ตอนที่187 ไม่ใช่คู่ต่อสู้
ฉีเล่ยจับจ้องไปที่โจวเซียวตงและเอ่ยถามพร้อมรอยยิ้มขึ้นว่า
“ท่านรองรัฐมนตรีโจวครับ ไม่ทราบว่าสภาการแพทย์จีนในอุดมคติของคุณควรเป็นอย่างไรเหรอครับ?”
โจวเซียวตงเอ่ยตอบอย่างตรงไปตรงมา ทั้งกระชับและได้ใจความ
“ต้องเป็นองค์กรที่ถูกจัดตั้งขึ้นเพื่อส่งเสริมและพัฒนาวงการแพทย์แผนจีนอย่างจริงจัง”
“ใช่แล้วครับ และปัญหาก็อยู่ตรงนี้นี่ล่ะครับ”
ฉีเล่ยสูดหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะพูดต่อว่า
“สภาแพทย์แผนจีนอยู่ภายใต้การนำโดยภาครัฐ และภาครัฐก็เข้ามาควบคุมอย่างเป็นทางการ ทำให้ตำแหน่งหัวเรือใหญ่ไม่ค่อยมีการเปลี่ยนแปลงเท่าไหร่นัก ที่ผ่านมาก็จะมีแต่คนคุ้นหน้าคุ้นตาหมุนเวียนผลัดเปลี่ยนกันขึ้นมาเท่านั้น พวกเขาเป็นแค่ถ่านไฟเก่าที่ไม่สามารถปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ในปัจจุบันได้ หากเวลานี้คนเหล่านั้นหมดไฟกันแล้ว การจัดตั้งงานประชุมแบบนี้ขึ้นมา นั่นไม่เท่ากับว่าเป็นการเสียเวลาเปล่าหรอกเหรอครับ?”
โจวเซียวตงยิ้มขื่นขึ้นทันที ภายใต้กลไกของทางภาครัฐในปัจจุบันนั้นค่อนข้างล้าสมัยมากจริงๆ และถือเป็นเรื่องปกติไปแล้วกับการที่คนในมักเอาญาติที่น้อง หรือคนสนิทขึ้นมาสืบทอดอำนาจกันต่อวนกันไป และลำพังตัวเขาแค่คนเดียวก็ไม่มีทางเปลี่ยนแปลงอะไรได้เลย
“มันก็เลยเป็นเหตุผลที่ผมบรรยายเรื่องการพัฒนาของวงการแพทย์ตะวันตกให้ทุกคนฟังยังไงล่ะครับ เพื่อหวังให้ทุกคนฉุกคิดกันได้ และจัดตั้งหน่วยงานใหม่ขึ้นมา ผมขอให้ชื่อว่า ‘สมาคมพัฒนาการแพทย์จีน’ ที่เป็นส่วนของภาคเอกชน ซึ่งจะแตกต่างจากสภาแพทย์แผนจีนของทางภาครัฐ ที่เราไม่สามารถเข้าไปเปลี่ยนแปลงอะไรได้อีกแล้ว ตราบใดที่คนผู้นั้นเป็นแพทย์ หรือมีใจรักในแพทย์แผนจีน ทุกคนล้วนมีสิทธิ์ที่จะสมัครเข้ามาได้ ประธานสมาคม 1 ตำแหน่ง กรรมการบริหาร 3 ตำแหน่ง และผู้เป็นประธานจะถูกคัดเลือกโดยใช้ระบอบการเลือกตั้ง นอกจากนี้จะมีการเลือกตั้งใหม่ทุก3ปีเพื่อผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนให้คนอื่นได้ขึ้นมาเป็นบ้าง”
“วัตถุประสงค์ก็ค่อนข้างชัดเจนดีอยู่แล้ว คือเพื่อส่งเสริมและฟื้นฟูการแพทย์แผนจีน แล้วไม่ต้องมานั่งจัดงานประชุมอะไรแบบนี้ให้เปลืองงบประมาณเล่น หรือหากจำเป็นต้องจัดการประชุมจริงๆเพื่อหารือ ก็ควรหยิบยกหัวข้อขึ้นมาให้ชัดเจน และร่วนกันคิดแก้ไขปัญหาเหล่านั้น ไม่ใช่จัดงานประชุมขึ้นมาเพื่อให้คนเฒ่าคนแก่พูดพล่ามไร้สาระในเรื่องที่รู้กันอยู่แล้วแบบนี้ เพราะสิ่งที่ทำลงไปมันไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาที่แท้จริงได้เลย”
“นอกจากนี้ ทางสมาคมจะต้องให้การสนับสนุนทั้งในด้านสถานประกอบการ หากมีเครื่องมือทางการแพทย์ชนิดใหม่หรือสมุนไพรจีนเข้ามา ก็จำเป็นจะต้องอัดฉีดงบประมาณเข้าไปด้วย ด้วยวิธีนี้ จะช่วยให้ปัญหาด้านการขาดแคลนบุคลากรด้านนี้ได้รับการแก้ไข และป้องกันไม่ให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งสามารถยื่นยกเลิกงบพิเศษ ซึ่งเสี่ยงต่อการคอรัปชั่นได้ เมื่อขึ้นชื่อว่า ‘ภาคเอกชน’ แล้ว กลุ่มอำนาจเก่าจะไม่มีสิทธิ์มีเสียงเข้ามาแทรกแซงได้อีกต่อไป”
“และตัวสมาคมเองก็ไม่จำเป็นต้องขอความช่วยเหลือจากรัฐบาล ในนามของสมาคมพัฒนาการแพทย์จีน คุณสามารถระดมเหล่าปรมาจารย์แพทย์แผนจีนที่มีฝีมือจากทั่วประเทศได้ไม่ยาก จริงไหมครับ?”
