บทที่ 163.1 ในที่สุดก็ได้เป็นอาจารย์และศิษย์ โดย ProjectZyphon
ชุยฉานที่สวมชุดสีขาวล่องลอยเดินผ่านตรอกซอกซอย ในที่สุดก็เจอเรือนอันเป็นที่ตั้งของหอสูงแห่งนั้น เป็นบ้านหลังใหญ่ที่มีประตูสูงอย่างแท้จริง สิงโตหินสองตัวนั่งเฝ้าพิทักษ์อยู่เบื้องหน้า ธรณีประตูแห่งนี้สูงมาก ประตูหน้าปิดสนิท แต่ที่น่าแปลกก็คือป้ายที่แขวนอยู่หน้าสถานที่แห่งนี้กลับเป็นคำว่า “จือหลัน” (ดอกไอริสและกล้วยไม้ เปรียบเปรยถึงคุณธรรมอันสูงส่งและมิตรภาพ) ไม่ใช่จวนจาง จวนเฉียนอะไรทั้งสิ้น
หอเรือนที่ชุยฉานมองเห็นภาพปรากฎการณ์ประหลาดก่อนหน้านี้น่าจะเป็นหอเก็บตำราส่วนตัวของตระกูลนี้ ระดับความสูงแทบจะไม่แพ้ให้กับหอขุยซิงศาลเจ้าบุ๋นในเมือง ย่อมต้องไม่ใช่ตระกูลคนร่ำรวยทั่วไปแน่นอน
ยิ่งขยับเข้ามาใกล้จวน “จือหลัน” แห่งนี้ ชุยฉานก็ยิ่งสัมผัสได้ถึงอากาศก่อนลมฝนจะมาเยือนได้อย่างชัดเจน ความรู้สึกเช่นนี้เหมือนวันที่เมฆอึมครึมก่อนฝนตก ทำให้คนอึดอัดอุดอู้
ระหว่างฟ้าดิน นอกจากปราณแห่งความซื่อตรงยิ่งใหญ่ที่ลัทธิขงจื๊อเลื่อมใสแล้ว ยังมีปราณไร้รูปลักษณ์อีกมากมาย ซึ่งส่วนใหญ่แล้วจะมีการแบ่งแยกระหว่างแจ่มชัดและขุ่นมัว ฝ่ายแรกนั้นงดงาม มีประโยชน์ต่อการฝึกตน ส่วนฝ่ายหลังสกปรกเป็นมลภาวะ ทำร้ายจิตวิญญาณ สถานที่ต่างๆ อย่างเช่นสุสานไร้ญาติ จิงกวานยุคโบราณ (การทำสงครามสมัยโบราณ ผู้ชนะมักจะเก็บรวบรวมกระดูกของศัตรูมารวมกันเป็นกองสูง เพื่อโอ้อวดบารมีของตน) ซากปรักสมรภูมิรบ ฯลฯ ต่างก็มีความลี้ลับเป็นของตัวเอง แล้วก็ไม่แน่เสมอไปว่าจะมีแต่ปราณขุ่นมัวทั้งหมด
ถ้ำสวรรค์และพื้นที่มงคลในโลกมนุษย์ที่ช่วยในการฝึกตนก็คล้ายห้องจือหลันแห่งหนึ่ง *(เปรียบเปรยถึงสภาพแวดล้อมที่ดีเยี่ยม)*ที่ช่วยให้จิตใจของคนสงบสุข
ชุยชานเอามือสองข้างไพล่หลัง เดินขึ้นบันไดไปอย่างเนิบช้า คนเฝ้าประตูวัยกลางคนผู้หนึ่งเดินออกมาจากประตูข้าง เห็นว่าเด็กหนุ่มชุดขาวมีราศีไม่ธรรมดา จึงไม่กล้าเพิกเฉย เอ่ยสอบถามตัวตนของเขาอย่างนอบน้อม
ชุยฉานบอกว่าเขาคือเซียนอิสระที่อาศัยการสังหารมารปราบปีศาจสั่งสมคุณความดี ตอนอยู่นอกเมืองเห็นความผิดปกติของเรือนแห่งนี้ อาจจะมีหายนะแสงโลหิตจึงตั้งใจมาให้ความช่วยเหลือ
