ตอนที่ 55 ไข่ประหลาด

คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด

— ตูม ! —

กู่เยว่หลิงลืมตาตื่นขึ้นด้วยเสียงดังอันเกิดจากการปะทะกันของอสูรมายาทั้งสามที่อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล

เมื่อเห็นฉินอวี้โม่และโอวหยางชิงเฟิง รอยยิ้มบาง ๆ ก็ปรากฏบนใบหน้าของคุณหนูผู้มาจากนครไป๋อวิ๋น

“ขอบคุณพวกท่านมากที่ช่วยข้า”

ต้องกล่าวเลยว่ากู่เยว่หลิงเป็นสตรีที่ฉลาดเฉลียวไม่น้อย เพียงแค่ลืมตาขึ้นมานางก็พอจะคาดเดาได้แล้วว่าฉินอวี้โม่และโอวหยางชิงเฟิงเป็นผู้ช่วยชีวิตนาง คุณหนูผู้เป็นโรคประหลาดจึงยิ้มและเอ่ยคำขอบคุณพวกเขา

ใบหน้าของกู่เยว่หลิงติดจะซีดเล็กน้อย ตอนนี้นางดูอ่อนล้าเหลือเกิน ด้วยสภาพเช่นนี้ของนางทำให้ยากที่จะเชื่อว่าก่อนหน้านี้สตรีผู้บอบบางสามารถเคลื่อนไหวได้อย่างเฉียบขาดต่อหน้ามังกรดินอสูรมายาระดับเทวะที่เป็นคู่ต่อสู้

“รู้สึกดีขึ้นบ้างรึเปล่า?”

เมื่อได้มองดูกู่เยว่หลิงสาวน้อยผู้มีจิตใจแข็งแกร่งและมองโลกในแง่ดีเช่นนี้ ชั่ววูบหนึ่งฉินอวี้โม่ก็หวนนึกถึงตัวเองในชีวิตก่อน และเมื่อได้คิดถึงความหลังครั้งเก่าในตอนที่อยู่ในศตวรรษที่ 21 นั้นแล้วเธอก็อดเจ็บปวดหัวใจไม่ได้

“ข้าไม่เป็นอะไรแล้ว คงไม่มีปัญหาอะไรแล้วล่ะ”

กู่เยว่หลิงโบกมือไปมาให้รู้ว่าตอนนี้นางแข็งแรงขึ้นมากพลางส่งยิ้มให้ทุกคนอย่างมีความหวัง นางเคยเป็นเช่นนี้มาหลายครั้งแล้ว นางจึงไม่คิดว่านี่เป็นเรื่องใหญ่โตอะไร

“คุณหนู เหตุใดเจ้าถึงยังรั้งรออยู่ในตอนที่เจ้ามีโอกาสจะหนีได้?”

ฉินอวี้โม่สงสัยเรื่องนี้เป็นอย่างมาก เห็นได้ชัดว่านางสามารถวิ่งหนีไปได้ก่อน แต่เหตุใดนางถึงเลือกที่จะอยู่ต่อในตอนที่เผชิญหน้ากับมังกรดิน ทั้ง ๆ ที่ทราบดีแก่ใจว่าไม่สามารถสู้ได้

“ที่ทุกคนตกอยู่ในอันตรายก็เพราะข้า ข้าไม่สามารถทิ้งทุกคนและหลบหนีไปคนเดียวได้ พวกเขาคือสหายของข้า ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ข้าก็จะอยู่ช่วยทุกคนให้ถึงที่สุด”

เสียงของกู่เยว่หลิงหนักแน่นแน่วแน่ เห็นได้ชัดว่านางเป็นคนมีความรับผิดชอบ เห็นแก่พวกพ้อง ไม่เอารัดเอาเปรียบผู้ใด

ฉินอวี้โม่ส่ายศีรษะพลางถอนหายใจ อดีตนักฆ่าสาวจ้องมองกู่เยว่หลิงตรง ๆ แล้วกล่าว “แต่เจ้าไม่เข้าใจหรือว่าขอเพียงแค่เจ้าหนีไปได้ บางทีพวกเขาก็อาจจะมีโอกาสหนีรอดก็ได้ ที่พวกเขาไม่ยอมหนีก็เพราะว่าต้องการปกป้องเจ้าจากอันตราย ถ้าเจ้าอยากให้ทุกคนหนีรอดต่อไปเจ้าต้องหนีให้เร็วที่สุด ! หากเจ้ารั้งรออยู่เช่นนั้นพวกพ้องของเจ้าก็มีแต่ต้องอยู่เพื่อช่วยเจ้าแล้วนั้นก็จะมีแต่ตายกับตายกันหมด”

