EP.149 คู่รักทั้งสอง

The Alchemist God ทะลุมิติเทพศาสตรา

EP.149 คู่รักทั้งสอง

แสงจันทร์สาดส่องไปยังพลับพลาวรุณที่เมืองหลวง ขณะนั้นเสียงบรรเลงอันไพเราะของกู่ฉินดังขึ้น ท่วงทำนองนั้นขึ้นลงเป็นจังหวะช้าๆ ราวกับว่าหญิงสาวกำลังถ่ายทอดสิ่งที่อยู่ในใจออกมา

ฉู่ฮว่ายเสิงยืนฟังอย่างสงบราวกับต้องมนต์ที่หน้าผืนม่าน เขาเริ่มคำนึงถึงการฝึกฝนภายใต้แสงจันทร์ตลอดหลายปีที่ผ่านมา…และอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ บทเพลงนี้สามารถแทรกซึมไปปลอบประโลมจิตใจของเขาได้อย่างอ่อนโยน ตอนนี้…ทุกสิ่งที่เขาทำดูเหมือนไร้ประโยชน์ ท่านปู่ของเขาถูกฆ่าตาย ไหนจะฉู่เหยาก็ตัดสินใจเข้าเมืองหลวงไปแล้ว…เรื่องทั้งหมดนี้ราวกับความฝัน เขากำลังไล่ตามสิ่งใดกัน? นี่หรือผลตอบแทนสำหรับการต่อสู้ที่เขาฝ่าฟันมาทั้งชีวิต?

จากนั้นเขาถอนหายใจแผ่วเบา…แล้วจุดสูงสุดของการต่อสู้นี้อยู่ที่ไหนกันล่ะ?

ไม่นาน…ทำนองเพลงก็จบลง

ม่านค่อยๆ เปิดออก สาวใช้นางหนึ่งยิ้มและกล่าวขึ้น “ท่านฉู่ฮว่ายเสิง คุณหนูเชิญท่านเข้ามาด้านในเพื่อหารือเจ้าค่ะ”

ฉู่ฮว่ายเสิงพยักหน้าอย่างยินดี “เข้าใจแล้ว”

องครักษ์รักษาพระองค์ที่ยืนอยู่ด้านข้างพลันตบไหล่ฉู่ฮว่ายเสิงก่อนยิ้มและพูดว่า “เข้าไปสิ คุณหนูต้องการพบเจ้านับว่าเป็นโชคที่ดีมาก ว่ากันตามตรง…แม้แต่ข้าก็ยังรู้สึกอิจฉาเลย!”

ฉู่ฮว่ายเสิงยิ้มอย่างเขินอายก่อนเดินเข้าไปที่ลาน เด็กสาวหน้าตาเลอโฉมนั่งอยู่ด้านหน้าเครื่องดนตรีกู่ฉิน ดวงตาคู่งามมองฉู่ฮว่ายเสิงอย่างลึกซึ้ง สาวผู้นี้มิใช่ผู้อื่นใด นางคือธิดาของเสินโหวเจิ้งอี้ฝาน…เจิ้งเซียง!

“ท่านฉู่กรุณานั่งเถิด!” เจิ้งเซียงเผยรอยยิ้มอันอ่อนโยน ขณะกล่าวกับสาวใช้ “ยกน้ำชามาให้ท่านฉู่ที”

“เจ้าค่ะ!”

สาวใช้ยกถ้วยชาและรินน้ำชาให้แก่ฉู่ฮว่ายเสิง

“ท่านฉู่…ท่านมีความเห็นเยี่ยงไรเกี่ยวกับบทเพลงของเด็กสาวผู้นี้?” เจิ้งเซียงเผยลักยิ้มจางๆ ขณะเอ่ยถาม

ฉู่ฮว่ายเสิงเหม่อลอยเล็กน้อยก่อนกล่าวอย่างรวดเร็วว่า “ท่วงทำนองนี้เป็นบทเพลงศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งหาฟังได้ยากในโลกหล้า ว่าแต่คุณหนูเจิ้งเซียงขอรับ เหตุใดท่านจึงเรียกพบข้า ข…ข้าเป็นเพียงองครักษ์อวี้หลินผู้ต่ำต้อยเท่านั้น”

