ภาคที่ 1 การรุกกลับของศิษย์พี่ บทที่ 86 สิ่งที่ขาดมากที่สุดก็คือเวลา

ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี

ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม หยวนเจิ้งเฟิง ปราชญ์เทียมนภา ผู้เป็นอาจารย์ปู่ของเยี่ยนจ้าวเกอก็ยังคงเป็นเพียงมหาปรมาจารย์เท่านั้น

ในบรรดาเหล่าผู้สืบทอดของสำนัก ผู้ที่โดดเด่นที่สุดสามคนถูกยกย่องว่าเป็นสามวีรบุรุษแห่งกว่างเฉิง ซึ่งก็คือ สือเถี่ย ‘ราชสีห์เหล็ก’ ผู้อาวุโสคุมตำหนักอาญา อาจารย์ลุงใหญ่ของเยี่ยนจ้าวเกอ

ฟางจุ่น ‘มังกรซ่อนเงื่อน’ ผู้อาวุโสของตำหนักปฏิบัติกิจ อาจารย์ลุงรองของเยี่ยนจ้าวเกอ

และเยี่ยนตี๋ บิดาของเยี่ยนจ้าวเกอ ลูกศิษย์คนสุดท้ายของหยวนเจิ้งเฟิง ผู้อาวุโสของตำหนักสืบวิชากว่างเฉิงในปัจจุบัน

ทว่าหยวนเจิ้งเฟิงและบรรดาศิษย์ทั้งสี่คน รวมทั้งยอดฝีมือคนอื่นๆ ของเขากว่างเฉิงผู้อยู่ในระดับมหาปรมาจารย์ แท้จริงแล้วกลับมีพลังความสามารถเหนือยิ่งกว่าสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์เสียอีก

ต่อให้ตัดหยวนเจิ้งเฟิงออกไป เมื่อเทียบจอมยุทธ์ระดับมหาปรมาจารย์ของเขากว่างเฉิงกับสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์แล้ว ก็ไม่น้อยหน้าไปกว่ากันแต่อย่างใด

แต่ก็ช่วยไม่ได้ เมื่อมีหวงกวงเลี่ย จอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ปกครองอยู่สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์อยู่ และที่ยิ่งทำให้เขากว่างเฉิงเป็นกังวลในใจก็คือ หยวนเจิ้งเฟิงชราภาพมากแล้ว

ในสถานการณ์ปกติ จริงๆ แล้วหยวนเจิ้งเฟิงถือได้ว่าเป็นช่วงอายุที่รุ่งเรืองมากที่สุด ไม่ได้แก่ชราแต่อย่างใด

ถึงกระนั้นการที่เขาได้รับบาดเจ็บที่รากฐานในตอนนั้น ผลกระทบไม่ได้อยู่ที่จะสามารถสำเร็จขั้นจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ได้หรือไม่เท่านั้น เพราะอาการเจ็บปวดที่ยังคงอยู่ก็ส่งผลกระทบต่ออายุขัยของเขาด้วยเช่นกัน

ยิ่งเวลายืดเยื้อออกไปมากเท่าใด ความหวังที่หยวนเจิ้งเฟิงจะบรรลุขั้นจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ก็ยิ่งน้อยลงเท่านั้น

ในบรรดายอดฝีมือคนอื่นๆ ของเขากว่างเฉิง ตัวของหยวนเจิ้งเฟิงเป็นความหวังสูงที่สุดในบรรดารุ่นอาวุโสแล้ว

และในรุ่นกลางที่มีเยี่ยนตี๋เป็นอันดับหนึ่งนั้น ก็มีคนคาดหวังว่าเขาจะสำเร็จเป็นจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์เช่นกัน

ทว่าเมื่อพวกเขาเทียบกับหยวนเจิ้งเฟิงแล้ว ก็ยังจำเป็นต้องใช้เวลาและประสบการณ์อีกมาก และสิ่งที่เขากว่างเฉิงขาดแคลนมากที่สุดในตอนนี้ก็คือเวลา

ด้านหนึ่งเป็นเพราะแรงกดดันจากสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ อีกด้านหนึ่งเป็นเพราะร่างกายของตน ทำให้ผู้นำสำนักเขากว่างเฉิง หยวนเจิ้งเฟิงไม่อาจกระทำการตัดสินใจเด็ดขาดได้

ในการเข้าฌานอย่างต่อเนื่องเพื่อบรรลุระดับจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ในระยะเวลาอันใกล้นี้ หากไม่ประสบความสำเร็จก็จะเป็นการพลีชีพ

