ่นวายจนกลายเป็นสภาพเช่นไร คงมีก็แต่การออกโรงของท่านที่จะทำให้เรื่องนี้สงบลงได้เจ้าค่ะ”

หญิงชราส่ายหน้า “หากข้ามิรีบจัดการเรื่องนี้ให้เสร็จสิ้นแต่เนิ่นๆ หากอวี๋เหลียนเด็กคนนั้นคิดมิได้ขึ้นมาอีก เฮ้อ…แต่ละคนไม่เคยทำให้เบาใจได้สักคนเดียว คนแก่ๆ อย่างข้าคงต้องถูกพวกเขาทำให้โมโหจนตายเข้าสักวันหนึ่ง”

แม่จู้กล่าวปลอบใจ “จากเรื่องราวครั้งนี้ หมิงจูเสี่ยวเจี่ยะน่าจะได้รับบทเรียนจากความผิดพลาดแล้วละเจ้าค่ะ”

ดวงตาคู่ขุ่นมัวของหญิงชราเบิกขึ้น เผยร่องรอยแห่งความเย็นชา “ครั้งนี้นางฮานช่วยนางแบกรับ ข้าจึงทำได้เพียงช่วยนางปิดบัง หากนางไม่รู้จักกลับตัวกลับใจ คนที่ลำบากก็คือตัวนาง”

ติงหลั้วเหยียนถือน้ำแกงซึ่งมีประสิทธิผลช่วยให้สร่างเมาไปให้หมิงเจ๋อด้วยตนเอง

“หมิงเจ๋อ ดื่มน้ำแกงก่อนเถอะ!”

หมิงเจ๋อเอาแต่อ่านตำราโดยไม่เงยศีรษะขึ้นมามอง “วางไว้ก่อนเถิด!”

ติงหลั้วเหยียนวางมันลงอย่างระมัดระวัง นางยืนลังเลใจอยู่ด้านข้างเนิ่นนานพอตัวก่อนจะกล่าวขึ้นด้วยเสียงบางเบา “เมื่อคืนนี้ ข้ามิได้ตั้งใจพูดจาเช่นนั้น อันที่จริง…”

หมิงเจ๋อกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “ข้าเข้าใจดี”

ติงหลั้วเหยียนเห็นสีหน้าของเขาในวันนี้ที่เรียกว่าเป็นความเฉยเมยก็ว่าได้ เสมือนเขาเปลี่ยนไปเป็นคนละคน หลังหมิงเจ๋อหายออกไป นางก็ได้ตรึกตรองเช่นกัน แม้ว่าหมิงเจ๋อไม่เอาไหนอย่างยิ่ง และในบางครั้งยังดูโง่เขลาเบาปัญญา ทว่า…นางเองก็ไม่เคยทำหน้าที่ของการเป็นภรรยาคนหนึ่งอย่างเต็มที่เช่นกัน

“เจ้ายังโกรธข้าอยู่หรือ” ติงหลั้วเหยียนเอ่ยถามเสียงบางเบา

หมิงเจ๋อเงยหน้าขึ้นมา เผยดวงตาอันสงบนิ่ง “เปล่า ข้าเพียงแค่คิดเรื่องราวบางอย่างได้แล้ว หลั้วเหยียน เจ้าไปนอนก่อนเถอะ! ข้าขออ่านตำราอีกสักประเดี๋ยว” เมื่อกล่าวจนเขาก็ก้มหน้าก้มตาไปจดจ่อบนหนังสือดังเดิม

หมิงเจ๋อที่เป็นเช่นนี้ทำให้คนรู้สึกแปลกประหลาดและไม่คุ้นชินอย่างมาก เขาคิดอันใดขึ้นมาได้หรือ ติงหลั้วเหยียนยังคงลังเลใจและอ้ำๆ อึ้งๆ อยู่ชั่วขณะก่อนจะเดินออกจากห้องหนังสือไปอย่างเงียบๆ

กระทั่งนางเดินออกไปแล้ว หมิงเจ๋อจ้องมองประตูบานนั้นพลางครุ่นคิดอย่างเงียบๆ หลั้วเหยียน เมื่อก่อนข้าเคยพูดอะไรต่อมีอะไรไว้มากมาย ยามที่พูดออกไปล้วนเป็นความจริงใจทั้งสิ้น ทว่าท้ายที่สุดล้วนทำมิได้อย่างที่กล่าว ข้ามักโอดครวญว่าเป็นเพราะเจ้าปฏิบัติต่อข้าอย่างเย็นชาเกินไป เป็นเพราะในหัวใจของเจ้าไม่มีข้า ทว่ายามนี้ข้าเพิ่งเข้าใจได้ว่าการหลีกหนีจากความเศร้าโศกมิใช่วิธีการที่พึงกระทำ การทำอันตามอำเภอใจมิใช่สิ่งที่เป็นเหตุเป็นผล ข้าจะพยายามเปลี่ยนแปลงตนเองและหวังว่าคงมีสักวันหนึ่ง ยามที่เจ้าหลับฝันจะเอ่ยถึงชื่อของข้าขึ้นมาบ้าง…

วันรุ่งขึ้น หลังรับประทานมื้อเช้าเป็นที่เรียบร้อย หลินหลันให้หยินหลิ่วนำยาไปส่งให้อวี๋เหลียน ไม่นานนักหยินหลิ่วก็กลับมาโดยหอบเอาคำพูดของอวี๋เหลียนกลับมาด้วย ซึ่งนางกล่าว่าสูตรที่นายหญิงสะใภ้รองจ่ายให้ยอดเยี่ยมยิ่งนัก มิทันไรก็เห็นประสิทธิผลแล้ว