เจิ้งเซียงหัวเราะพร้อมกล่าวว่า “ท่านฉู่จำการประลองดาบเมื่อสามปีก่อนได้หรือไม่? ในตอนนั้นท่านเปล่งประกายเป็นอย่างมาก หลังจากเอาชนะทหารฝีมือดีไปกว่าสิบนายและเสียท่าพ่ายแพ้แก่เฟิงจี้สิงอย่างน่าเสียดาย เด็กสาวผู้นี้ได้อยู่บนเวทีและเป็นสักขีพยานต่อพรสวรรค์อันวิเศษของท่านฉู่ในครานั้น”

ฉู่ฮว่ายเสิงหน้าแดงเพราะความประหม่า “นั่นเป็นเพียงทักษะเล็กน้อยไม่สำคัญอันใด มันมิสามารถเปรียบเทียบกับทักษะการบรรเลงกู่ฉินของคุณหนูเจิ้งเซียงได้ขอรับ”

เจิ้งเซียงยิ้มอย่างอ่อนโยน “จากผู้มีทักษะยอดเยี่ยมทั้งหมดในเมืองหลวง ไม่มีผู้ใดเก่งเรื่องศิลปะการต่อสู้ไปกว่าเฟิงจี้สิงและฉินเหลย ทว่าพวกเขามิได้มีอารมณ์สุนทรีย์ ทว่าท่านฉู่เป็นคนมีพรสวรรค์ในทุกด้าน ดังนั้นข้าจึงเชิญท่านมาเพื่อช่วยชี้นำเด็กสาวผู้นี้ในการบรรเลงกู่ฉิน!”

“มิบังอาจขอรับ”

ฉู่ฮว่ายเสิงประสานมืออย่างตกตะลึง “ทหารยศต่ำต้อยผู้นี้จะสามารถชี้นำคุณหนูได้เยี่ยงไร…ข้าอาศัยอยู่ในเมืองหลวงมาหลายปีก็จริง แต่สำหรับข้า…ฝีมือการบรรเลงกู่ฉินของคุณหนูเจิ้งเซียงนั้นหามีผู้ใดเทียบได้! ถ้ามี…ก็อาจเป็นบทเพลงหลันเยี่ยนขององค์หญิงอินคนเดียวเท่านั้น”

“ฮ่าๆ เสี่ยวอินหรือ…”

เจิ้งเซียงปิดปากหัวเราะทันใด “ไม่แปลกใจเลยหากเป็นนาง องค์หญิงเสี่ยวอินมีพระอัจฉริยภาพและชำนาญการบรรเลงกู่ฉิน ทักษะของพระองค์เหนือกว่าข้าทุกประการ จริงสิท่านฉู่…ข้าได้ยินมาว่าน้องสาวของท่านก็อยู่ในเมืองหลวงเช่นกันหรือ?”

“ใช่ขอรับ”

ฉู่ฮว่ายเสิงเอ่ยถาม “คุณหนู…เหตุใดท่านจึงเอ่ยถามถึงอาเหยาขอรับ?”

ดวงตาเจิ้งเซียงมืดมนลงเล็กน้อย “ท่านฉู่คงทราบดีว่าความขัดแย้งระหว่างตำหนักขุนนางเทวาและหน่วยองครักษ์รักษาพระองค์นับวันยิ่งบาดลึกลงเรื่อยๆ นี่จึงเป็นเหตุผลที่หัวใจของท่านพ่อและน้องชายของข้าเต็มไปด้วยความขุ่นเคืองต่อกัน ข้าเชิญท่านมาครานี้ก็เพื่อต้องการแก้ปัญหาความขัดแย้งที่เกิดขึ้น”

หัวใจฉู่ฮว่ายเสิงสั่นระรัวขณะที่เอ่ยถาม “ทหารใต้บังคับบัญชาผู้ต่ำต้อยผู้นี้อยากจะถามท่านว่า…ท่านคิดสิ่งใดอยู่หรือขอรับ?”