คนเฝ้าประตูเห็นเป็นเพียงเรื่องล้อเล่น หากจะถามว่าบนโลกนี้มีภูตผีปีศาจหรือไม่ คนเฝ้าประตูรู้ว่ามี เพราะในจวนของตัวเองก็เลี้ยงภูตที่ไม่ส่งผลกระทบต่อความสง่างามเอาไว้เป็นจำนวนมาก แต่หากจะบอกว่าภูตผีเหล่านั้นกล้าก่อความวุ่นวายในจวน โดยเฉพาะกล้ามากำเริบเสิบสานอยู่ใน “จวนจือหลัน” ของพวกเขาแห่งนี้ นั่นก็ถือเป็นเรื่องตลกเทียมฟ้าเลยจริงๆ ใครบ้างไม่รู้ว่าบิดาและบุตรทั้งสี่ในจวนแห่งนี้ล้วนได้รับการยอมรับว่าเป็นบุคคลในกลุ่มของเทพเซียน โดยเฉพาะบุตรชายคนเล็กเฉาซีซานที่ได้ยินมาว่าเมื่อปีก่อนเพิ่งจะกลายเป็นลูกศิษย์ผู้สืบทอดของเจ้าประมุขตระกูลเซียนแห่งหนึ่งบนภูเขา เชี่ยวชาญเวทกระบี่บินและวิชาสายฟ้า
ชุยฉานที่ถูกมองว่าเป็นนักต้มตุ๋นไม่โกรธเคือง ยังคงอธิบายต่อไปอย่างใจเย็นว่า “ฮวงจุ้ยของจวนพวกเจ้าจัดวางได้ไม่เลว อีกทั้งขนาดของหอหนังสือยังยอดเยี่ยมที่สุด เป็นใจกลางของค่ายกล บวกกับหนังสือภายในนั้นที่คาดว่าน่าจะเป็นฉบับสมบูรณ์แบบและมีเพียงเล่มเดียวซึ่งผ่านการประทับตราหนังสือที่ควรค่าแก่การเก็บรักษาจากปราชญ์เมธีและวิญญูชนจำนวนมาก ดังนั้นเมื่อเวลานานวันเข้าจึงง่ายต่อการรวบรวมปราณวิญญาณ ภูตผีปีศาจทั่วไปไม่กล้าพาตัวมาตายที่นี่ กลับเป็นสรรพสิ่งเล็กๆ น้อยที่นิสัยขี้ขลาดอ่อนแอมาแต่กำเนิด ชื่นชอบพักพิงอยู่กับมนุษย์ที่จะเติบโตได้ราบรื่นอย่างมาก”
สีหน้าของคนเฝ้าประตูเริ่มไม่สบอารมณ์ ไล่ให้ชุยฉานรีบไปพ้นๆ เขาไม่มีเวลามาฟังเด็กหนุ่มพูดพล่ามเหลวไหล
ชุยฉานยื่นมือไปดึงฝ่ามือของคนเฝ้าประตูที่ผลักดันเขาเบาๆ คลี่ยิ้มน้อยๆ “แต่หอหนังสือของจวนแห่งนี้มีบางอย่างที่แปลกประหลาดอยู่จริงๆ ด้านในมีงูเหลือมใหญ่ตัวหนึ่งขดตัวอยู่ อาจจะอยู่มาตั้งแต่แรกแล้วก็ได้ ที่มาของมันไม่แน่ชัด แล้วก็อาจเป็นไปได้ว่ามีคนเชิญเทพเชิญเข้าไปในภายหลัง หากข้าเดาไม่ผิดน่าจะเป็นงูเหลือมไฟตัวหนึ่ง เวลาช่วงนี้คือการนับถอยหลังสำหรับการลอกคราบครั้งที่สองของมันพอดี การลอกคราบครั้งหน้าก็น่าจะลงน้ำได้สำเร็จ และหากทำสำเร็จก็จะกลายเป็นเจียว”
ชุยฉานยื่นนิ้วชี้ไปยังนอกเมือง “แต่ว่าน้ำในแม่น้ำมีงูน้ำอยู่ตัวหนึ่ง ขอบเขตสูงกว่างูเหลือมไฟ ซึ่งกำลังรออยู่ใต้น้ำเพื่อฉวยโอกาสลงมือ ย่อมไม่มีทางปล่อยให้เจ้าตัวที่อยู่ในตระกูลพวกเจ้าซึ่งแทบจะเรียกได้ว่าเป็นศัตรูคู่อาฆาตของมันลอกคราบได้สำเร็จง่ายๆ แน่ ดังนั้นหากจวนของไม่เตรียมการรับมือไว้ตั้งแต่เนิ่นๆ ช่วงเวลาที่งูเหลือมไฟลอกคราบซึ่งเป็นช่วงเวลาที่มันอ่อนแอมากที่สุด งูน้ำต้องออกมาจากแม่น้ำ มุ่งตรงมาที่นี่ พยายามจะสังหารมันเพื่อช่วงชิงโอสถไฟกึ่งหนึ่งที่อยู่ในร่างของงูเหลือมไฟไปแน่นอน เพื่อที่จะได้ถ่ายโอนตบะไปให้ตัวเอง น้ำไฟผสาน มหามรรคาใกล้เคียง!”
