ท่านยายเยี่ยทอดถอนหายใจหนึ่งเฮือก ใบหน้าเหี่ยวย่นเต็มไปด้วยความสงสาร “เขาอยากได้รับความรักจากพ่อแม่แต่เด็ก เขาต้องยืนมองเด็กคนอื่นมีพ่อแม่อย่างอิจฉาเท่านั้น แต่ภายหลังคงกลัวข้าจะเป็นห่วง จึงไม่แสดงความรู้สึกนี้ออกมาอีก แต่ข้ารู้ว่า เขาปรารถนาอยากมีพ่อแม่เพียงใด”
“ท่านไม่ใช่ท่านย่าแท้ ๆ ของเขาหรอกหรือเจ้าคะ”
“ข้าก็อยากได้หลานชายที่เป็นเด็กดีในสายเลือดของตัวเองเหมือนกัน แต่ข้าเป็นคนอาภัพ ลูก ๆตายกันหมดแล้ว”
“ท่านใจดีรับเยี่ยเฟิงมาชุบเลี้ยงหรือเจ้าคะ” กู้ชูหน่วนถามอย่างระมัดระวังถ้อยคำ
ความเจ็บปวดแวบผ่านบนใบหน้าท่านยายเยี่ย คล้ายกับไม่อยากเสวนาหัวข้อนี้ แค่ตอบเรียบ ๆ ว่า “ถือว่าใช่กระมัง ข้าแค่ให้เขากินหมั่นโถวหนึ่งอันเท่านั้นเอง เขาก็มาอยู่กับข้า เด็กคนนี้รู้จักสำนึกในบุญคุณ ดูแลข้ามาตลอด ข้าต้องลำบากตรากตรำเพื่อข้าไม่น้อย”
“ข้าเข้าไปดูในเรือนได้ไหมเจ้าคะ”
“ได้แน่นอน”
ท่านยายเยี่ยอยากพานางเข้าไป ทว่ากู้ชูหน่วนรีบประคองท่านนั่งลง “ดวงตาท่านไม่ดี เดินเหินไม่สะดวก ข้าเข้าไปเองเจ้าค่ะ”
“แค่ก ๆ ๆ ๆ บ้านหลังเล็กเกิน หลังคาก็ต่ำ ข้ากลัวแม่นางจะชนหลังคาเอา”
“ข้าจะระวังเจ้าค่ะ”
สร้างเรือนหลังนี้โดยอัตภาพ จึงมีแค่สองห้อง ห้องด้านในสุดคือห้องที่ท่านยายเยี่ยนอน มีฟางข้าวปูบนเตียงเต็มไปหมด แล้วมีพรมปูทับไว้ ด้านบนสุดคือผ้านวมบางหนึ่งตัว
ด้านนอกเรือนมีเตียงไม้วางไว้หนึ่งตัว ซึ่งไม่มีผ้านวม แค่ปูฟางข้าวแห้งเหือดไว้ไม่กี่ชั้น จากน้้นก็ใช้เสื้อผ้าที่ขาดรุ่งริ่งเป็นผ้านวม
เพราะห้องด้านนอกติดกับห้องครัว ดังนั้นจึงยิ่งแลดูซอมซ่อมากขึ้น เมื่อเข้าไปก็ได้กลิ่นฉุนของสมุนไพรจีน
“กลิ่นสมุนไพรแรงมากเจ้าค่ะ ข้าช่วยทำความสะอาดนะเจ้าค่ะ”
“ไม่เป็นไรหรอกนะ เมื่อก่อนบ้านข้าเป็นร้านขายยาสมุนไพร ดมจนชินแล้ว กลิ่นยานี้ไม่เป็นอะไรเลย”
ห้องที่สามารถทะลุออกไปด้านนอกห้องนี้ มีโต๊ะขนาดเล็กหนึ่งตัวกับเก้าอี้สองตัววางไว้ ซึ่งสะอาดสะอ้านมาก และมีกระดาษ พู่กันและแท่นฝนหมึกวางไว้
กู้ชูหน่วนหยิบกระดาษขึ้นมาหนึ่งแผ่น ซึ่งในนี้มีตัวอักษรที่สวยงามเขียนไว้สองบรรทัด
“แม้ร่างกายจะแหลกสลายก็ไม่หวั่น แต่ต้องทิ้งความบริสุทธิ์ไว้บนโลก”
กู้ชูหน่วนเลิกคิ้ว ตรึกตรองความหมายที่เยี่ยเฟิงเขียนสองประโยคนี้
“ท่านยายเจ้าค่ะ เยี่ยเฟิงได้ที่สองในการแข่งขันวิชาการเ ฝ่าบาทพระราชทานของรางวัลไม่น้อยไม่ใช่หรือเจ้าคะ เหตุใดท่านจึงต้องใช้ชีวิตอัตคัดขัดสนเช่นนี้เจ้าคะ”
“้ต้องโทษที่ข้าเป็นคนขี้โรค เอาเงินพวกนั้นไปรักษาหมดแล้ว”
กู้ชูหน่วนจ้องท่านอย่างฉงนสนเท่ห์
แต่งคำโกหกได้ไม่แยบยลเลย
เงินทองมากมายขนาดนั้น ถึงจะไปหาหมอเซียนเทวดารักษา ก็คงใช้เงินไม่หมดในระยะเวลาอันสั้นเช่นนี้หรอก
“แม่นาง ค่ำแล้ว ข้าจะไปต้มโจ๊ก หากไม่รังเกียจก็กินข้าวที่บ้านข้าเถอะ”
“ขอบคุณเจ้าค่ะท่านยาย แต่ข้ากินแล้ว ท่านไม่ต้องลำบากหรอกเจ้าค่ะ ใช่แล้ว ข้าซื้อเสื้อกับอาหารมอบให้ท่าน หวังว่าท่านยายจะไม่รังเกียจนะเจ้าค่ะ”
“ไม่ได้ไม่ได้ ไม่มีผลงานรับผลตอบแทนไม่ได้ ข้าจะเอาของของเจ้าได้เช่นไร”
“ข้าเป็นเพื่อนกับเยี่ยเฟิง เป็นน้ำใจเล็ก ๆ น้อย ๆของเพื่อนเท่านั้น ไม่ได้เสียเงินมากมายเลยเจ้าค่ะ”
“แค่ก ๆ ๆ ๆ แต่ก็ไม่ได้ วันหลังแม่นางมีเที่ยวบ้านพวกข้าได้เสมอ แต่พวกข้ารับไว้ไม่ได้จริง ๆ ถ้าเสี่ยวเฟิงอยู่ เขาก็ไม่รับเหมือนกัน”
ไม่รู้ว่าเถ้าแก่ร้านบะหมี่เดินเข้ามาเมื่อไหร่ เห็นภาพนี้จึงคล้ายกับเห็นเป็นประจำแล้ว “แม่นาง เมื่อครู่ข้าก็อยากบอกเจ้าแล้ว ท่านยายเยี่ยกับเยี่ยเฟิงไม่รับยอมสิ่งของผู้อื่นง่าย ๆ แม้ท่านจะมอบหญ้าหนึ่งต้น เขาก็ไม่รับ หากรับไว้ล้วก็จะคิดหาวิธีคืนท่านร้อยเท่าพันเท่า ข้าว่าเจ้าเก็บของพวกนี้กลับไปเถอะ เฮอะ”
เถ้าแก่ร้านบะหมี่บ่นพึมพำ
“นึกว่าท่านยายเยี่ยจะรับไว้เพราะเห็นแก่แขกที่มาเยือนจากแดนไกล แต่คิดไม่ถึงว่าจะไม่รับอะไรเลย”
กู้ชูหน่วนรู้สึกเศร้าโศก
นางถือมาตั้งไกล สุดท้ายแล้วคือไม่รับ
เมื่อนึกถึงนิสัยใจคอของเยี่ยเฟิง กู้ชูหน่วนคล้ายกับเข้าใจอะไรบางอย่าง