เจิ้งเซียงได้ถอนหายใจแผ่วเบา จากนั้นดวงตาคู่งามก็มองไปที่ฉู่ฮว่ายเสิงและกล่าวว่า “กล่าวตามสัตย์จริง หลังจากที่ข้าเห็นท่านที่การประลองเพลงดาบเมื่อสามปีก่อน ข้าก็มิอาจลืมเลือนท่านได้ลง…ท่านอาจไม่ได้ทันสังเกตว่าข้าแอบมองท่านอยู่มานานเพียงใดแล้ว ทว่าในหัวใจของข้ามีเพียงท่านมานานแล้ว…เมื่อไม่นานมานี้ท่านพ่อบังคับข้าให้สมรสกับผู้บัญชาการทหารเซี่ยงอวี่ และข้ารู้มาว่าเซียงอวี่ผู้นั้นเป็นคนหยิ่งผยองและโหดเหี้ยมมาก หากภายในใจของท่านฉู่มีข้าอยู่บ้าง…ข้าหวังว่า…”

ใบหน้าเจิ้งเซียงแปรเปลี่ยนเป็นแดงก่ำขณะลุกขึ้นยืนเยี่ยงกุลสตรี นางกล่าวด้วยเสียงอันอ่อนโยน “ข้าหวังว่าท่านจะมาสู่ขอข้าที่ตำหนักขุนนางเทวา ข…ข้าปรารถนาจะอยู่เคียงข้างกับท่านตลอดไป…”

ร่างกายฉู่ฮว่ายเสิงสั่นสะท้านไปด้วยความสุขและตกตะลึงในจิตใจ

ฉู่ฮว่ายเสิงก็ประสานในทันทีก่อนจะกล่าวว่า “ข้าน้อยฉู่ฮว่ายเสิงเป็นเพียงสามัญชน…มิคู่ควรกับคุณหนูแม้แต่น้อย…”

เจิ้งเซียงตกตะลึงก่อนจะนั่งลง ใบหน้าของนางเผยให้เห็นความผิดหวัง “หากท่านฉู่มิปรารถนา…เช่นนั้นข้าคงต้องยอมแพ้…”

สาวใช้ที่อยู่ไม่ไกลเผยสีหน้าอันขุ่นเคือง “ท่านฉู่…คุณหนูปรารถนาที่จะอยู่เคียงข้างท่าน เหตุใดท่านจึงโหดร้ายถึงเพียงนี้? ท่านมิแยแสคุณหนูแม้แต่น้อยเลยหรือเจ้าคะ?! คุณหนูของข้า…ไม่ดีอย่างไร? รูปลักษณ์ของคุณหนูเลอโฉมถึงเพียงนี้ มีเพียงสาวงามไม่กี่นางในเมืองหลันเยี่ยนที่สามารถเทียบคุณหนูได้! ข้าจำได้ดีว่าการจัดอันดับสาวงามเมื่อปีก่อนคุณหนูติดหนึ่งในสามสาวงามที่งามที่สุดในเมือง ท่านฉู่เองก็ทราบดีว่าเมื่อสองปีก่อนมีการเสด็จประพาสล่าสัตว์ขององค์จักรพรรดิ คุณหนูของข้ามุมานะติดตามเสด็จโดยไม่เกี่ยงระยะทางว่าจะไกลเท่าใดนั่นก็เพื่อจะได้เห็นหน้าท่าน! ทว่าท่านก็มิได้มา…ท้ายที่สุดคุณหนูได้ยืนรอท่านท่ามกลางหิมะแรกเป็นเวลาถึงแปดชั่วโมง! ส่วนเมื่อปีก่อนขณะที่หน่วยองครักษ์รักษาพระองค์จัดแข่งขันศิลปะการต่อสู้เพื่อเฟ้นหาผู้มีพรสวรรค์ คุณหนูของข้าพยายามจะไปงานนั้นให้ได้ก็เพื่อรอโอกาสจะพบท่าน…ทว่าท่านมิได้ชายตามองคุณหนูเลยแม้แต่น้อย คุณหนูทุ่มเทให้ท่านถึงเพียงนี้…ท่านมิมีความรู้สึกใดๆ ให้คุณหนูบ้างเลยหรือ?