หลินหลันฉีกรอยยิ้มเมื่อได้ฟังดังกล่าว ทว่าหยินหลิ่วกลับงุนงงสับสนเล็กน้อย “เอ้อร์เส้าหน่ายนายเจ้าคะ เมื่อวานมิใช่ว่าท่านให้ยาเม็ดไม่กี่เม็ดกับยาขี้ผึ้งหนึ่งขวดแก่อวี๋เสี่ยวเจี่ยะเท่านั้นเองหรือเจ้าคะ มิได้เขียนสูตรอันใดให้นี่เจ้าคะ เหตุใดอวี๋เสี่ยวเจี่ยะถึงกล่าวว่าสูตรที่ท่านจ่ายให้ยอดเยี่ยมล่ะเจ้าคะ”

หลินหลันแสร้งกล่าวด้วยรอยยิ้มอย่างมีลับลมคมนัย “ใครว่าสูตรที่ว่าก็คือสูตรยากันเล่า”

หยินหลิ่วตกตะลึง ราวกับเข้าใจขึ้นมาบ้างเล็กน้อย “เอ้อร์เส้าหน่ายนายเจ้าคะ ท่านว่านายท่านจะรับอวี๋เสี่ยวเจี่ยะเป็นอนุภรรยาหรือไม่เจ้าคะ”

หลินหลันชายตาขึ้นโดยมองไปยังต้นกล้วยน้ำว้าสีเขียวอร่ามต้นหนึ่งที่อยู่นอกหน้าต่างพลางกล่าวอย่างใจเย็น “อวี๋เสี่ยวเจี่ยะกล่าวว่าเห็นประสิทธิพลแล้วมิใช่หรือ”

ขณะนั้นเอง หยินหลิ่วถึงได้เข้าใจอย่างถ่องแท้ นางจึงหัวเราะขึ้นมา “ที่แท้สูตรที่เอ้อร์เส้าหน่ายนายจ่ายให้ก็คือสูตรนี้นี่เอง มิน่าล่ะวันนี้สีหน้าของอวี๋เสี่ยวเจี่ยะถึงได้ดูดีขึ้นเยอะเลยเจ้าค่ะ”

หลี่หมิงอวินเดินเข้ามาหลังฝึกคัดตัวอักษรเสร็จสิ้น เมื่อได้ยินนายบ่าวพูดคุยกันจึงกล่าวขึ้นด้วยรอยยิ้ม “หยินหลิ่ว เรียนรู้จากนายหญิงของเจ้าให้มากๆ เข้าไว้ล่ะ อย่าสนใจแต่เรียนรู้วิธีการรักษาอาการป่วยเท่านั้น ยังต้องหัดเรียนรู้ทักษะการรักษาอาการทางใจไว้ด้วย”

หยินหลิ่วเม้มริมฝีปากเข้าหากันก่อนเอ่ยขึ้น “สมองของข้าน้อยโง่เขลาอย่างยิ่งเจ้าค่ะ ข้าน้อยเรียนรู้ทักษะการรักษาโรคภัยไข้เจ็บและเป็นผู้ช่วยที่ดีของเอ้อร์เส้าหน่ายนายได้ก็นับว่าดีมากแล้วเจ้าค่ะ”

หลี่หมิงอวินอมยิ้ม “ข้าว่าเจ้ามิโง่เขลาเลยสักนิด”

หลินหลันส่งสัญญาณให้หยินหลิ่วออกไปเสียก่อน แล้วจึงเอ่ยถามหมิงอวิน “วันนี้เจ้ามิต้องไปช่วยท่านเผยหรอกหรือ”

หลี่หมิงอวินกล่าวอย่างใจเย็น “ข้าจำเป็นต้องหลีกเลี่ยงความเคลือบแคลงใจที่อาจเกิดขึ้น จะให้รีบกระโจนเข้าไปร่วมด้วยคงไม่เหมาะเท่าใดนัก ถือเสียว่าเป็นวันพักผ่อนวันหนึ่งแล้วกัน อีกประเดี๋ยวข้าจะไปบ้านตระกูลเฉินสักหน่อย แล้วช่วงบ่ายค่อยไปหาเจ้าที่ร้านยา จะได้ไปบ้านตระกูลเผยเป็นเพื่อนเจ้า”

หลินหลันกล่าว “เจ้าควรชี้แนะจื่ออวี้ให้ดีๆ เข้าไว้ ขืนชักช้าอีกต่อไปมีหวังได้กลายเป็นผู้ชายเหลือเลือกกันพอดี”

หลี่หมิงอวินขมวดคิ้ว “ผู้ชายเหลือเลือก? คืออันใดหรือ”

หลินหลันอ้ำอึ้งอยู่ชั่วขณะ “ผู้ชายเหลือเลือกหมายถึงบุรุษที่ถึงวัยอันเหมาะสมแล้วแต่กลับยังหาภรรยามิได้อย่างไรล่ะ”

ทันใดนั้นหลี่หมิงอวินก็ฉีกยิ้มกรุ้มกริ่มขึ้นมา “วิธีการพูดของเจ้าค่อนข้างน่าสนใจทีเดียวเชียว”

หลินหลันมีท่าทีอับอายเล็กน้อย ไม่ทันระวังก็ดันหลุดคำศัพท์ใหม่ออกมาอีกแล้ว