สายตาของคนเฝ้าประตูฉายแววซับซ้อน แล้วก็พลันเดือดดาล พยายามใช้มือผลักเด็กหนุ่มชุดขาวออกไป “ไปๆๆ อายุน้อยๆ ก็หัดพูดจาเหลวไหลแล้ว!”
ชุยฉานถอนหายใจ พูดพึมพำกับตัวเอง”อาจารย์ ท่านเห็นไหม พูดคุยกันด้วยเหตุผลไม่รู้เรื่อง ช่างยุ่งยากยิ่งนัก ถ้าอย่างนั้นก็ทำตามวิธีของข้าเถอะ”
เขาโบกมือหนึ่งครั้ง ร่างทั้งร่างของคนเฝ้าประตูก็ถูกลมเย็นขุมหนึ่งพัดให้ปลิวไปไกลหลายจั้งแล้วหมดสติทันที
ทันใดนั้นชายฉกรรจ์ร่างหนาใหญ่หลายคนก็กรูกันออกมาจากประตูข้าง ชุยฉานก้าวยาวๆ ไปข้างหน้า จุดจบของผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตสองขั้นต้นเหล่านั้นเทียบกับคนเฝ้าประตูไม่ได้เลยด้วยซ้ำ เด็กหนุ่มหล่อเหลาผู้มีไฝแดงกลางหว่างคิ้วยังไม่ทันจะโบกสะบัดชายแขนเสื้อ ร่างของพวกเขาก็กระเด็นออกไปเอง แต่ละคนนอนระเกะระกะรองครวญครางอยู่บนพื้น
ตลอดทางที่ชุยฉานเดินไปก็มีผู้คุ้มกันของจวนเฮโลกันเข้าหา แต่ลับไม่มีใครทำให้เขาหยุดเท้าได้แม้แต่เสี้ยวนาที
เมื่อเขาเดินมาถึงลานด้านนอกหอเรือนแห่งนั้น ชุยฉานที่อ้าปากหาวหวอดถึงได้เริ่มเกิดความสนใจในที่สุด เขามองไปยังคนสามคนที่ยืนเคียงไหล่กัน ท่าทางเหมือนพ่อลูก นอกจากพวกเขาแล้วก็ไม่มีคนอื่นอีก คาดว่าคงเพราะไม่ต้องการเปิดเผยโฉมหน้าที่แท้จริงของหอเก็บหนังสือ หรือไม่ก็ไม่ต้องการให้คนบริสุทธิ์ถูกลูกหลงได้รับบาดเจ็บจึงไม่อนุญาตให้ใครเข้ามาใกล้ที่แห่งนี้
แต่ไม่นานสายตาของชุยฉานก็มองข้ามคนทั้งสามไป หอหนังสือกินอาณาบริเวณกว้างขวางอย่างยิ่ง สูงถึงหกชั้น ท้องฟ้าเหนือหลังคามีเมฆทะมึนมารวมตัวกันหนาแน่น เสียงฟ้าร้องดังครืนครั่น ทึบอื้ออึง สายฟ้าส่องประกายตัดสลับกันวูบวาบ หอเรือนสูงที่ตั้งตระหง่านอยู่ท่ามกลางฟ้าดินแห่งนี้มีงูเหลือมยักษ์ยาวสิบกว่าจั้งอยู่ตัวหนึ่ง ร่างของมันขดจากชั้นล่างของเรือนแล้วยื่นออกมาข้างนอก รัดพันตัวหอเรือนสูงขึ้นไป ศีรษะที่ใหญ่ดุจถังน้ำของกำลังหันไปแลบลิ้นสองแฉกใส่ท้องฟ้าที่มืดครึ้มคลอด้วยเสียงฟ้าร้อง ท่าทางของมันเต็มไปด้วยความเคาพยำเกรงที่มีมาตั้งแต่เกิด แต่ก็ซุกซ่อนไว้ด้วยปณิธานแห่งการต่อสู้ที่ห้าวเหิม ภูตผีที่อยู่ในโลกมนุษย์มักจะกริ่งเกรงต่อเสียงฟ้าร้องมาตั้งแต่กำเนิด น้อยนักที่จะไม่กลัว นี่คือตราประทับที่ฝังลึกลงในกระดูก สืบทอดกันมาทุกยุคทุกสมัย ต่อเนื่องนับพันนับหมื่นปี
เล่าลือกันว่าในยุคบรรพกาลอันห่างไกล จักรพรรดิสวรรค์บางท่านที่ควบคุมสายฟ้าเคยนำพาเทพกรมสายฟ้าและพิรุณเทพกลุ่มหนึ่งออกลาดตระเวนไปทั่วใต้หล้าขนาดใหญ่ ไม่รู้ว่ามีภูตผีปีศาจกี่มากน้อยที่ต้องจบชีวิตไป
ชุยฉานเดินหน้าต่ออีกครั้ง
ชายวัยกลางคนที่สวมเสื้อเกราะสีทองแดงโบราณตัวหนึ่งยื่นมือมาขวางบุตรชายสองคนที่อยากจะสั่งสอนแขกไม่ได้รับเชิญผู้นั้นเต็มแก่ สายตาบอกกับพวกเขาเป็นนัยว่าอย่าเพิ่งวู่วาม ไม่ควรกระทำการบุ่มบาม เขากุมมมือคารวะกล่าวว่า “ข้าน้อยเฉาหู่ซาน ไม่ทราบว่าแขกผู้มีเกียรติมาเยือนถึงบ้าน มีอะไรจะชี้แนะงั้นหรือ?”