ภายในใจฉู่ฮว่ายเสิงเต็มไปด้วยความวิตกกังวล ที่จริงเขาได้หลงเสน่ห์นางตั้งแต่ที่ได้ยินเสียงบรรเลงกู่ฉิน ทว่าเรื่องครานี้เร็วเกินไป เขายังไม่ทันได้เตรียมตัว…

“มิใช่ว่าหัวใจของข้าไม่มีคุณหนู ทว่า…”

คิ้วของฉู่ฮว่ายเสิงขมวดเข้าหากันก่อนที่จะกล่าวด้วยน้ำเสียงลังเล “หลินมู่อวี่เป็นท่านพี่ของข้า และเขามีความขัดแย้งกับท่านขุนนางเจิ้งฟาง หากข้าไปตำหนักขุนนางเทวาและสู่ขอท่าน…คงจะเป็นการมิควร ข้ามิปรารถนาจะทำให้คุณหนูต้องผิดหวัง ทว่าข้าก็มิอาจทรยศท่านพี่ได้!”

คำพูดเหล่านี้ทำให้ใบหน้าอันงดงามของเจิ้งเซียงแดงระเรื่อทันที นางยิ้มและกล่าวว่า “ตอนนี้เรื่องการสมรสมิได้สำคัญนัก ตราบใดที่ท่านมีใจให้แก่ข้า…”

ฉู่ฮว่ายเสิงประสานมือและกล่าวว่า “ข้าหวังว่าคุณหนูจะไม่ตำหนิในการกระทำที่สร้างความขุ่นเคืองให้ท่าน ข้าขอเวลาสักนิด แล้วข้าจะไม่ทำคุณหนูต้องผิดหวัง”

เจิ้งเซียงหัวเราะอย่างมีความสุข ใบหน้าเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำและมองไปทางอื่นเพราะความเขินอาย จากนั้นเจิ้งเซียงก้มศีรษะลงและกล่าวว่า “ถ้าอย่างนั้น…ข…ข้าสามารถพบท่านในวันพรุ่งนี้ได้หรือไม่?”

ฉู่ฮว่ายเสิงประหลาดใจ “คุณหนู พรุ่งนี้ข้ามีภารกิจขอรับ…”

“แล้วเมื่อใดท่านฉู่จะพอมีเวลาว่างมาพบข้า?”

“วันมะรืนขอรับ…”

“ถ้าอย่างนั้นวันมะรืนเราพบกันได้หรือไม่? มันจะเป็นการรบกวนท่านไหมเจ้าคะ?”

ใบหน้าฉู่ฮว่ายเสิงเปลี่ยนเป็นสีแดงและกล่าวอย่างเคอะเขิน “ข..ข้าเป็นเพียงทหารอันต่ำต้อย อีกทั้งยังได้รับเงินตอบแทนเยี่ยงทหารรักษาพระองค์ธรรมดาคนหนึ่ง ข้ากลัวว่าสถานที่ที่ข้าอยู่จะเป็นที่ที่ไม่เหมาะสมกับการไปเยือนของท่าน เพราะฉะนั้นคุณหนูเป็นคนนัดหมายสถานที่ได้หรือไม่ขอรับ? ข้าเป็นกังวลว่าข้าจะเผลอไปสร้างความขุ่นเคืองให้แก่คุณหนู…”

เจิ้งเซียงหัวเราะออกมา ดวงตาคู่งามนั้นมองไปที่ฉู่ฮว่ายเสิง “ท่านมิทำให้ข้าขุ่นเคืองอย่างแน่นอน ไม่ว่าจะเป็นสถานที่นั้นจะมีสภาพเป็นอย่างไรหากที่นั่นข้าได้พบท่านแล้วละก็ สถานที่นั้นคงเป็นสถานที่ที่วิเศษสำหรับข้า”

“ถ้าเยี่ยงนั้น…ข้าน้อยฉู่ฮว่ายเสิงขออนุญาตกลับไปที่ตำหนักเจ๋อเทียนก่อน ข้ามิอาจล่าช้าได้อีกต่อไป”

“อือ ข้าจะออกไปส่งท่านเอง…”

