บทที่ 156 รางวัลที่หนึ่งคือเมล็ดพืชหนึ่งเมล็ด

ทะลุมิติมาเปิดร้านอาหารอยู่ต่างโลก: GOURMET OF ANOTHER WORLD

“นี่คือรางวัลที่หนึ่งรึ” ปู้ฟางถามด้วยความตกใจ เขามองหน้าจีเฉิงเสวี่ยที่กำลังวางเมล็ดพืชขนาดเท่าถั่วลิสงลงบนมือด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก

“นี่ไม่ใช่ถั่วลิสงหรอกรึ” ชายหนุ่มคิดขณะพยายามอดทนที่จะไม่ตบใบหน้าหล่อเหลาของจีเฉิงเสวี่ยเข้าสักหนึ่งป้าบด้วยไม้ใส่รองเท้า

หลังจากที่ทำงานหนักมาเกือบทั้งวัน ชายหนุ่มไม่คิดเลยว่าตนเองจะได้รับแค่เมล็ดหน้าตาเหมือนถั่วลิสงเป็นของตอบแทน เรียกได้ว่าอึ้งจนหมดคำพูดอย่างแท้จริง

ปู้ฟางก้มลงมองเมล็ดพืชสีดำสนิทที่ดูมีอายุพอสมควรและเยินเล็กน้อย พื้นผิวของมันปกคลุมไปด้วยลวดลายประหลาดจางๆ หน้าตาเหมือนวงแหวนปราณลึกลับ… ถึงกระนั้นมันก็ยังเป็นเพียงเมล็ดพืชอยู่ดี!

“เถ้าแก่ปู้ นี่เป็นสมบัติล้ำค่าที่ประเมินค่ามิได้ของวังหลวง บิดาของข้าให้ความสำคัญกับเมล็ดพืชนี้ยิ่งนักตอนที่ท่านยังมีชีวิตอยู่ วันนี้ข้าขอมอบเมล็ดพืชนี้ให้เป็นรางวัลสำหรับชัยชนะของเจ้า ข้าหวังว่าเจ้าจะปลูกมันให้เจริญเติบโต จากเมล็ดเป็นต้นกล้าและกลายเป็นต้นไม้ใหญ่สืบไป” จีเฉิงเสวี่ยพูดด้วยรอยยิ้ม

ปู้ฟางมองเมล็ดพืชในมือ จากนั้นก็มองไปที่รอยยิ้มบนใบหน้าของจีเฉิงเสวี่ย รู้สึกมากขึ้นเรื่อยๆ ว่าตัวเองโดนต้มจนเปื่อย… ชายหนุ่มโยนเมล็ดพืชในมือไปมาด้วยท่าทางสบายๆ และสุดท้ายก็เก็บมันเข้ากระเป๋าคลังเก็บที่ระบบมอบให้

แม้ปู้ฟางจะรู้สึกว่าโดนจีเฉิงเสวี่ยหลอก แต่ชายหนุ่มก็มั่นใจว่าระบบย่อมไม่หลอกตนอย่างแน่นอน หากระบบไม่ได้มอบภารกิจให้ เขาคงไม่ลำบากมาเข้าร่วมงานสมโภชร้อยครอบครัวแต่แรกแน่

ในเมื่อระบบบอกให้เขาเอารางวัลนี้มาให้ได้ แปลว่าเมล็ดพืชนี้ย่อมไม่ธรรมดา

สองพี่น้องจากเมืองอาทิตย์ขจียืนอยู่ไกลออกไป อาลู่หยิบน่องไก่ออกมาจากผ้ากันเปื้อนแล้วยัดใส่ปาก ส่วนอาเหวยก็มองปู้ฟางด้วยความรู้สึกขมขื่นในจิตใจ

“พี่ใหญ่ ดูเหมือนว่าเราจะทำภารกิจที่ท่านอาจารย์มอบให้ล้มเหลวเสียแล้ว เรานำรางวัลที่หนึ่งกลับไปให้ท่านไม่ได้” อาลู่พูดเสียงอู้อี้

