ภาคที่ 2 บทที่ 165 ผู้ช่วย

มู่หนานจือ

อ๋องเหลียว!

หรือว่าจะเป็นอ๋องเหลียว?

เจียงเจิ้นหยวนกับเจียงลวี่อดที่จะแลกเปลี่ยนสายตากันไม่ได้

ทว่าจินเซียวกลับยังคงเอ่ยอย่างน้อยใจอยู่ตรงนั้นว่า “เดิมทีข้าไม่คิดจะไป แต่ด้วยความเป็นเพื่อนกับเซ่าเจียงมาตั้งแต่เด็กจึงตามไป แล้วก็ได้ยินพวกเขาบอกว่า ช่วงนี้คนในเมืองหลวงต่างชอบไปตกปลาและเล่นไพ่ที่หมู่บ้านใกล้เคียง อีกไม่กี่วันข้าก็จะกลับไปไท่หยวนแล้ว ก็คิดว่าที่เมืองหลวงก็ถือว่ามีเพื่อนหลายคนแล้ว…”

เรื่องราวที่เหลือไม่พูด ทุกคนก็เดาได้ว่าอะไรเป็นอะไรแล้ว

เจียงเจิ้นหยวนเอ่ยโดยไม่รอให้จินเซียวพูดจบว่า “ข้ารู้แล้ว ข้าจะส่งคนไปสืบทางอ๋องเหลียว ดึกมากแล้ว ทุกคนกลับไปพักก่อนเถอะ! หากมีเรื่องอะไรข้าค่อยเรียกพวกเจ้า”

ความนัยที่แฝงในนั้นคือ ทุกคนต่างมีความน่าสงสัย ดังนั้นเรียกเมื่อไรก็มาได้เมื่อนั้นจะดีที่สุด

จินเซียวก้มหน้าลง และเดินออกไปกับพวกเฉาเซวียน

จ้าวเซี่ยวเกือบจะกลายเป็นลูกเขยของจวนเจิ้นกั๋วกงแล้ว และเขาคิดว่า ตราบใดที่ตระกูลเจียงยังยอมรับการแต่งงานนี้ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับเจียงเซี่ยน เขาก็ไม่อาจเสนอให้ถอนหมั้นเองได้ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ก็ตั้งใจหาเจียงเซี่ยนให้พบดีกว่า

เขาไม่กลับไป และเอ่ยกับเจียงเจิ้นหยวนเองว่า “ข้าพาทหารสอดแนมเข้าเมืองหลวงมาด้วยสองสามคน ใช้ได้หรือไม่?”

ทหารสอดแนมเป็นทหารที่ในกองทัพใช้เพื่อสืบสถานการณ์ทางการทหารและสืบข่าว จึงเก่งกว่าคนธรรมดามากทีเดียว

ก่อนหน้านี้ที่สืบเรื่องฮ่องเต้ ก็ใช้ทหารสอดแนมเช่นกัน เพียงแต่เป็นทหารสอดแนมของตระกูลเจียง

“สืบเรื่องอ๋องเหลียวก็ไม่ต้องแล้ว” เจียงเจิ้นหยวนเอ่ยอย่างเคร่งขรึม “หลายวันนี้เจ้าก็ไม่ค่อยได้พักผ่อนเลย กลับไปพักก่อนเถอะ! หลังจากนี้อาจจะยังมีงานที่เจ้าต้องทำ เวลานี้เจ้าต้องพักผ่อนให้เพียงพอ”

ความนัยที่แฝงในนั้นคือ หากอ๋องเหลียวเป็นคนทำจริง ตระกูลเจียงจะไม่เสียดายกำลังทหาร จ้าวเซี่ยวเป็นคู่หมั้นที่เจียงเซี่ยนเลือก ด้วยศีลธรรมแล้วก็ย่อมไม่อาจปฏิเสธได้

จ้าวเซี่ยวเข้าใจ “เช่นนั้นข้าจะรอข่าวจากท่านลุงขอรับ”

เจียงเจิ้นหยวนพยักหน้า

จ้าวเซี่ยวออกจากห้องหนังสือ

ผู้ติดตามของเขาตามมาทันที จนกระทั่งออกจากจวนเจิ้นกั๋วกงและขึ้นรถม้าของตนเองแล้ว ก็อดที่จะเอ่ยเสียงเบาไม่ได้ว่า “ซื่อจื่อ ท่านยังจะแต่งงานกับท่านหญิงเจียหนานจริงๆ หรือขอรับ?”