ภายใต้ท้องฟ้ายามราตรี ฉู่ฮว่ายเสิงและเจิ้งเซียงเดินเคียงข้างกันออกจากพับพลาวรุณ ทั้งสองมิได้ตระหนักเลยว่ามีใครบางคนกำลังสังเกตการณ์อยู่ ชายร่างผอมอายุราวสามสิบปี ใบหน้าของเขาแสดงถึงความเกลียดชัง ชายผู้นั้นกล่าวขึ้น “เจ้าฉู่ฮว่ายเสิงช่างไม่เจียมตัว คิดจะเป็นคางคกฝันกินเนื้อหงส์ เฮอะ! คุณหนูของข้าไม่ใช่ผู้ที่เจ้าจะแตะต้องได้! เมื่อใดที่เสินโหวทราบเรื่องนี้ เจ้าจะต้องสิ้นชีพเป็นแน่!!”

เจิ้งเซียงและฉู่ฮว่ายเสิงมิได้ตระหนักถึงภัยอันตรายที่กำลังล่วงล้ำเข้ามาในขณะที่พวกเขากำลังดื่มด่ำกับความสุขในห้วงแห่งความรัก

นี่เป็นวันที่แสนพิเศษสำหรับทั้งสอง

ความสุขที่สุดในโลกหล้าคือการได้รับรู้ว่าคนที่ตนมีใจให้…ก็รู้สึกเช่นเดียวกัน

เสียงร้องของไก่ฟ้าป่าทำลายความเงียบสงบยามค่ำคืน แสงของดวงอาทิตย์ลอดผ่านก้อนเมฆย้อมท้องฟ้าให้สว่างไสว

หลินมู่อวี่ตื่นขึ้นพร้อมความรู้สึกสดชื่นเพราะได้พักผ่อนอย่างเต็มอิ่ม เขาฟื้นฟูพลังทั้งหมดที่สูญเสียไปในเจดีย์ทงเทียน จากนั้นหลินมู่อวี่ได้นั่งพร้อมกับโบกมือ เขารับรู้ได้ว่าร่างกายของตนเต็มไปด้วยพลังปราณ ซึ่งได้รับการฟื้นฟูถึงขั้นสูงสุดอย่างทันท่วงทีสำหรับการปฏิบัติติภารกิจถัดไปของหน่วยองครักษ์อินทรี

“ท่านตื่นแล้วหรือขอรับ?”

เว่ยโฉวที่อยู่ห่างออกไปเผยยิ้มแล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงเคารพ “หน่วยวิญญาณอัคนีได้จัดเตรียมอาหารเช้าไว้แล้ว เราสามารถออกเดินทางได้ในทันทีหลังจากรับประทานเสร็จขอรับ”

“อืม!”

หน่วยวิญญาณอัคนีเป็นเพียงชื่อของคนครัวในกองทัพทหารทั้งห้าสิบนายของหลินมู่อวี่ มีห้านายรับผิดชอบขุดหลุมเพื่อก่อไฟและทำอาหาร แม้ทหารกลุ่มนี้จะมีเพียงไม่กี่คน ทว่าพวกเขาก็มีความสำคัญอย่างมาก…เพราะอาหารนั้นเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับกองทัพเสมอ

อาหารเช้าไม่ได้แย่นัก มีพายที่เป็นอาหารพื้นฐานสำหรับกองทัพ และสตูเนื้อหนึ่งชาม สตูเนื้อทำจากวัตถุดิบท้องถิ่น นั่นก็คือเนื้อหมาป่าวาโยที่พวกเขาสังหารได้เมื่อวานนี้ แม้ว่าเนื้อจะมีกลิ่นคาวเล็กน้อย ทว่าการยังมีเนื้อให้กินประทังชีวิตเช่นนี้ก็ถือว่าดีมากแล้ว

หลินมู่อวี่กินเข้าไปเพียงไม่กี่คำก่อนจะปรบมือพร้อมกล่าวว่า “เว่ยโฉว นำแผนที่ของป่าล่ามังกรมาให้ข้า!”

“ขอรับ!”