โจวเซียวพยักหน้าตอบ
“ก็จริง”
ไม่เพียงเขาจะเห็นด้วยเท่านั้น แต่เขายังแสดงท่าทีสนับสนุนอย่างออกหน้าออกตาด้วย
“ความคิดของเธอชัดเจนไม่เลื่อนลอย โดยส่วนตัวแล้วฉันเห็นด้วยอย่างมาก แต่ถึงแบบนั้น บางเรื่องมันก็ไม่ได้ง่ายอย่างที่เธอพูด สมาคมพัฒนาการแพทย์จีน หากขึ้นชื่อว่าเป็นของภาคเอกชน มันก็มีสิทธิ์สูงมากที่ในอนาคตอาจจะถูกผูกขาดจากองค์กรใดองค์กรหนึ่ง ส่วนปัญหาเรื่องอื่นๆก็ไม่น่าจะมีอะไรแล้ว ถึงทางภาครัฐจะไม่สามารถเข้าแทรกแซงอะไรได้ก็จริง แต่มันก็ยังมีบางหน่วยงานที่สามารถเข้าตรวจสอบได้เหมือนกัน และสมาคมที่เธอเสนอก็จำเป็นต้องมีหน่วยงานเหล่านั้นกำกับดูแลอีกที”
ฉีเล่ยรู้สึกซาบซึ้งสุดหัวใจที่เห็นว่าโจวเซียวตงดูจริงจังกับมากขนาดนี้ เขายิ้มและตอบกลับไปว่า
“ครับ ผมเข้าใจว่าจะต้องมีบางหน่วยงานเข้ามากำกับดูแล แต่ถึงยังไงผมก็ต้องขอบคุณรองรัฐมนตรีโจวมากนะครับ ที่ให้คำปรึกษาอย่างเต็มอกเต็มใจแบบนี้”
“ครั้งนี้เราต้องช่วยเหลือซึ่งกันและกันแล้ว”
รองรัฐมนตรีโจวจับมือฉีเล่ยขึ้นมาเขย่าเล็กน้อย เพื่อแสดงถึงความเชื่อมั่น
“ถ้าเราสูญเสียศาสตร์การแพทย์แผนจีนไป มันก็ไม่ต่างอะไรกับสูญเสียสมบัติอันล้ำค่าของชาติเราไป แล้วลูกหลานในอนาคตยังจะมีอะไรให้ภาคภูมิใจได้อีก?”