แม้ว่าฉินอวี้โม่จะชื่นชมที่กู่เยว่หลิงมีความรับผิดชอบต่อชีวิตผู้อื่นและไม่อยากทอดทิ้งใครไว้ข้างหลัง แต่นางก็ไม่เห็นด้วยอย่างมากในสิ่งที่สตรีร่างบางทำไปเมื่อครู่

ฉินอวี้โม่เห็นอย่างชัดเจนว่าคนพวกนั้นต้องการจะปกป้องกู่เยว่หลิง พวกเขาจึงพยายามต่อสู้กับมังกรดินอย่างเอาเป็นเอาตาย  หากว่านางฟังพวกเขาและหลบหนีไปตั้งแต่แรก  คนพวกนั้นทั้งหมดก็จะสามารถร่วมมือกันรับมือกับมังกรดินและหาโอกาสหนีรอดไปได้เพิ่มขึ้น

แต่เป็นเพราะคุณหนูผู้นี้เลือกที่จะอยู่ต่อ ทำให้ทุกคนต้องเสียสมาธิเพราะมัวห่วงหน้าพะวงหลังกับการปกป้องนาง

ยิ่งกว่านั้นหากว่าฉินอวี้โม่คาดเดาไม่ผิด ชายวัยกลางคนนามว่าฉีอู่คงจะอยู่ในขอบเขตมายารัตนะตอนปลายแล้ว หากไม่ต้องห่วงกังวลกับกู่เยว่หลิง เขาและคนอื่น ๆ ที่เหลือก็น่าจะต่อกรกับมังกรดินได้อย่างแน่นอน

เมื่อฟังวาจาของฉินอวี้โม่ กู่เยว่หลิงก็ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะก้มหน้าลงด้วยความอับอาย คุณหนูผู้มาจากนครใหญ่เริ่มรู้ตัวแล้วว่าตนเองนั้นคิดไม่ถี่ถ้วนพอ ที่นางไม่หนีไปก็เพราะคิดว่าตนเองนั้นก็สามารถต่อสู้กับอสูรมายาได้ นางอยากอยู่ช่วยเหลือพวกพ้องจากอันตราย ทว่านางก็ไม่เคยคิดเลยว่าตัวเองจะเป็นภาระให้พวกเขามากถึงเพียงนั้น

เมื่อรับรู้ว่ากู่เยว่หลิงเข้าใจแล้ว และได้เห็นนางก้มหัวสำนึกความผิด ฉินอวี้โม่ก็พยักหน้าอย่างพึงพอใจ กู่เยว่หลิงผู้นี้เป็นคนฉลาดเมื่อรู้ความผิดพลาดของตัวเอง นางก็จะพยายามแก้ไข

“ลุงฉี ข้าขอโทษ ต่อไปข้าจะทำตามที่ท่านบอก”

กู่เยว่หลิงหันไปเอ่ยกับฉีอู่ด้วยน้ำเสียงสำนึกผิด

“คุณหนูต้องโทษที่พวกเราปกป้องคุณหนูได้ไม่ดีพอ”

ฉีอู่ก็ได้ยินคำพูดของฉินอวี้โม่เช่นกัน ทว่าเขาก็ไม่สะดวกใจที่จะกล่าวตำหนิกู่เยว่หลิง ถึงอย่างไรสตรีร่างบางตรงหน้าก็คือคุณหนูของเขา แม้ว่าฉินอวี้โม่จะช่วยชีวิตนาง แต่เขาก็ไม่เห็นด้วยกับคำพูดเมื่อครู่นัก

ทว่าเมื่อได้เห็นปฏิกิริยาของกู่เยว่หลิง เขาก็เข้าใจเจตนาของฉินอวี้โม่ขึ้นมาทันที ความอึดอัดในหัวใจของผู้คุ้มกันวัยกลางคนค่อย ๆ สลายไป

“ข้าฉีอู่ คุณหนูท่านนี้คือกู่เยว่หลิง พวกเรามาจากสมาคมช่างฝีมือแห่งนครไป๋อวิ๋น ข้าไม่ทราบว่าจะเรียกพวกท่านอย่างไรดี ?”