ชุยฉานยังไม่หยุดเดิน ตอบด้วยน้ำเสียงเกียจคร้านว่า “นิสัยดีๆ ของข้าใช้หมดตั้งแต่ตอนอยู่หน้าประตูแล้ว ตอนนี้ข้าจะขึ้นไปบนหอเรือน หากพวกเจ้ายืนกรานว่าจะขัดขวางให้ได้ ก็อย่าโทษหากข้าจะยกคำพูดไม่น่าฟังขึ้นมาเอ่ยก่อน ฆ่าล้างโคตรพวกเจ้า…ข้าในตอนนี้ไม่มีทางทำเรื่องแบบนี้ แต่สังหารพวกเจ้าสามคนพ่อลูก ทำลายศพลบร่องรอย อย่างมากก็แค่กลับไปอธิบายให้อาจารย์ของข้าฟัง บอกว่าพวกเจ้าตายในสงครามระหว่างงู ข้าย่อมไม่มีความกดดันทางใจใดๆ ไม่แน่ว่าเมื่อถึงเวลานั้นข้าอาจจะหยั่งหลั่งน้ำตาของความเห็นใจให้แก่พวกเจ้าต่อหน้าอาจารย์ เฮ้อ ก็ใครใช้ให้ข้ามีอาจารย์ที่คร่ำครึขนาดนั้นเล่า”
มือของชายวัยกลางคนกำด้ามดาบเล่มยาวที่ห้อยอยู่ตรงเอว เสื้อเกราะบนร่างมีประกายแสงหนาหนักสีเหลืองดินชั้นหนึ่งไหลวนเวียน ตวาดเสียงเฉียบ “คิดจริงๆ หรือว่าสกุลเฉาแห่ง ‘จือหม่า’ ของข้าคือไข่อ่อนที่จะปล่อยให้คนสังหารได้ตามใจชอบ?”
ชุยเฉาทำเสียงเพ้ยหนึ่งที “ยังกล้าเรียกตัวเองว่า ‘จือหลัน’ อีกหรือ? เห็นๆ กันอยู่ว่าในบ้านมีหนังสือดีๆ เก็บสะสมไว้มากมายขนาดนี้ แต่กลับไม่ยอมให้ลูกหลานได้ศึกษาคำสอนของอริยะให้ดี แต่ละคนดีแต่จะถือทวนจับกระบอง ที่น่ารังเกียจยิ่งกว่านั้นก็คือยังกล้าสมคบคิดกับปีศาจ ปล่อยให้มันยึดครองหอหนังสือเป็นที่พักพิง ดูดดึง “กลิ่นหอมแห่งตำรา” ไปโดยไม่เสียดาย นี่ก็ยังพอทำเนา แต่นี่กลับยังจงใจใช้เวทอำพรางตาบดบังภาพเหตุการณ์การเยื้องกรายลงมาของเมฆทะมึน และการปีนไต่หอสูงของงูเหลือมไฟ พวกเจ้ารู้หรือไม่ว่าสงครามน้ำและไฟที่เกิดขึ้นกะทันหันครั้งนี้ อย่างน้อยที่สุดย่อมต้องทำร้ายคนในเมืองพันกว่าคน?”