อาเหวยไม่ได้พูดอะไร ทำเพียงเชิดคางแหลมขึ้นเท่านั้น ฟันเฟืองในหัวของเขาหมุนอย่างบ้าคลั่งเพื่อหาทางนำรางวัลที่หนึ่งมาเป็นของตนเองให้ได้

“ขโมยมาซึ่งๆ หน้ารึ ไม่น่าเป็นไปได้…” เขาคิด แม้ระดับพลังปราณของทั้งสองจะสูงกว่าปู้ฟางเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้แข็งแกร่งกว่าแต่อย่างใด ยิ่งไปกว่านั้นพวกเขาจะต้องโดนบรรดาองครักษ์สกัดเอาไว้แน่ หากพยายามแย่งรางวัลที่หนึ่งมาจากเถ้าแก่ปู้ภายในนครหลวง

ขโมยของรางวัลที่จักรพรรดิเป็นคนมอบให้ด้วยตนเองเนี่ยนะ ทั้งสองไม่ได้โง่บ้าเซ่อขนาดนั้น

“หรือว่าเราจะไปทำข้อตกลงกับเถ้าแก่ปู้ดี แต่จะเอาอะไรที่มีค่ามากพอไปแลกมาเล่า” อาเหวยพึมพำหน้านิ่วคิ้วขมวด

“พี่ใหญ่ จะคิดมากไปทำไมกัน เราก็กลับไปบอกท่านอาจารย์ตรงๆ เลยว่าเกิดอะไรขึ้น หาท่านต้องใช้รางวัลนี้จริง ก็บอกให้ท่านหาของที่มีค่าสมน้ำสมเนื้อกับเมล็ดพืชนี่มาแลกกับเถ้าแก่ปู้เสียสิ หากท่านไม่ได้ต้องการขนาดนั้นพวกเราก็ไม่จำเป็นต้องทำอะไรไม่ใช่หรือ” อาลู่พูดพร้อมถือน่องไก่อยู่ในมือ

อาเหวยหันไปมองอาลู่ด้วยสายตาประหลาดใจเป็นล้นพ้น ดูเหมือนไม่อยากเชื่อหูตนเองแม้แต่น้อย “วันนี้เกิดบ้าอะไรขึ้นกับหมอนี่กัน แข่งแล้วหัวไปฟาดเขียงเลยฉลาดขึ้นรึ”

“เอาละ ถ้าเช่นนั้นเรารีบกลับไปที่เมืองอาทิตย์ขจี เพื่อรายงานให้ท่านอาจารย์มาจัดการเรื่องนี้ด้วยตนเองเถิด เราสองคนทำสุดความสามารถเท่าที่จะทำได้แล้ว ที่พวกเราแพ้เพราะทักษะสู้เขาไม่ได้จริงๆ” อาเหวยพูดพร้อมโยนกระทะขึ้นสะพายบนบ่า จากนั้นก็เดินอาดๆ เพื่อออกจากนครหลวงไป

ทั้งสองไม่ต้องการอยู่ที่นี่ต่อแม้แต่อึดใจเดียว เนื่องจากนครแห่งนี้เต็มไปด้วยความทรงจำขมขื่นสำหรับพวกเขา

ปู้ฟางเหลือบมองแผ่นหลังของคนทั้งคู่ที่กำลังจากไปแวบหนึ่ง แต่ก็ไม่ได้สนใจอะไรอีก เขาเอ่ยขอบคุณจีเฉิงเสวี่ย บอกลาโอวหยางเสี่ยวอี้และคนอื่นๆ ก่อนจะเดินออกจากประตูมายาสวรรค์ แล้วหายไปในหิมะปลิวว่อน

งานสมโภชร้อยครอบครัวปิดฉากลงด้วยความอิ่มเอมใจของผู้เข้าร่วมงานด้วยประการฉะนี้

กลุ่มขันทีรีบกรูกันออกมาจากท้องพระโรง เพื่อเก็บขยะและอุปกรณ์โต๊ะตั่งที่วางอยู่บนลาน

ปู้ฟางเล่นเมล็ดพืชสีดำในมือขณะก้าวเข้าไปในตรอก หิมะสีขาวยังคงโปรยปรายลงมาจากฟากฟ้าไม่หยุด