จ้าวเซี่ยวไม่พูดอะไร

หากอ๋องเหลียวเป็นคนลักพาตัวท่านหญิงเจียหนานไปจริง เกรงว่าอ๋องเหลียวทำสำเร็จแล้ว

เขายังแต่งกลับมา ต่อให้เขาไม่สนใจ ท่านหญิงเจียหนานยังจะใช้ชีวิตกับเขาได้อย่างสบายใจหรือไม่?

ท่านหญิงเจียหนานจะยังเป็นท่านหญิงเจียหนานคนเดิมหรือไม่?

ผู้หญิงเหมือนดอกไม้ ถูกลมและฝนแล้ว ก็จะมีผลกระทบบ้างไม่มากก็น้อย

คนที่เขาชอบคือท่านหญิงเจียหนานที่หยิ่งยโส เอาแต่ใจ และเจ้าเล่ห์เล็กน้อย ไม่ใช่ท่านหญิงเจียหนานที่ขี้ขลาดและมักจะรู้สึกว่าตนเองผิดต่อสามี

จ้าวเซี่ยวหลับตาลงอย่างรู้สึกว้าวุ่นใจและอ่อนเพลีย แล้วพึมพำว่า “ไว้ช่วยท่านหญิงกลับมาแล้วค่อยว่ากันแล้วกัน!”

ปกติแล้วลูกชายและลูกสาวของราชวงศ์ต่างไม่ค่อยสนใจเรื่องพวกนี้ พวกนางเป็นธิดาของฮ่องเต้ย่อมมีผู้ชายตามจีบมากมาย ไม่อย่างนั้นทำไมถึงเป็น ‘อภิเษก’ กับองค์หญิงไม่ใช่ ‘แต่งงาน’ กับองค์หญิงเล่า?

เขากลุ้มอยู่ตรงนี้ ท่านหญิงเจียหนานอาจจะถือว่าแค่ถูกสุนัขกัดคำหนึ่งก็ได้

หากเป็นแบบนี้จริง เช่นนั้นก็ต้องคอยดูอ๋องเหลียวแล้ว

แล้วยังฮ่องเต้

หากเขารู้เรื่องของท่านหญิงเจียหนาน ไม่รู้ว่าจะเป็นบ้าหรือไม่…

เขากำลังคิดอย่างสะลึมสะลือ นึกไม่ถึงว่าจะหลับไปในรถม้า

ณ จวนเจิ้นกั๋วกง

เจียงเจิ้นหยวนที่ส่งจ้าวเซี่ยวออกไปแล้วก็ไม่โอ้เอ้แม้แต่เค่อเดียว เขาถ่ายทอดคำพูดลงไปให้สืบร่องรอยของอ๋องเหลียวอย่างละเอียดทันที

หวังจ้านที่แทบจะไม่ได้นอนพิงข้างชั้นวางหนังสือที่อยู่ข้างๆ ปฏิกิริยาตอบสนองช้ามากแล้ว

เขาถามเจียงลวี่ที่หน้ามืดจนเหมือนจะมีฝนตกออกมาได้อย่างเสียงเบาว่า “อ๋องเหลียวลักพาตัวเป่าหนิงไปทำไม? เขาเป็นพ่อหม้ายนะ! ฝ่าบาทไม่มีทางอนุญาตให้เขาแต่งงานกับเป่าหนิงหรอก…”

เจียงลวี่รู้สึกหงุดหงิดเป็นอย่างมาก

หากตอนนั้นเขาไม่โง่แบบนั้น คิดว่าจินเซียวเป็นเพื่อนของตนเอง และซักไซ้จินเซียวเร็วหน่อย ไม่ไปสืบเรื่องฮ่องเต้ ทว่าทำสองสิ่งไปพร้อมกัน เป่าหนิงอาจจะได้กลับบ้านแล้ว