ฉีอู่มองฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ ด้วยสายตาเคารพยำเกรงและกล่าวออกไปด้วยท่าทางนอบน้อม

คนกลุ่มเล็กๆ นี้สยบมังกรดินได้อย่างง่ายดายและสามารถเดินทางร่อนเร่อยู่ภายในป่าแสงจันทร์ได้เช่นนี้ นั่นแสดงให้เห็นว่าพวกเขาแข็งแกร่งไม่น้อยเลย ยิ่งกว่านั้นพวกเขายังเป็นผู้มีพระคุณที่ช่วยชีวิตคุณหนูเอาไว้ ไม่ว่าอย่างไร ฉีอู่ก็ต้องให้ความเคารพคนทั้งสามที่อยู่ตรงหน้า

“ข้าฉินอวี้โม่ นี่คือผู้ติดตามของข้าเสี่ยวโร่ว”

ฉินอวี้โม่ยิ้ม นักฆ่าสาวไม่แน่ใจนักว่าโอวหยางชิงเฟิงจะสะดวกเผยนามหรือไม่ นางจึงไม่คิดจะแนะนำตัวให้เขาโดยพลการ

“ข้าโอวหยางชิงเฟิง”

โอวหยางชิงเฟิงรู้สึกว่าไม่มีสิ่งใดต้องปิดบัง เขายิ้มแล้วกล่าวแนะนำตัวเองด้วยท่าทางเป็นมิตร

“โอวหยางชิงเฟิง ?”

เมื่อได้ยินนามนั้น ผู้คุ้มกันวัยกลางคนก็ชะงักไปเล็กน้อย

“มีปัญหาอะไรอย่างนั้นหรือ ?”

โอวหยางชิงเฟิงรู้สึกประหลาดใจที่เห็นท่าทางเช่นนั้นของบุรุษตรงหน้า

“เจ้าคือหนุ่มน้อยที่หนีออกไปจากตระกูลโอวหยางแห่งนครไป๋อวิ๋นเมื่อห้าปีก่อนใช่หรือไม่ ?”

ฉีอู่จ้องมองโอวหยางชิงเฟิงพร้อมกับกล่าวถามออกมาด้วย

“ท่านทราบได้อย่างไร ?”

เมื่อได้ยินที่ฉีอู่ถาม โอวหยางชิงเฟิงก็ตกตะลึงไม่น้อย

แม้ว่าเขาจะเคยอาศัยอยู่ในนครไป๋อวิ๋น ทว่าก็ไม่ใช่บุคคลที่มีชื่อเสียงโด่งดังในนครายิ่งใหญ่แห่งนั้น ดังนั้นการมีคนจากนครไป๋อวิ๋นรู้เรื่องราวของเขาจึงนับเป็นเรื่องแปลก

“ฮ่า ๆ ๆ ข้าอยู่ในนครไป๋อวิ๋นมาชั่วชีวิต เรื่องทุกอย่างในนครไป๋อวิ๋น ข้าผู้นี้ย่อมทราบเป็นอย่างดี”

ฉีอู่ยิ้มและกล่าวต่อ “โอวหยางชิงเฟิง เจ้าคือลูกหลานตระกูลโอวหยางที่เกิดมาพร้อมพรสวรรค์อันสูงส่งและความแข็งแกร่งที่โดดเด่น เป็นทายาทที่ผู้นำตระกูลรักมากเสียจนมอบอสูรเทวะให้ตั้งแต่อายุยังน้อย  อย่างไรก็ตามบุตรชายคนรองของตระกูลผู้นี้กลับหนีออกไปจากตระกูลตั้งแต่อายุเพียงสิบสามปี นี่ก็ผ่านมาห้าปีแล้ว ไม่คิดเลยว่าจะได้เจอกับคุณชายรองแห่งตระกูลโอวหยางภายในป่าแสงจันทร์แห่งนี้”

ฉีอู่ไม่ได้อธิบายเหตุผลว่าเหตุใดโอวหยางชิงเฟิงจะต้องหนีออกมา เขากลัวว่าในเรื่องนี้เด็กหนุ่มตรงหน้าอาจจะไม่ต้องการให้ผู้ใดล่วงรู้ เขาจึงไม่คิดจะเอ่ยสิ่งใดมากไปกว่านี้

“เอ่อ ข้าไม่คิดเลยว่าท่านจะรู้ลึกถึงเพียงนี้”

โอวหยางชิงเฟิงยิ้มอย่างออกมาอย่างขมขื่น เขาไม่ทราบเลยว่าเรื่องราวของบุตรชายคนรองตระกูลโอวหยางจะเป็นที่โจษจันกัน จนมีชื่อเสียงโด่งดังกลายเป็นที่รู้จักในนครไป๋อวิ๋นไปในลักษณะเช่นนี้