พวกเขากางแผนที่ออก นี่เป็นแผนที่ที่กองทัพจักรวรรดิทำขึ้นมาให้ ซึ่งกองทัพจากหน่วยองครักษ์อินทรีก็มีแผนที่นั้นอยู่แล้ว แผนที่มีรายละเอียดค่อนข้างเยอะ หลินมู่อวี่หยิบรายงานของพวกเขาออกมาก่อนที่จะยิ้ม “ข้าไม่รู้เลยว่าจะต้องเริ่มจากตรงไหนก่อนดี…”

เว่ยโฉวยิ้มออกมาก่อนจะชี้ไปที่แผนที่และกล่าวว่า “ใบไม้กำลังร่วงโรย ฉะนั้นอีกไม่กี่วันข้างหน้าก็จะถึงเวลาที่สัตว์วิญญาณอัคนีจำศีล สายลมฤดูใบไม้ร่วงหนาวเย็นมากราวกับว่าเหมันตฤดูจะมาเยือนในเร็ววัน บางทีพวกเราควรจะมุ่งหน้าไปทางด้านตะวันออกเฉียงใต้ของป่าล่ามังกร ดังนั้นพวกเราไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องการล่าสัตว์วิญญาณที่เหลืออยู่แล้ว”

“อืม…พวกสัตว์วิญญาณอัคนีมักรวมตัวกันที่ใดล่ะ?”

“บริเวณป่าพฤกษาศิลามลายขอรับ”

“อืม…เว่ยโฉว…เจ้านำทางไป”

“ขอรับ!”

เมื่อทานอาหารเช้าเสร็จ ทหารทุกนายก็ขี่ม้าและออกเดินทางหลังจากดับไฟเรียบร้อยแล้ว

สัตว์วิญญาณที่พบระหว่างทางไม่ได้แข็งแกร่งมากนัก ซึ่งพวกมันแต่ละตัวก็อายุไม่เกินสองพันปี ดังนั้นเว่ยโฉวและองครักษ์อวี้หลินนายอื่นๆ สามารถจัดการได้อย่างง่ายดาย ในส่วนของทหารรักษาพระองค์ ส่วนใหญ่พวกเขาจะอยู่ในขอบเขตมรรตัย ดังนั้นหน้าที่หลักของพวกเขาในการเดินทางครั้งนี้คือการเป็นลูกหาบและยิงธนูจากระยะไกล หากสัตว์วิญญาณที่แข็งแกร่งปรากฏตัว พวกเขาจะไม่สามารถเข้าร่วมการต่อสู้ได้ เนื่องจากมันอันตรายเกินไป

หลินมู่อวี่ได้ตัดสินใจอย่างแน่วแน่ตั้งแต่ที่รังอินทรีว่าจากนี้ไปทหารเหล่านั้นคือคนของตน ดังนั้นหลินมู่อวี่จะไม่มีวันยอมให้พวกเขาตายอย่างแน่นอน มิเช่นนั้นทหารเหล่านี้คงผิดหวังในตัวเขา เพราะหลินมู่อวี่คือผู้บังคับบัญชาที่ทุกคนเคารพ!

เมื่อพลบค่ำ มีหมีไพรวันอายุกว่าสองพันสี่ร้อยปีได้โจมตีหน่วยลาดตระเวน ทว่าหลินมู่อวี่ก็สังหารมันด้วยทวนบุปผาในกระบวนท่าเดียว เหล่าทหารเต็มไปด้วยความหวาดกลัว ทุกคนขยับเข้ามาชิดกันมากขึ้น

การเดินทัพ พักผ่อน และฝึกตน กลายเป็นชีวิตประจำวันของหลินมู่อวี่ ณ ที่แห่งนี้ไปแล้ว

วันเวลาล่วงผ่านไปสามวันโดยที่หลินมู่อวี่ไม่รู้ตัว ในที่สุดกองทัพก็เดินทางมาถึงพื้นที่รกร้าง…มันคือป่าพฤกษาศิลามลาย ที่แห่งนี้มีรอยไหม้อยู่ทั่วทุกหนแห่ง มันเป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์วิญญาณอัคนี และอสูรจำพวกอายุกว่าสี่พันปีรวมอยู่ที่นี่!