ชุยฉานกล่าวมาถึงตรงนี้ก็บ่นงึมงำกับตัวเองอย่างน้อยเนื้อต่ำใจ “อาจารย์ ต้องโทษท่านนั่นแหละ ข้าเริ่มติดนิสัยพูดจาดีๆ ซะแล้วนะเนี่ย”
ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ที่ในมือถือทวนเงินเล่มหนึ่งยิ้มเหี้ยม “ท่านพ่อ อย่ามัวเปลืองน้ำลายพูดกับคนผู้นี้อยู่เลย ให้ข้าเป็นคนฆ่าเขาเถอะ กล้ามาทำลายกิจการใหญ่ร้อยปีในการยึดครองเขตการปกครองหนึ่งของสกุลเฉาเรา ตายไปก็ไม่น่าเสียดาย!”
ชุยฉานหัวเราะเสียงดัง ยื่นนิ้วชี้ไปยังชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ “นิสัยเกรี้ยวกราดแบบนี้ของเจ้า ข้าชอบนัก…”
กล่าวยังไม่ทันจบ กลางหว่างคิ้วของเด็กหนุ่มก็มีหยดเลือดหยดหนึ่งที่สังเกตเห็นได้ยากปรากฎขึ้นมา เด็กหนุ่มร่างสูงใหญ่กำลังใช้วิชาอภินิหารปลุกเสกใส่เข้าไปในทวนสีเงินก็รู้สึกเพียงว่าหว่างคิ้วปวดแปลบเล็กน้อย กำลังจะยื่นมือออกไปเช็ดก็ตัวอ่อนยวบลงไปกองกับพื้น ไม่เหลือลมหายใจรวยริน ไม่มีเสียงร้องครวญครางด้วยความเจ็บปวด แต่ขาดใจตายไปทั้งอย่างนั้น
ประกายแสงบนเสื้อเกราะของชายวัยกลางคนยิ่งเจิดจ้า ร่างทั้งร่างราวกับถูกปกคลุมอยู่ในเมฆหมอกสีเหลือง
บุตรชายอีกคนหนึ่งของเขาที่ทั่วร่างเต็มไปด้วยกลิ่นอายของตำราท่องคำสาปแย่ง นิ้วมือทำมุทรา เท้าเหยียบไปเบื้องหน้า ดูยุ่งวุ่นวายอย่างมาก และไม่นานข้างกายเขาก็มีอักขระส่องประกายแสงสว่างไสวปรากฎขึ้นมา เป็นสีขาวหิมะเจิดจ้า หัวและหางเชื่อมโยงถึงกัน กลายเป็นพระจันทร์เต็มดวงดวงหนึ่งที่ปกป้องเขาไว้ภายใน ไม่เพียงเท่านี้ กลางอากาศยังมีงูเหลือมไฟขนาดเล็กที่ทั่วร่างล้อมวนไปด้วยเปลวเพลิงตัวหนึ่งปรากฎขึ้นมา มันบินวนรอบกายเด็กหนุ่มอย่างว่องไว อีกทั้งบนศีรษะที่สวมกวานสูงลักษณะโบราณเรียบง่ายของมันยังปลดปล่อยประกายแสงหลากสี จากนั้นมันก็พ่นของเหลวเหมือนน้ำพุออกมาปกคลุมไปทั่วกายเด็กหนุ่ม
ทั้งนอกทั้งใน ทั้งบนและล่างล้วนมีการป้องกันหลายชั้น ทุกวิธีการถูกนำมาใช้จนหมด
วิธีการรักษาชีวิตของตัวเองทำเอาชุยฉานขำก๊าก “เจ้านี่กลัวตายมากเลยนะเนี่ย กลัวตายสิดี”
ยังคงไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ เกิดขึ้น
กลางหว่างคิ้วของเด็กหนุ่มที่กลัวตายก็มี “ชาด” จุดหนึ่งแต้มเหมือนกัน และเขาเองก็ตายไปในเสี้ยววินาที
ชุยฉานยิ้มตาหยี “กลายเป็นผี วันหน้าก็ไม่ต้องกลัวตายอีกแล้ว ไม่ต้องขอบคุณข้าหรอก”
ชายวัยกลางคนห้อตะบึงเผ่นหนีไปทันควัน
ชุยฉานไม่คิดจะไล่ตามไปฆ่า ตอนนี้เขาขี้เกียจอย่างยิ่ง ถึงขั้นที่ว่าแม้แต่การสังหารศัตรูให้สิ้นซากก็ยังทำให้เขารู้สึกยุ่งยาก
ชุยฉานไม่ได้รีบร้อนเดินเข้าไปในหอหนังสือ แต่ยืนนิ่งๆ อยู่นอกประตู ไหเหล้าที่ห้อยอยู่ตรงเอวหนักอึ้งเพราะเติมเหล้าไว้จนเต็ม
—–