เกล็ดหิมะเกล็ดหนึ่งตกลงบนหลังคอของปู้ฟาง ทำให้ชายหนุ่มต้องสูดหายใจเข้าลึกเล็กน้อยด้วยความสยอง รู้สึกได้ถึงความเย็นที่กระจายออกจากจุดนั้น เขาย่นคอแล้วรีบเร่งฝีเท้าเพื่อเดินไปให้ถึงร้านโดยเร็ว

เจ้าดำนอนอืดอยู่หน้าร้านตามปกติ ดูเหมือนว่ามันจะรู้สึกได้ว่าชายหนุ่มกำลังเดินเข้ามาใกล้ จึงโงหัวขึ้นมองพร้อมพ่นลมออกจากจมูก

“อรุณสวัสดิ์ เจ้าดำ” ปู้ฟางพูดพร้อมยิ้มบาง เขากลิ้งเมล็ดพืชสีดำในมือเล่น แน่นอนว่าตอนนี้ไม่ใช่เวลาเช้า เนื่องจากท้องฟ้าเริ่มจะมืดอันเป็นสัญญาณบ่งบอกว่าช่วงกลางวันกำลังจะหมดลง แต่หากดูจากวิธีการใช้เวลาของเจ้าดำในแต่ละวันที่เอาแต่นอนหลับอุตุตลอด ทุกเวลาคงเป็นตอนเช้าสำหรับมันเสมอ

เจ้าดำกลอกตาบน ไม่สนใจคำกระเซ้าของปู้ฟาง มันสะบัดหน้ากลับแล้วตั้งท่าจะนอนต่อ ทันใดนั้นเจ้าดำก็ผงกหัวขึ้น ดวงตาจ้องไปที่เมล็ดพืชสีดำในมือชายหนุ่ม

ปู้ฟางเปิดไม้กระดานกั้นประตูออก แล้วกำลังจะเดินเข้าไปในบริเวณตัวร้านอันแสนอบอุ่น เพียงแค่สะบัดมือ เมล็ดพืชในมือก็ถูกเก็บไว้ในกระเป๋าคลังเก็บที่ระบบมอบให้เป็นที่เรียบร้อย

ชายหนุ่มไม่ได้รับรู้สายตาของเจ้าดำแม้แต่น้อย หากปู้ฟางเขาเห็นความจริงจังในดวงตาของเจ้าดำเมื่อครู่ คงไม่มีทางคิดว่าเมล็ดพืชนี้ไร้ประโยชน์อย่างแน่นอน

ดวงตาของเจ้าดำดูเคร่งขรึมเล็กน้อย ก่อนเปลี่ยนเป็นความประหลาดใจและความไม่แน่ใจหลังจากที่มันลองดมอากาศเพื่อสำรวจดู สุดท้ายแล้วมันก็หาวออกมาหวอดใหญ่แล้วหลับไหลต่อไป

เทือกเขาอู่เหลียงตั้งตระหง่านสูงเสียดฟ้าจนแทงทะลุขึ้นไปบนเมฆ เหมือนเสาหินขนาดยักษ์ที่กล้าท้าทายท้องนภา

ที่ยอดเขานั้นมีสำนักศาสนาหน้าตาเก่าคร่ำครึ พร้อมด้วยสนามหญ้ากว้างใหญ่และตำหนักโอ่โถงอลังการตั้งอยู่ สนามหญ้านั้นปกคลุมไปด้วยหมอกหนา

ข้างตำหนักใหญ่โตมีกระท่อมไม้สองชั้นเล็กๆ ตั้งอยู่ ชายชราที่ทั้งผมและคิ้วขาวโพลนกำลังนั่งขัดสมาธิอยู่ในกระท่อมอย่างเงียบสงบ บนมือเหี่ยวย่นมียันต์หยกสีเหลืองเขียวสลักลายประหลาดสองสามชิ้นวางอยู่

ดูเหมือนว่าชายชราผู้นี้กำลังนอนกลางวันอยู่ ดวงตาของเขาปิดสนิท ลมหายใจผ่อนออกทางจมูกเป็นจังหวะสม่ำเสมอ