“คุณชายโอวหยาง ข้าต้องขอแจ้งให้เจ้าทราบก่อนว่า คณะที่มาจากเมืองไป๋อวิ๋นและไปสำรวจผาทรนงมีคนจากตระกูลโอวหยางรวมอยู่ด้วย หากว่าไม่อยากจะพบหน้าพวกเขาก็ขอให้คุณชายระวังเอาไว้ด้วย”

ฉีอู่นึกบางอย่างขึ้นมาได้ และอดไม่ได้ที่จะเอ่ยเตือนโอวหยางชิงเฟิง

ใบหน้าของโอวหยางชิงเฟิงเปลี่ยนไปเล็กน้อย ใบหน้าของเขาดูหม่นหมองลงไปทันที  คุณชายรองตระกูลใหญ่ไม่มีความคิดที่จะกลับไปในตระกูลแม้แต่น้อย  เพียงแค่คิดว่าอาจจะต้องพบเจอกับคนในตระกูลอีกครั้งเขาก็รู้สึกปวดหัวขึ้นมาแล้ว

“ข้าเข้าใจแล้ว ขอบคุณสำหรับคำเตือน”

โอวหยางชิงเฟิงกล่าวขอบคุณฉีอู่

“พวกท่านพาคนมาน้อยมาก ไม่ทราบว่าพวกท่านมาทำอะไรในพื้นที่อันตรายเช่นนี้ ?”

เมื่อกวาดสายตามองดูกลุ่มของจากสมาคมช่างฝีมือที่เดินเข้ามารวมตัวกันทั้งหมดแล้ว โอวหยางชิงเฟิงก็เห็นได้ว่าคนกลุ่มนี้ไม่ได้แข็งแกร่งมากนัก ซึ่งนั่นก็ทำให้เขารู้สึกประหลาดใจไม่น้อย

ใจกลางป่าแสงจันทร์มีภยันตรายมากกว่าส่วนชายป่าหลายร้อยเท่า กลุ่มคนใดก็ตามที่ไม่แข็งแกร่งเพียงพอหากเดินทางมุ่งหน้าเข้ามาสู่ใจกลางของป่าแสงจันทร์เช่นนี้ก็เท่ากับรนหาที่ตายเท่านั้น !

“ข้าเป็นคนพาพวกเขามาเอง”

กู่เยว่หลิงตอบคำถามของโอวหยางชิงเฟิง

“จริง ๆ แล้วพวกเราไม่ได้มีจำนวนน้อยอย่างที่เห็น ทว่ายอดฝีมือเก่ง ๆ ของสมาคมเราได้แยกตัวออกไปก่อนหน้านี้”

พวกเขามาจากสมาคมช่างฝีมือซึ่งเดินทางมายังป่าแสงจันทร์เพื่อค้นหาแร่หายากบางชนิด ในตอนแรกพวกเขาก็มาด้วยกันเป็นกลุ่มใหญ่ ทว่าเมื่อผ่านเข้ามาภายในผืนป่าได้ระยะหนึ่ง กู่เยว่หลิงก็ได้ยินข่าวว่ามีบางสิ่งแปลกประหลาดอยู่ในพื้นที่ที่เรียกว่าผาทรนง นางจึงแบ่งกำลังส่วนหนึ่งให้เดินทางไปสำรวจผาแห่งนั้น

ขณะที่กลุ่มของฉีอู่และตัวกู่เยว่หลิงเองทำหน้าที่สำรวจหาแร่หายากต่อไป ทว่าในระหว่างนั้นพวกเขากลับโชคไม่ดีได้พบเจอกับมังกรดินแสนดุร้ายเข้าจนตกอยู่ในอันตราย

“เฮ้อ… น่าสงสารเสี่ยวหวู่ยิ่งนักที่เขาถูกมังกรดินกินไป”

ฉีอู่นับจำนวนคนในกลุ่มและพบว่ามีคนหายไปหนึ่งคน ทุกคนเห็นฉากสยองขวัญ ในตอนที่มังกรดินเขมือบบุรุษเคราะห์ร้ายผู้นั้นไปต่อหน้าต่อตา เมื่อนึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้นกับสหาย ฉีอู่ก็ถอนหายใจออกมา