เพียงแค่เขาคิดว่าเจียงเซี่ยนอาจจะตกอยู่ในกำมือของอ๋องเหลียว ก็อยากฆ่าคนแล้ว

พอได้ยินหวังจ้านถามคำถามที่โง่เขลาแบบนี้ เขาก็อดที่จะเอ่ยไม่ได้ว่า “เจ้าใช้สมองคิดหน่อยไม่ได้หรือ คนที่เกลียดเขาที่สุดคือเฉาไทเฮา หากเฉาไทเฮาถูกบังคับให้พักผ่อนอย่างสงบที่ภูเขาวั่นโซ่ว เพียงแค่เขาแต่งงานกับเจียงเซี่ยน ก็เป็นลูกเขยของพวกเราแล้ว ถึงเวลานั้นเขาคิดจะก่อกบฏ แม้พวกเราจะไม่ช่วยเขา ก็ไม่มีทางช่วยฝ่าบาทได้แล้วเช่นกัน…”

“ทำไมพวกเจ้าถึงต้องแต่งงาน! แต่งงานอยู่เรื่อย!” หวังจ้านคำรามเสียงต่ำอยู่ น้ำตาก็ไหลออกมาแล้ว “แค่แต่งงานก็ได้หมดหรือ? ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ทำไมยังมีคนมากมายเปลี่ยนจากมิตรกลายเป็นศัตรู?”

เจียงเจิ้นหยวนที่กำลังกำชับผู้ใต้บังคับบัญชาอยู่ว่าจะหาคนอย่างไรได้ยินเสียงจึงมองมาทางนี้ และเหลือบมองเจียงลวี่ครั้งหนึ่งเหมือนตักเตือน

เจียงลวี่ก็ตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับหวังจ้านอย่างกะทันหันมากเช่นกัน เขาเข้าไปลากหวังจ้านเข้าไปในมุมข้างๆ และเอ่ยเสียงเบาว่า “เจ้าเป็นบ้าอะไรน่ะ?”

หวังจ้านนั่งลงบนเก้าอี้ไท่ซืออย่างเซื่องซึม และไม่เอ่ยสิ่งใด

เจียงลวี่เห็นเขาเป็นแบบนี้ ก็รู้สึกว่าเขาน่าสงสารเล็กน้อย จึงอดที่จะเอ่ยช้าลงไม่ได้ว่า “อาจ้าน เจ้าไปนอนสักครู่เถอะ! ต่อไปถึงจะเป็นงานที่ลำบาก พวกเราทุกคนต้องพักผ่อนให้เพียงพอและสะสมกำลัง”

“ข้ารู้แล้ว!” หวังจ้านพูดจ้อไม่หยุด และหันตัวออกจากห้องหนังสือ

เจียงลวี่รีบสั่งให้เด็กรับใช้ตามไป ส่งหวังจ้านไปที่ห้องพักแขก

เจียงเจิ้นหยวนนั้นส่งผู้ใต้บังคับบัญชาออกไปแล้ว ก็เดินมาอย่างรวดเร็ว และเอ่ยว่า “อาจ้านกลับห้องแล้วหรือ?”

เจียงลวี่ทำหน้าขรึมและพยักหน้า แล้วเอ่ยว่า “ท่านพ่อ ก็คิดว่าเป็นอ๋องเหลียวเหมือนกันหรือขอรับ?”

เจียงเจิ้นหยวนได้ยิน สีหน้าก็ฉายแววปลื้มใจ และเอ่ยอย่างค่อนข้างทอดถอนใจว่า “อาลวี่ เจ้าทำงานเก่งกว่าแต่ก่อนแล้ว”

ทว่าเจียงลวี่ได้ยินแล้วกลับขอบตาแดง และเอ่ยว่า “แต่ข้าก็ยังทำน้องหญิงหายไปอยู่ดี”

เจียงเจิ้นหยวนโอบบ่าของลูกชาย และเอ่ยปลอบใจเขาว่า “น้องสาวของเจ้าเป็นบุตรสาวของตระกูลเจียง มีสายเลือดของตระกูลเจียง นางไม่มีทางยอมแพ้หรอก”

เจียงลวี่หลุบตาลง แล้วเอ่ยว่า “ขอรับ” อย่างเบาๆ และกลับตัดสินใจแล้วว่า ขอเพียงเจียงเซี่ยนเอ่ยมาคำเดียว ต่อให้คนที่ฉุดเจียงเซี่ยนไปแต่งงานเป็นอ๋องเหลียว เขาก็จะช่วยสังหารอ๋องเหลียวให้นาง

เจียงเจิ้นหยวนตบบ่าของลูกชาย และเอ่ยเสียงอ่อนโยนว่า “เจ้าก็ไปพักสักครู่เถอะ! ถึงเวลานั้นข้าจะเรียกเจ้า”

เจียงลวี่ร่างกายอ่อนล้าเป็นอย่างมาก แต่กลับไม่อยากนอนแม้แต่นิดเดียว

“ท่านพ่อ” เขาเอ่ย “ท่านไม่เชื่อใจจ้าวเซี่ยวหรือขอรับ?”