ทันใดนั้นยันต์หยกในมือก็สั่นเล็กน้อย ชายชราตื่นขึ้นทันที ค่อยๆ เปิดเปลือกตาขึ้นอย่างง่วงงุน ดวงตาของเขาเป็นสีฟ้าประหลาด หากมองผ่านๆ ดูเหมือนว่าชายผู้นี้สามารถมองทะลุดวงดาวทั้งมวลได้

“เหตุใดยันต์ความลับแห่งสวรรค์จึงสั่นด้วยตนเองเช่นนี้ ข้ายังไม่ได้เริ่มการพยากรณ์เลย แต่ปรากฏการณ์ประหลาดก็ดันเกิดขึ้นก่อนเสียนี่ หรือว่ามีสมบัติลับอะไรปรากฏขึ้นในทวีปมังกรซ่อนเร้นอีกกันนะ” ชายชราคิด พร้อมยกยันต์หยกขึ้นดู ดวงตาของเขาดูราวกับไร้ซึ่งความต้องการทางโลกโดยสิ้นเชิง

ชายชราชี้นิ้วไปที่ยันต์เพื่อทำให้มันสงบลง แล้วตกลงมาแน่นิ่งในมือของเขาอีกครั้ง จากนั้นเขาก็ลุกขึ้นยืนพลางเดินกระย่องกระแย่งไปที่หน้าต่างกระท่อมหลังเล็ก เพื่อสูดหายใจเอาลมเย็นเข้าเต็มปอด

ชายชรายืนอยู่หข้างหน้าต่าง เอามือไพล่หลัง มองไปยังชั้นเมฆที่โอบล้อมยอดเขาอู่เหลียงอยู่ ดวงตาสีฟ้าประหลาดมีแสงสว่างเจิดจ้าหมุนวนอยู่ภายใน ทำให้ดูราวกับว่าเขากำลังพินิจพิเคราะห์เพื่ออ่านทุกสรรพสิ่งอย่างทะลุปรุโปร่งอยู่

จากนั้นเขาก็หันไปมองเหล่าศิษย์ของสำนัก ที่กำลังเหงื่อไหลโทรมกายเหมือนหมูน้อยตัวมันอยู่บนสนามหญ้าของสำนักความลับแห่งสวรรค์

นี่คือศิษย์รุ่นเยาว์ที่สุดของสำนักความลับแห่งสวรรค์ และถือเป็นรากฐานที่จะสร้างสำนักในภายภาคหน้าต่อไป

ทันใดนั้นชายชราก็มองออกไปในระยะไกล เหมือนว่าจะสังเกตเห็นอะไรบางอย่าง เขาเห็นร่างสองร่างกำลังขยับตัวด้วยความเร็วสูง

ร่างที่วิ่งอยู่ด้านหน้าเป็นชายชราในชุดเก่ามอซอ ใบหน้าเต็มไปด้วยตอหนวดสั้น คนผู้นั้นกำลังวิ่งผ่านสนามหญ้าด้วยความเร็วสูงจนพื้นแทบลุกเป็นไฟ พร้อมกอดน้ำเต้าใส่สุราเอาไว้ในอ้อมอก

ผู้ที่กำลังวิ่งไล่ชายชราอยู่คือสาวงามในชุดกระโปรงสีขาว ที่มีผมยาวตกลงกลางหลังเหมือนน้ำตกสวย ใบหน้าของนางสวยหมดจดงดงามจนบรรยายออกมาเป็นคำพูดไม่ถูก ดูเหมือนนางฟ้าที่หล่นลงมาจากสวรรค์อย่างไรอย่างนั้น

“ตาแก่หัวราน้ำ! หยุดอยู่ตรงนั้นเดี๋ยวนี้นะ! ไหนบอกว่าจะให้ลมหายใจมังกรข้าห้าจอกไง! กล้าดีอย่างไรมากลับคำพูดหน้าด้านๆ เช่นนี้!” เสียงหวานไพเราะดังขึ้น รูปร่างนาฬิกาทรายของนางปรากฏให้เห็นเล็กน้อยเป็นโครงร่างใต้ชุดคลุมสีขาว ขณะที่นางวิ่งไล่ล่าชายชราขี้เมาที่อยู่เบื้องหน้าอย่างไม่ลดละ