“ทั้งหมดเป็นความผิดของข้าเอง เมื่อข้ากลับไปที่นครไป๋อวิ๋น ข้าจะแจ้งท่านปู่เกี่ยวกับเรื่องนี้ พวกเราจะดูแลครอบครัวของเสี่ยวหวู่อย่างดีที่สุด”

กู่เยว่หลิงรู้สึกผิดเป็นอย่างมาก หากไม่ใช่เพราะนาง เสี่ยวหวู่ก็จะไม่ต้องมาตาย

เมื่อเห็นสีหน้าแสนเศร้าสร้อยของกู่เยว่หลิง ฉินอวี้โม่เองก็รู้สึกหดหู่ตามด้วย

นางก้าวออกไปและลูบไหล่ของกู่เยว่หลิงพลางกล่าว “อย่ามัวเศร้าเสียใจไปเลย ในเมื่อเขาตายไปแล้วจะพูดอะไรก็เปล่าประโยชน์ สิ่งที่ควรจะทำที่สุดก็คือเจ้าต้องพยายามพัฒนาตัวเองให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น เพื่อที่จะได้ไม่เกิดเหตุการณ์เหมือนเช่นวันนี้อีก”

กู่เยว่หลิงพยักหน้าอย่างหนักแน่น ด้วยคำพูดนั้นของสตรีโฉมงามผู้มีพระคุณช่วยเหลือนางทำให้คุณหนูผู้เป็นโรคประหลาดรู้สึกถึงพลังอันแรงกล้าบางอย่างก่อกำเนิดขึ้นภายในใจ  พลังนี้เป็นดั่งชนวนจุดไฟสู้และเป็นแรงกระตุ้นที่จะผลักดันให้นางพัฒนาตัวเองให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น

“เอ่อ ข้ามีเรื่องสงสัยอยู่เรื่องหนึ่ง ในเมื่อเจ้าเป็นถึงคุณหนูแห่งสมาคมช่างฝีมือ แล้วเหตุใดถึงไม่มีอสูรมายาเป็นของตัวเองเลย ?”

เมื่อไม่เห็นกู่เยว่หลิงเรียกอสูรมายาออกมาในตอนที่เผชิญหน้ากับมังกรดิน ฉินอวี้โม่ก็คาดเดาเอาว่าคุณหนูผู้นี้คงไม่ได้ครอบครองอสูรมายา แต่นั่นเป็นเรื่องแปลก อดีตคุณหนูจึงเอ่ยถามออกมาอย่างอดไม่ได้

กู่เยว่หลิงถอนหายใจครั้งหนึ่งก่อนตอบ “ด้วยร่างกายเช่นนี้ ข้าจึงไม่สามารถทำพันธสัญญากับอสูรมายาได้”

เมื่อได้ยินคำตอบของกู่เยว่หลิง ฉินอวี้โม่ก็ถามต่อด้วยความสงสัย “ร่างกายของเจ้ามีปัญหาอะไรอย่างนั้นหรือ ?”

ปกติแล้วฉินอวี้โม่ไม่ได้อยากรู้เรื่องของผู้อื่นถึงเพียงนี้ ทว่ากรณีของกู่เยว่หลิงนั้น มีความคล้ายคลึงกับของคุณหนูสี่คนก่อนเมื่อครั้งที่กายเทพมายาของนางยังไม่ถูกปลุกให้ตื่นขึ้นมา นั่นจึงทำให้สาวนักฆ่าเกิดความสงสัยขึ้นมาอย่างมาก

“ข้าเองก็ไม่ทราบเหมือนกัน”

กู่เยว่หลิงส่ายศีรษะ ตั้งแต่เกิดมาร่างกายนางก็เป็นเช่นนี้ ถึงแม้นางจะพยายามอย่างหนักแต่กลับไม่มีสิ่งใดเปลี่ยนแปลง แม้ว่าตอนนี้นางจะอยู่ในขอบเขตมายารัตนะ แต่กลับไม่สามารถใช้พลังออกมาได้อย่างเต็มที่และยังไม่สามารถทำพันธสัญญากับอสูรมายาได้

ฉินอวี้โม่มองดูสตรีบอบบางตรงหน้าพลางนึกปลดปลงบางอย่าง วาสนาคนเราช่างต่างกันนัก โชคยังดีที่คนผู้นี้เป็นถึงคุณหนูแห่งสมาคมช่างฝีมือ หากเป็นคนธรรมดาสามัญ หรือเป็นบุตรีที่บิดาไม่รัก นางคงไม่พ้นกลายเป็นขยะไร้ค่าอย่างเช่นคุณหนูสี่แห่งตระกูลฉินคนก่อนเป็นแน่

“แล้วเจ้าเคยตรวจสอบร่างกายหรือไม่ ?”

“พวกเราเชิญหมอมากมายมาช่วยรักษาและตรวจสอบร่างกายของคุณหนูแล้ว ทว่าพวกเขาก็ไม่สามารถวินิจฉัยอาการของนางได้ ร่างกายของคุณหนูไม่มีจุดใดที่แตกต่างจากคนปกติทั่วไป ตลอดหลายปีที่ผ่านมาท่านประธานสมาคมไม่เคยหยุดที่จะหาทางรักษาร่างกายของคุณหนูเลย ทว่าความพยายามทั้งหมดก็ไร้ผลโดยสิ้นเชิง”

ผู้ที่ตอบคำถามของฉินอวี้โม่ในข้อนี้ก็คือฉีอู่ เรื่องร่างกายของกู่เยว่หลิงนี้เป็นเรื่องที่ทำให้หัวใจของทุกผู้คนภายในสมาคมช่างฝีมือรู้สึกเจ็บปวดมาโดยตลอด

ฉินอวี้โม่พยักหน้า นางไม่ได้มีความรู้ทางการแพทย์หรือทักษะด้านการหลอมโอสถ  นางจึงไม่สามารถออกความเห็นในเรื่องนี้ได้ อย่างไรก็ตาม อดีตนักฆ่าสาวยังคงคิดว่าเรื่องนี้ค่อนข้างน่าแปลก

“เอาล่ะ พวกเราเลิกพูดถึงเรื่องนี้กันเถอะ เปลี่ยนเป็นพูดถึงเรื่องราวที่จะเกิดขึ้นที่ผาทรนงดีกว่า”

กู่เยว่หลิงยิ้มสดใส ก่อนจะกล่าวชี้ชวนให้เปลี่ยนประเด็นสนทนา คุณหนูแห่งสมาคมมีชื่อไม่ต้องการให้ผู้ใดต้องรู้สึกเศร้าหมองเพราะตัวนาง

“อวี้โม่ พวกเจ้าเองก็จะไปที่ผาทระนงด้วยอย่างนั้นหรือ?”

กู่เยว่หลิงรู้สึกซาบซึ้งในตัวฉินอวี้โม่มาก ฉินอวี้โม่ไม่เพียงช่วยชีวิตนาง แต่ถ้อยคำของสตรีงดงามผู้นี้ยังกระตุ้นเตือน เป็นกำลังใจ และเป็นแรงผลักดันให้นางได้อีกด้วย ดังนั้นแล้วในเวลานี้ กู่เยว่หลิงจึงลอบทึกทักถือเอาว่าฉินอวี้โม่คือสหายคนสำคัญของนาง

ฉินอวี้โม่และโอวหยางชิงเฟิงพยักหน้า พวกเขาเองก็สงสัยว่ามีสิ่งใดรออยู่ที่ผาทรนง

“พวกเจ้ารู้หรือไม่ว่า มีอะไรอยู่ที่ผาทรนง ?”

กู่เยว่หลิงเอ่ยคำถาม ทว่าจากน้ำเสียงนั้นราวกับว่าคุณหนูผู้มาจากเมืองใหญ่จะทราบข้อมูลบางอย่าง

ฉินอวี้โม่และโอวหยางชิงเฟิงส่ายหน้าพร้อมเพรียง พวกเขาไม่รู้เลยว่าที่ผาทรนงมีสิ่งใดหรือเกิดเรื่องอะไรขึ้น ทั้งสองเพียงแต่ได้ข่าวมาพร้อม ๆ กันว่าอาจจะมีสิ่งที่น่าสนใจอยู่ที่นี่เท่านั้น

กู่เยว่หลิงยิ้มและเอ่ย “ข้ารู้มาเรื่องหนึ่ง ถ้าข้อมูลของข้าไม่ผิดเพี้ยน มันน่าจะมีไข่ประหลาดอยู่ที่ผาทรนง มีคนบอกว่ามันน่าจะเป็นไข่ของอสูรมายาระดับเทวะราชัน !”

ฉินอวี้โม่และโอวหยางชิงเฟิงประหลาดใจไม่น้อย พวกเขาหันมามองหน้ากันก่อนที่รอยยิ้มจะปรากฏขึ้นบนใบหน้าของทั้งคู่

‘ไข่ของอสูรเทวะราชัน ? น่าสนใจจริง ๆ’