ความจริงแล้วพวกเขาขาดกำลังคนมาก แต่ท่านพ่อก็ยังปฏิเสธความช่วยเหลือจากจ้าวเซี่ยว

เจียงเจิ้นหยวนมองลูกชายครั้งหนึ่ง แล้วเอ่ยเหมือนกำลังสื่อถึงอะไรบางอย่าง “เจ้าคิดว่าจ้าวเซี่ยวได้รับเลือกจากไทฮองไทเฮาเพราะอะไร?”

เจียงลวี่อึ้งไป

เจียงเจิ้นหยวนก็รู้สึกแย่มากเหมือนกัน เขาไม่มีอารมณ์พูดจาอ้อมค้อมกับลูกชายแล้ว จึงถอนหายใจและเอ่ยว่า “ก่อนหน้านี้ไทฮองไทเฮาก็กำลังสืบว่า ใครเป็นคนเปิดเผยเรื่องที่เป่าหนิงเลือกสามี ต่อมาก็เกิดเรื่องที่ฝ่าบาทชักดาบออกมาแทงจ้าวเซี่ยวจนบาดเจ็บที่ตำหนักเหรินโซ่ว เจ้าคิดว่าทั้งหมดนี้เป็นเรื่องบังเอิญหรือ? แต่เป็นเพราะจ้าวเซี่ยวทั้งเฉลียวฉลาด และยังมีความกล้ากับความรู้ เขาสามารถทำเพื่อเป่าหนิงได้ถึงขั้นนี้ก็ถือว่าตั้งใจแล้วเช่นกัน พวกเราจึงไม่ซักไซ้เขาเท่านั้นเอง ไม่อย่างนั้นแค่แอบบอกข่าวกับคนอื่นแต่ไม่โดนดาบนั้น หรือรู้จักแต่ยั่วยุฝ่าบาททว่าไม่รู้ว่าจะหาทางลงอย่างไร เขาก็ไม่มีทางได้เป็นลูกเขยของตระกูลเจียงของพวกเราหรอก”

“มิน่าเล่า!” เจียงลวี่เข้าใจในทันใด และเอ่ยว่า “ตอนนั้นข้าก็รู้สึกงง พวกเขาสามคนอยู่ต่อหน้าฝ่าบาทและขุนนาง เขาไม่เพียงแต่เฉลียวฉลาดทว่ายังรู้มารยาทดี แล้วเขาจะยั่วโมโหฝ่าบาทได้อย่างไร…”

เจียงเจิ้นหยวนได้ยิน สีหน้าก็เปลี่ยนเป็นจริงจังมาก และเอ่ยว่า “อาลวี่ ต่อให้เป็นเช่นนี้ เจ้าก็ต้องจำไว้เช่นกันว่า ตระกูลจิ้งไห่โหวคือตระกูลจิ้งไห่โหว จวนเจิ้นกั๋วกงคือจวนเจิ้นกั๋วกง ต่อให้ซื่อจื่อของตระกูลจิ้งไห่โหวเป็นลูกชายของเป่าหนิง เจ้าสามารถช่วยเขาได้ ก็เพียงแค่คิดหาทางทำให้จวนเจิ้นกั๋วกงเรืองอำนาจขึ้นเท่านั้น ทำให้เอ่ยถึงสกุลเจียงแล้วผู้คนเกรงกลัว นี่ถึงจะเป็นวิธีปกป้องน้องสาวของเจ้ากับลูกชายของนางที่ดีที่สุด”

มีแต่การเกี่ยวดองที่แข็งแกร่งและมีพลังเท่านั้นที่จะนำประโยชน์ไปสู่อีกฝ่าย

โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกเขายังต่างมีคนในครอบครัวของตนเองที่ต้องปกป้องเอาไว้

“ข้าทราบแล้วขอรับ!” เจียงลวี่พยักหน้าอย่างจริงจัง