สำหรับสถานการณ์ของสำนักนั้น ในฐานะบุตรชายของเยี่ยนตี๋ เยี่ยนจ้าวเกอเข้าใจอย่างชัดเจนแจ่มแจ้ง และรู้นั่ดว่าบัดนี้สิ่งที่เขากว่างเฉิงต้องการมากที่สุดคืออะไร

การที่ความรู้ของเยี่ยนจ้าวเกอมีเพียบพร้อม นั่นก็เนื่องมาจากเขาคอยพัฒนาตัวเองอยู่เสมอ ค้นหา ศึกษา ทดลอง เรียนรู้ แล้วจึงนำไปใช้ อีกทั้งนำหลักการมาปรับใช้กับสถานการณ์จริง

ซึ่งจะสร้างจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์คนหนึ่งขึ้นมาได้อย่างไรนั้น ขณะนี้เยี่ยนจ้าวเกอก็ยังอยู่ในช่วงศึกษาและทดลอง

จากขั้นบรรลุธรรมสู่ระดับศักดิ์สิทธิ์ จะลำบากแสนเข็ญถึงเพียงใดกัน และต่อให้มีวิธี ทว่าสภาพการณ์ของโลกแปดพิภพในตอนนี้ อีกทั้งเงื่อนไขทางด้านสภาพแวดล้อมและทรัพยากรก็ยังยากนักที่จะเติมเต็มความต้องการได้

ถึงกระนั้นก็ต้องแก้ปัญหาให้ตรงจุด

ตั้งแต่ที่เยี่ยนจ้าวเกอมาถึงโลกใบนี้ เขาทำความเข้าใจกับสภาพแวดล้อมที่ตนอาศัยอยู่จนชัดแจ้งแล้ว การศึกษาทดลองที่ต้องให้ความสำคัญมากที่สุดก็คืออาการบาดเจ็บเดิมของเจ้าสำนักหยวนเจิ้งเฟิง แม้กระทั่งต้องให้ความสำคัญมากกว่าเรื่องของเตาผนึกหินชั้นในและสิ่งอื่นๆ มากนัก เพียงแต่ระดับความยากของเรื่องนี้ก็มากกว่าเช่นกัน

หากทำได้สำเร็จ ไม่เพียงหยวนเจิ้งเฟิงจะรักษาแผลภายในที่ติดตัวมาเนิ่นนานสำเร็จ ทว่าการบรรลุระดับจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ก็จะมีหวังมากยิ่งขึ้นเช่นกัน

การที่หวงกวงเลี่ยเข้าฌานอีกครั้ง สร้างความกดดันให้หยวนเจิ้งเฟิงอย่างยิ่งยวด และเขากว่างเฉิงจำเป็นต้องตัดสินใจเดินหน้าโดยเร็ว ไม่สามารถเล่นบทไหลตามน้ำต่อไปได้อีก

อาหู่เปิดปากพูดอยู่ข้างๆ ว่า “จะว่าไปแล้ว คุณชายจรัสแสงหวงเจี๋ยมักจะไม่ปรากฏตัว จะเป็นไปได้หรือไม่ว่าเจ้าสำนักอาวุโสผู้นั้นจะเป็นคนอบรมบ่มเพาะเขาด้วยตนเอง”

สวีชวนได้ยินดังนั้นก็เผยรอยยิ้ม “ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ แต่คิดว่าก็คงเป็นการชี้แนะง่ายๆ เท่านั้น หวงกวงเลี่ยไม่มีเวลาสอนใครตัวต่อตัวมากถึงเพียงนั้น”

เยี่ยนจ้าวเกอกลับหรี่ตาลง “คุณชายจรัสแสงหวงเจี๋ย…น่าสนใจนัก”

ทันใดนั้นเอง สวีชวนได้รับข่าวจากลูกน้อง สีหน้าของเขาเคร่งขรึมขึ้นในทันที

“นายน้อยเยี่ยน ที่ชายแดนมีการเคลื่อนไหวผิดปกติ ยอดฝีมือของสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์จำนวนมากกำลังเข้าไปในพื้นที่ของถังตะวันออก ระดับวรยุทธ์และจำนวนไม่แน่ชัด”

ผู้ถูกเรียกผงกศีรษะ “ปล่อยข่าวลวงเรื่องตำแหน่งของพวกเราออกไปสักหน่อย ดึงดูดความสนใจของฝ่ายตรงข้าม และรักษาการติดต่อกับทางสำนักเอาไว้ พวกเราจำเป็นต้องได้รับความช่วยเหลือจากคนอื่นในการปกปิดร่องรอย”

สวีชวนกล่าวตอบว่า “ข้าเข้าใจแล้ว”

สายตาของเยี่ยนจ้าวเกอมองไปทางเมืองชมตะวัน เมืองหลวงของถังตะวันออกด้วยแววตาที่หม่นลง

ผู้คนเคลื่อนย้ายกันอย่างต่อเนื่อง ระหว่างนั้นก็ประสบเข้ากับคนลาดตระเวนของสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ แต่ไม่นานนักก็หลุดออกมาจากวงล้อมสังหารได้

หลังจากที่เปลี่ยนสถานที่หลบซ่อนตัวอีกครั้ง เยี่ยนจ้าวเกอและคนอื่นๆ ก็ได้รับข่าวในทันที

จ้าวหยวน องค์ชายใหญ่แห่งถังตะวันออกถูกจอมยุทธ์สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ปิดล้อมเอาไว้แล้ว

บนใบหน้าของเยี่ยนจ้าวเกอเผยสีหน้าที่เหมือนจะยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้ม เขาเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย “แม้ว่าท่านพี่จ้าวหยวนจะยังไม่ได้มีตำแหน่งเป็นองค์รัชทายาท แต่ในตอนนี้ก็ควรคว้าโอกาสแสดงความสามารถของตนเองออกมาท่านลุงจ้าวนำทัพออกรบข้างนอก เขาไม่ได้อยู่ที่เมืองชมตะวัน เหตุใดจึงหนีออกมาด้วยเล่า จะมอบโอกาสให้กับองค์ชายสามจ้าวเฉิงเปล่าๆ หรือไม่”

สวีชวนตอบกลับด้วยความกลัดกลุ้มอยู่บ้าง “ตอนที่จิ่นอ๋องและจ้าวซื่อเลี่ยถอนกำลังออกไป ได้ทำลายอักขระวิญญาณของค่ายกลชมตะวันตามทางอยู่หลายจุด มหาปรมาจารย์ของถังตะวันออกอีกคนหนึ่งจึงต้องคอยคุมการณ์ที่เมืองชมตะวัน ส่วนจ้าวหยวนและจ้าวเฉิงต่างก็รับพระราชโองการออกซ่อมแซมอักขระวิญญาณ”

เขามองไปยังเยี่ยนจ้าวเกอ พลางกล่าวด้วยเสียงทุ้มต่ำว่า “ท่านผู้อาวุโสเหยียนสำนักเรา ก็พาจอมยุทธ์ของสำนักออกจากเมืองไปช่วยกำจัดกบฏที่เหลืออยู่ของสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์และจ้าวซื่อเลี่ย เดิมทีคิดว่าปลอดภัยมาก แต่เพราะการสิ้นชีพของเซียวเซิง สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์จึงเพิ่งกำลังพล”

เยี่ยนจ้าวเกอเอ่ยถามว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ แล้วเหยียนซวี่เล่า เขาไม่สนใจหรือ”

สวีชวนพูดแห้งๆ ว่า “องค์ชายสามจ้าวเฉิงได้รับอันตรายไปเสียก่อน ผู้อาวุโสเหยียนจึงไปช่วยเหลือทางนั้นแล้ว เกรงว่าคงไม่สามารถไปช่วยองค์ชายใหญ่ได้ทันกาลในชั่วขณะหนึ่ง”

ชายหนุ่มหัวเราะแต่ไม่ได้พูดอะไร ก่อนจะก้มศีรษะมองดูแผนที่ “ห่างจากพวกเราไม่ไกลนี่”

อีกฝ่ายขมวดคิ้ว พลางมองไปที่เยี่ยนจ้าวเกอ “นายน้อยเยี่ยน พวกเรา…”

“หากมีกำลังพอ ก็ต้องช่วยเป็นธรรมดา” เยี่ยนจ้าวเกอดีดนิ้วครั้งหนึ่ง แล้วก้าวเท้านำหน้าไป

สวีชวนยิ้มอย่างบอกบุญไม่รับครั้งหนึ่ง “นายน้อยเยี่ยนท่านว่าอย่างไรก็ว่าตามกัน ถึงอย่างไรข้าแซ่สวีผู้นี้วันนี้ก็จะสละชีวิตเป็นเพื่อนคุณชาย”

กลุ่มคนของเยี่ยนจ้าวเกอเดินทางผ่านป่าผ่านเขา ไม่นานนักก็รู้สึกได้ถึงแรงสั่นสะเทือนของพื้นดินที่อยู่เบื้องหน้า

อากาศที่อยู่ตรงหน้ามีความร้อนแผดเผาขึ้นมาเล็กน้อย คลื่นความร้อนดูท่าทางยิ่งจะทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ

“ลักษณะเด่นของวรยุทธ์วิชาสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์” เยี่ยนจ้าวเกอและคนอื่นๆ ต่างก็เตรียมใจไว้บ้างแล้ว จึงเคลื่อนตัวออกไปข้างหน้าอย่างต่อเนื่องด้วยความเร็ว ก่อนจะพบว่าที่เชิงเขาไกลออกไปนั้น มีจอมยุทธ์ของทั้งสองฝ่ายกำลังปะทะกันอย่างดุเดือดดังคาด

หนึ่งในนั้นก็คือจอมยุทธ์ถังตะวันออก อันมีจ้าวหยวน องค์ชายใหญ่แห่งอาณาจักรถังตะวันออกเป็นผู้นำ

ส่วนอีกฝ่ายหนึ่งก็แน่นอนว่าต้องเป็นจอมยุทธ์ของสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์

จอมยุทธ์จากสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์มีจำนวนคนมากกว่า ความสามารถส่วนตัวของแต่ละคนก็แข็งแกร่งกว่า ทำให้กลุ่มของจ้าวหยวนในขณะนี้อยู่ในจุดที่อันตรายจนน่าหวาดหวั่นใจมาก

เยี่ยนจ้าวเกอไม่รอช้า นำกลุ่มคนของสวีชวนบุกเข้าไปสังหารในสนามรบจากด้านข้าง

ช่วยคนประหนึ่งกับดับเพลิง เยี่ยนจ้าวเกอไม่ยั้งมือแม้สักนิด เขาโบกสะบัดกระบี่วิญญาณมังกรมรกตไปมา ชั่วพริบตาเดียวก็สังหารอีกฝ่ายจนแพ้ราบดั่งภูเขาถล่ม

กลุ่มคนของเขากว่างเฉิงมุ่งสังหารจนไปถึงเบื้องหน้าของจ้าวหยวน องค์ชายใหญ่แห่งถังตะวันออกผู้นี้จึงยิ้มเจื่อนกล่าวว่า “ได้ยินมาว่าสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์เพิ่มกำลังพล ข้าพยายามถอนกำลังกลับแล้ว แต่ไม่คาดคิดเลยว่าจะถูกดักไว้ได้เช่นนี้”

หลังจากได้ยินดังนั้น เยี่ยนจ้าวเกอก็คิดในใจ ‘หนทางที่ท่านพี่จะกลับเมืองชมตะวันเป็นเป้าหมายสำคัญที่อีกฝ่ายจะดักซุ่ม พวกท่านเลยปะทะกันซึ่งๆ หน้าเช่นนี้อย่างไรเล่า’

“ท่านพี่ ครั้งนี้ท่านติดร่างแหไปด้วยก็เพราะข้า จะกลับไปที่เมืองชมตะวันเป็นเรื่องยากนัก อย่างไรก็ไปที่อื่นกันก่อนเถอะ”

ขณะที่พูด คนของเขากว่างเฉิงและถังตะวันออกก็รวมตัวกัน ฝ่าวงล้อมที่สำนักศักดิ์สิทธิ์สร้างขึ้นออกไปด้านนอก

หลังจากที่สลัดทหารที่ตามล่ามาได้แล้ว ทั้งสองฝ่ายถึงมีเวลาว่างพูดคุยกัน จ้าวหยวนเดินพลางส่ายหน้า “จ้าวเกอ เจ้าสังหารเซียวเซิง ชื่อเสียงต้องลือเลื่องไปทั่วหล้า เพียงแต่เจ้าต้องระวังการแก้แค้นของสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ให้ดีเช่นกัน”

‘ถูกข้าพาติดร่างแหไปด้วย ไม่ได้หมายถึงแค่สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์เท่านั้น…’ เยี่ยนจ้าวเกอคิดในใจ

ขณะที่เยี่ยนจ้าวเกอกำลังนึกคิดอยู่นั้น จู่ๆ เขาก็รู้สึกหวั่นใจขึ้นมา

อาหู่ สวีชวน และปรมาจารย์เคียงนภาคนอื่นๆ ก็ทอดสายตามองออกไปยังที่ไกลออกไป

บริเวณนั้น มีดวงอาทิตย์สีทองดวงหนึ่งค่อยๆ เคลื่อนตัวขึ้นระหว่างแนวเทือกเขาอย่างเชื่องช้า กลางพระอาทิตย์สีทองนั้นมีเงาร่างของคนผู้หนึ่งค่อยๆ ชัดเจนขึ้นมา เป็นชายชราที่มีดวงตาข้างเดียวคนหนึ่ง เขาสวมชุดสีทอง ใบหน้าเหลี่ยม หูกาง

ยอดฝีมือระดับมหาปรมาจารย์!

…………….