ฉีเล่ยเอ่ยตอบด้วยสีหน้าท่าทางจริงจังว่า
“พวกเรามาพยายามร่วมมือกันเถอะครับ”
งานประชุมTCMสิ้นสุดลงอย่างเป็นทางการ บรรดาคณะแพทย์และอาจารย์ทั้งหลายต่างก็แยกย้ายกันกลับไป ส่วนทางด้านฉีเล่ยก็เดินทางกลับไปพร้อมกับอาจารย์เป่ย หลังจากอำลาบรรดาเพื่อนเก่าจนเสร็จสิ้นแล้ว ต่างคนต่างก็แยกย้ายกันกลับเช่นกัน
แต่ก่อนจะจากกันไปนั้น หูฉิงเฉินผู้เป็นประธานสภาแพทย์แผนจีนก็ได้ให้เกียรติเดินมาส่งคนทั้งสองด้วยตัวเองเช่นกัน
เป้าหมายของอีกฝ่ายนั้นแน่นอนว่าต้องเป็นฉีเล่ย ซึ่งทางด้านฉีเล่ยเองก็ไม่ได้ปฏิเสธอะไร หลังจากพูดคุยกันเสร็จเรียบร้อยแล้ว หูฉิงเฉินก็ขอตัวและลาจากกันด้วยความพึงพอใจ
ฉีเล่ยยุ่งวุ่นวายอยู่ตลอดจวบจนกระทั่ง6โมงเย็น เมื่อเห็นว่ามีสายของเหอจื่อโทรเข้ามาแต่ไม่ได้รับ ฉีเล่ยก็นึกขึ้นมาได้ทันทีว่า ตนเองได้รับปากอีกฝ่ายไว้ว่าจะไปร่วมงานวันเกิดของคุณแม่เธอ
เสียงเรียกเข้าดังขึ้นจากโทรศัพท์มือถือของเหอจื่อ แม้จะเสียงจะเบาไปสักหน่อย แต่สาวน้อยคนนี้ก็ไม่เคยพลาดสายสำคัญจากฉีเล่ยอยู่แล้ว
“อาจารย์ฉี อยู่ไหนแล้วคะ?”
ฉีเล่ยเริ่มต้นการสนทนาด้วยการเอ่ยขอโทษเหอจื่อ
“ขอโทษนะเหอจื่อ พอดีวันนี้ผมมีประชุมตลอดทั้งวันก็เลยยุ่งมากจนเกือบลืมนัดไปเลย”
“ไม่เป็นไรค่ะ น่าจะประชุมเสร็จแล้วใช่ไหมคะ? เดี๋ยวหนูจะส่งคนขับรถไปรับเลยนะคะ”
“แต่ผมยังไม่ได้เตรียมของขวัญอะไรไปให้เลยนะครับ ขอเวลา…”
เหอจื่อยิ้มและรีบตอบกลับไปทันที
“เตรียมของขวัญอะไรกันคะ? แค่อาจารย์ฉีมาก็นับเป็นของขวัญที่ดีที่สุดแล้ว มาทานมื้อค่ำกันเลยดีกว่าค่ะไม่ต้องเตรียมอะไรมาทั้งนั้น”
ฉีเล่ยได้แต่ตอบกลับไปยิ้มๆ
“ถ้าอย่างนั้นก็คงต้องรบกวนแล้วล่ะ ว่าแต่คนอื่นๆมากันครบรึยัง?”
“คนอื่นๆ?”
เหอจื่อชะงักไปชั่วขณะ แต่แล้วก็เริ่มเข้าใจความคิดของอีกฝ่ายได้ทันที จึงได้แต่ตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงที่มีเลศนัยว่า
“มากันครบแล้วล่ะค่ะ”
“งั้นก็ดี เดี๋ยวผมจะยืนรออยู่หน้าทางเข้ารีสอร์ทที่จัดงานประชุมนะครับ”
“ได้เลยค่ะอาจารย์ เดี๋ยวหนูจะส่งรถไปรับเลย แล้วเจอกันนะคะ”
เหอจื่อกดวางสายไปด้วยสีหน้าท่าทางที่เปี่ยมไปด้วยความสุข ทันใดนั้นสุ้มเสียงของมู่เซียวหยานก็พลันดังลั่นมาจากคฤหาสน์ของสกุลเหอ
“ลูกแม่! ลูกแม่! ช่วยด้วย! มาช่วยแม่เร็ว!”
“เกิดอะไรขึ้น?!”
“รีบมาเร็วเข้า! แม่มีปัญหาแล้ว!”
เหอจื่อไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากรีบวิ่งขึ้นบันไดวนตรงไปยังห้องแต่งตัวที่แม่ของเธออยู่ทันที
มู่เซียวหยานอยู่ในชุดราตรีสีชมพูตัดครามฟ้า
เหอจื่อวิ่งตรงเข้าไปหยุดอยู่ที่หน้าประตู พร้อมกับหายใจหอบ ก่อนจะเอ่ยถามออกไปด้วยสีหน้าตกอกตกใจ
“มู่เซียวหยาน เกิดอะไรขึ้น!?”
“ลูกแม่ ช่วยดูหน่อยสิว่าว่าชุดสีนี้ดูเข้ากันดีกับสร้อยคออันนี้ไหม?”