ปลายจมูกของชายชราผู้นั้นเป็นสีแดงก่ำ ส่วนผมสีเทาก็ยุ่งเหยิงไม่เป็นทรง ชายชราหันหน้ามาพูดด้วยน้ำเสียงเยาะ “เจ้าเด็กบ้า เจ้านี่มันพูดไม่รู้ภาษาคน ข้าบอกว่าจะให้สุรากับเจ้าห้าจอก แต่เงื่อนไขคือเจ้าต้องดื่มให้หมดตรงนั้น กฎง่ายๆ แค่นี้ควรรู้ไม่ใช่หรือ เจ้าจะดื่มก็ตามสบายใจเจ้า แต่ข้าไม่มีวันปล่อยให้เจ้านำสุราของข้าออกนอกสถานที่เป็นอันขาด! ใครจะไปรู้ว่าเจ้าจะเอาลมหายใจมังกรไปทำพิสดารอะไร!”

พลังปราณหลั่งไหลออกจากร่างของหนี่หยัน นางก้าวไปข้างหน้าพลางกระโจนเข้าหาชายชราผมกระเซิง ความเร็วของนางเร็วมากเสียจนเป็นไปไม่ได้เลยที่จะติดตามความเคลื่อนไหวได้ทัน ทว่าชายแก่ขี้เมากลับหัวเราะเยาะ แล้วเพิ่มระยะห่างระหว่างคนทั้งสองมากขึ้นอีกด้วยการก้าวเพียงก้าวเดียว ราวกับพื้นดินได้หดตัวลงเพื่อเขาก็ไม่ปาน

“เจ้า… ตาแก่เหม็นบูด! ข้าเป็นผู้อาวุโสลำดับสามของสำนักเรานะ! ขอแค่สุราห้าจอกมันจะทำให้เจ้าแดดิ้นตายรึ!” หนี่หยันหงุดหงิดมากเสียจนทำอะไรไม่ถูก

“โฮ่ๆ ใช่แล้วอย่างไรเล่า ข้าไม่สนใจหรอกว่าเจ้าจะเป็นผู้อาวุโสสาม สี่ ห้า หก หรืออะไร ต่อให้ผู้อาวุโสสูงสุดอยากดื่มสุราของข้า ข้าก็ไม่ให้เหมือนกัน! ข้ามีกฎของข้า แล้วข้าก็จะไม่มีวันผ่อนปรนเป็นอันขาด!” ตาแก่ขี้เมาประกาศเสียงดังด้วยน้ำเสียงเย้ยหยันดูเป็นตาแก่แสนทะเล้นที่กำลังกอดน้ำเต้าอย่างหวงแหน หนี่หยันกัดฟันกรอดด้วยความโกรธขณะมองอีกฝ่ายทำท่าทางกวนประสาท!

ชายชราในกระท่อมไม้หัวเราะออกมาเบาๆ จากนั้นก็ก้าวไปทางหน้าต่าง… ทันใดนั้นร่างของเขาก็สั่นขึ้นมาทันที พลางอันตรธานหายไปกับตา

วืด…

“เจ้าบอกว่าเจ้าจะไม่มีวันให้สุราแก่ผู้อาวุโสสูงสุด ต่อให้ร้องขอเช่นนั้นรึ” ชายชราขี้เมาสะดุ้งเฮือกทันทีที่ได้ยินเสียงชราดังมาจากด้านหลัง หัวใจของเขาแทบทะลุออกจากอกตกลงไปวิ่งเล่นที่ตาตุ่ม เขาตกใจทำน้ำเต้าหลุดมือจนคว้าเอาไว้เกือบไม่ทัน

“จู่ๆ ก็โผล่มาเหมือนผีเช่นนี้… วันหนึ่งคงมีคนหัวใจวายตายเป็นแน่!” ชายชราขี้เมาได้แต่ก่นด่าผู้อาวุโสสูงสุดอยู่ในใจ