มุมปากเหอจื่อถึงกับกระตุกอย่างแรง ก่อนจะเอ่ยตอบสวนกลับไปอย่างไม่ค่อยพอใจ
“ห๊ะ? ไอ้ที่ร้องตะโกนโวยวายเมื่อครู่ก็เพราะเรื่องแค่นี้หรอกเหรอ? อืมม…ก็ใช้ได้นะ”
แม้ว่ามู่เซียวหยานจะเป็นแม่คนแล้ว แต่ถ้าใครมาเห็นตอนนี้กลับต้องเข้าใจผิดกันยกใหญ่แน่ ใบหน้าของเธอช่างงดงามและอ่อนเยาว์ราวกับสาวน้อยวัยยี่สิบปลายๆเท่านั้น
และยิ่งอยู่ในชุดราตรีชุดนี้ ก็ยิ่งสามารถดึงเสน่ห์ของเธอออกมาได้อย่างเต็มที่ โดยรวมแล้วเธอดูสวยแล้วก็มีเสน่ห์อย่างมากทีเดียว
“แล้วรองเท้าส้นสูงสีดำคู่นี้ล่ะ? เข้ากับชุดนี้ไหม?”
“ก็เข้าอยู่นะ”
“แล้วทรงผมล่ะ?”
“ก็ไม่เลว”
“แล้วหน้าฉันล่ะ?”
เหอจื่แบะปากใส่ ก่อนจะตอบกลับด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย
“สวยน้อยกว่าฉันนิดหน่อย”
แต่เมื่อได้ยินเหอจื่อพูดแบบนั้น มู่เซียวหยานก็รีบวิ่งออกไปหยิบแผ่นมาสก์หน้ามาแปะหน้าตัวเองทันที
เหอจื่อเห็นท่าทางของแม่ตัวเองแล้ว ก็ได้แต่รู้สึกเหนื่อยล้าและหงุดหงิดขึ้นมาเล็กน้อย
“ฉันแค่ชวนอาจารย์ฉีมากินข้าวที่บ้าน ทำไมเธอจะต้องแต่งสวยซะขนาดนี้?”
มู่เซียวหยานตอบกลับไปทันที
“เอ๊า ก็นี่มันงานวันเกิดของแม่นะ แน่นอนว่าดาวเด่นก็ต้องเป็นแม่น่ะสิ จะปล่อยให้ลูกตัวเองมาบดบังรัศมีได้ยังไง?”
“แล้วไม่ทราบว่ามีบทกำหนดที่ไหนกันที่ระบุไว้ว่า งานวันเกิดของใคร คนนั้นจะต้องแต่งตัวสวยจัดเต็มแบบนี้ห๊ะ? อีกอย่าง อาจารย์ฉีก็ไม่ได้มาที่นี่เพราะเธอสักหน่อย เป็นเพราะฉันต่างหากล่ะที่เป็นคนชวนเขามา”
“เชอะ ถ้าอย่างนั้นแกเองก็หัดแต่งตัวสวยๆซะบ้างสิ เผื่อว่าจะได้ดูโดดเด่นกว่าฉันบ้าง ไม่ใช่ใส่ชุดอย่างกับจะไปเรียนแบบนี้ ถ้าอาจารย์ฉีมองแม่มากกว่าแก แม่ก็ไม่รู้ด้วยน๊า~”
“หึ! ได้! ได้เลยมู่เซียวหยาน! คอยดูเถอะ ฉันจะต้องเอาชนะเธอให้ได้!”
เหอจื่อพ่นลมหายใจเย็นเฮือกใหญ่ใส่คนเป็นแม่ ก่อนจะวิ่งกลับไปที่ห้องของตัวเอง และรีบเปลี่ยนชุดใหม่ทันที
มู่เซียวหยานแอบเหลียวมองลูกสาวที่เดินจากไปเล็กน้อย ก่อนจะเหลียวกลับมาส่องกระจกดูเสื้อผ้าที่ตนเองใส่ต่อ พลางรำพึงรำพันกับตัวเองว่า
“เจ้าตัวเล็ก อย่าลืมสิว่าใครกันที่เบ่งแกออกมา? จนป่านนี้แล้ว ทั้งหน้าอกหน้าใจ บั้นท้าย แกก็ยังสู้ฉันไม่ได้เลย ฮ่าๆๆ…”
มู่เซียวหยานยืนยืดอกเท้าสะเอวหมุนไปหมุนมาด้วยความมั่นใจ ก่อนจะร้องตะโกนออกไปเสียงดัง
“ลูกแม่ แกยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของฉันหรอกนะ”