ตอนที่ 173 รักษาองค์ชาย ขอผลประโยชน์ (4)

หมอหญิงจ้าวดวงใจ

ตอนที่ 173 รักษาองค์ชาย ขอผลประโยชน์ (4)
ฮ่องเต้จึงยื่นตำราในมือไว้ให้กับลี่ผิน แล้วแย้มพระสรวลบางๆ “เจ้าพาจูเอ๋อร์ไปเล่นฝั่งโน้นก่อน”

ลี่ผินเป็นคนที่ฉลาดหลักแหลม จึงไม่ได้มากความ แล้วจูงมือเล็กๆ ของบุตรีไปข้างๆ ทั้งสองแม่ลูกก็ร่ำเรียนตัวอักษรไปพร้อมกัน

ฮ่องเต้ทรงเอ่ยถาม “เป็นเช่นไรบ้าง”

ไหวเอินหันไปมองจางชางเป่ยอย่างรวดเร็ว สิ่งที่กำลังจะทูลก็หยุดลง

“เป็นอะไรไป” ฮ่องเต้มองขันทีเอกของตนเองที่กำลังจะทำสีหน้าตกตะลึง จึงคิ้วขมวดเอ่ยถาม “ไหวเอิน?”

“ฮ่องเต้พ่ะย่ะค่ะ บ่าวไม่ได้เรื่องจริงๆ ตอนที่คุณหนูเหยารักษาคน…บ่าวมองดูไม่ถึงครึ่งหนึ่งก็ทนดูไม่ไหวอีกต่อไป…”

ฮ่องเต้เอ่ยถามด้วยความน่าขบขัน “ยังมีเรื่องที่เจ้าดูไม่ลงอีกหรือ”

จางชางเป่ยจึงพูดทูลกลับด้วยรอยยิ้ม “ทูลฮ่องเต้ คุณหนูเหยาถือว่าน่ายกย่องจริงๆ ตอนที่กรีดเนื้อตัดกระดูก แม้แต่คิ้วยังไม่ขมวดพ่ะย่ะค่ะ ไหวเอินกงกงดูถึงครึ่งหนึ่งก็วิ่งออกไปอาเจียนจนสะลืมสะลือแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

ฮ่องเต้ได้ยินก็ไม่ได้คิดเช่นนั้น “น่ากลัวเยี่ยงนั้นเลยหรือ”

จางชางเป่ยเป็นหมอทหารคนหนึ่ง จึงมีมุมมองที่แตกต่างจากขันที อีกอย่าง เขากำลังรายงานทักษะการแพทย์ของเหยาเยี่ยนอวี่ให้ฮ่องเต้ ไม่ใช่เป็นการเล่าเรื่องเขย่าขวัญ จึงเล่าขั้นตอนการรักษาของเหยาเยี่ยนอวี่ไปหนึ่งตัวด้วยท่าทีที่เคร่งขรึม สุดท้าย ก็ทูลขึ้นเพิ่มเติม “ฮ่องเต้พ่ะย่ะค่ะ คุณหนูเหยาท่านนี้มีความสามารถอันอัศจรรย์ของวงการการแพทย์ หากไม่ใช้นางให้เป็นประโยชน์ คงจะน่าเสียดายจริงๆ พ่ะย่ะค่ะ”

ฮ่องเต้ฟังจบจึงพยักหน้าด้วยการแย้มพระสรวลอ่อนๆ แล้วมองไหวเอินที่ก้มหน้าก้มตาอยู่ด้านข้าง เขายังคงทำสีหน้าที่หม่นหมอง แล้วตรัสด้วยรอยยิ้ม “ไหวเอิน เจ้าช่างไม่ได้เรื่องจริงๆ เรื่องเล็กน้อยเช่นนี้ก็ทำให้เจ้าตกใจแล้วหรือ”

ไหวเอินได้ยิน จึงรีบโค้งลำตัวพร้อมทูลขึ้น “พ่ะย่ะค่ะ บ่าวไร้ประโยชน์พ่ะย่ะค่ะ ทว่า…คุณหนูเหยาท่านก็เก่งกาจเหลือเกิน จับมีดเล็กๆ แล้วหั่นเนื้อเหมือนหั่นเต้าหู้อยู่ โธ่…บ่าวไม่กล้าดูจริงๆ ท่านว่าแม่นางเยี่ยงนี้ ใครจะกล้าสู่ขอกลับจวนล่ะพ่ะย่ะค่ะ อนาคตหากนางไม่พอใจขึ้นมา แล้วถือโอกาสตอนที่สามีนอนหลับ ใช้มีดเล็กควักหัวใจ ตับและปอดออกมา…”

“งื้อๆ! เสด็จแม่…จูเอ๋อร์ไม่ควักหัวใจ…” จูเอ๋อร์ที่อยู่ข้างๆ อ้าปากร้องไห้ออกมาอย่างฉับพลัน อีกทั้งยังร้องไห้ไปด้วยและซบเข้าไปกลางอ้อมกอดของลี่ผินไปด้วย แล้วกอดคอของลี่ผินไว้แน่นๆ น้ำหูน้ำตาแปดเปื้อนไหล่หนึ่งข้างของลี่ผิน

เด็กน้อยแปลกใจในคำเสวนาของผู้ใหญ่เป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้อยู่แล้ว เมื่อครู่ตอนจางชางเป่ยกล่าว จริงๆ แล้วนางก็กำลังฟัง ทว่าก็ฟังไม่ค่อยรู้เรื่อง ใครจะไปรู้ว่าไหวเอินจะพูดคำว่าควักหัวควักปอดอะไรอย่างนี้ออกมาอย่างกะทันหัน ยัยหนูน้อยที่มีอายุหกขวบฟังเข้า ก็ถูกทำให้ตกใจจนวิญญาณหลุดลอยไป

ลี่ผินถูกการตอบสนองของบุตรีทำให้สะดุ้งตกใจ จึงรีบกอดนางไว้ในอ้อมกอดแล้วเกลี้ยกล่อม ฮ่องเต้ที่รู้สึกเกรี้ยวโกรธก็ยกฝ่าพระบาทถีบไหวเอิน พร้อมกับก่นด่า “ไอ้บ่าวสวะ พูดจาเหลวไหล ทำให้องค์หญิงต้องตกใจจนร้องไห้! แล้วยังไม่รีบไสหัวออกไปอีก!”

ไหวเอินจึงรีบกลิ้งและคลานออกไป จางชางเป่ยจึงคลี่ยิ้มอย่างประหม่าพร้อมกับโค้งลำตัวถอยออกไป

ฮ่องเต้รีบเดินไปตรงหน้าลี่ผิน แล้วอุ้มบุตรีที่อยู่ตรงกลางอ้อมกอด พร้อมกับเกลี้ยกล่อมอย่างช้าๆ และเล่าเรื่องราวผ่าตัดขูดกระดูกรักษาพิษให้นางฟัง ถึงจะทำให้ค่อยๆ เกลี้ยกล่อมองค์หญิงน้อยให้สงบลง

บาดแผลของอาปาเข้อช่าได้ผ่านการรักษาของเหยาเยี่ยนอวี่เป็นอย่างดี แล้วยังป้อนยาต้มให้เขาสองครั้ง อาการอักเสบก็ค่อยๆ หาย

เช้าวันที่สอง สตรีที่ฟุบนอนอยู่ตรงขอบเตียง ทันใดนั้นก็รู้สึกได้ถึงฝ่ามือถูกแตะต้อง ดังนั้นเลยรีบตื่นขึ้นมา แล้วเงยหน้าก็เห็นองค์ชายของนางลืมตาแล้ว แล้วกำลังมองเพดานด้วยความเหม่อลอย

“โธ่! เทพเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ของหม่อมฉัน!” สตรีใช้ภาษาอาเอ่อร์เข้ออุทานอย่างตกใจ “เตี้ยนเซี่ยะฟื้นเสียที!”

“ลี่ลี่ซือ ตอนนี้พวกเราอยู่ที่ใด”

“เตี้ยนเซี่ยะ! พวกเราอยู่โรงเตี๊ยมของทูตต่างแคว้นในแคว้นต้าเหลียง”

“ฮ่องเต้ของแคว้นต้าเหลียงช่วยข้าไว้ใช่หรือไม่”

“ไม่! เป็นหมอเซียนเหยาช่วยเตี้ยนเซี่ยะไว้เพคะ” สตรีที่ถูกเรียกว่าลี่ลี่ซือก็ทูลด้วยความตื่นเต้น “เตี้ยนเซี่ยะ ตอนนี้รู้สึกเช่นไรบ้างแล้ว หม่อมฉันเรียกคนไปเชิญหมอเซียนเหยามาเถอะ!”

“ลี่ลี่ซือ…” อาปาเข้อช่าเรียกด้วยเสียงอ่อนแรง แล้วหันไปมองสตรีที่กำลังจะจากไปแล้วก็รีบหันกลับมา

“เตี้ยนเซี่ยะยังต้องการสั่งการใด”

“คนของพวกเรา…ยังมี่กี่คน”

นัยน์ตาอันงดงามของลี่ลี่ซือก็หม่นหมองไปทันที แล้วค่อยๆ คุกเข่าอยู่ตรงหน้าเตียง จากนั้นก็ไปจับมือของอาปาเข้อช่า พร้อมกับทูลด้วยความลำบากใจ “พวกเรา…เหลือแค่สิบสี่คน”

อาปาเข้อช่าอุทานด้วยเสียงอ่อนแรง ดวงตาสีฟ้าอันงดงามค่อยๆ ปิดลง ลี่ลี่ซือรอไปสักพักก็เห็นว่าองค์ชายของนางไม่มีท่าทีว่าจะเอ่ยพูด จึงหันหลังเดินออกไปเรียกคน

เมื่อวานหลังจากที่รักษาอาปาเข้อช่าจนเสร็จก็กลับจวน กลับเป็นชุ่ยผิงที่อยู่ต่อที่นี่ แล้วกำชับให้นางว่า หากอาปาเข้อช่าฟื้นแล้วก็ให้เขาดื่มยาต้ม ตัวเองจะมาราวๆ ยามเฉิน[1]

ลี่ลี่ซือวิ่งออกจากเรียกชุ่ยผิงเข้ามา ชุ่ยผิงจึงทำตามคำสั่งของเหยาเยี่ยนอวี่ ก็ได้ยกยาต้มที่ต้มไว้ตั้งนานแล้วให้ลี่ลี่ซือป้อนให้เขาดื่ม

ยามเฉินเพิ่งผ่านไป เหยาเยี่ยนอวี่ก็มาแล้ว เหยาเหยียนอี้ไม่ได้ตามมา ก่อนหน้านี้เขายุ่งกับโรงผลิตยามาตลอด ตอนนี้การสอบคัดเลือกขุนนางช่วงวสันต์ก็ใกล้จะมาถึง เขาต้องตั้งใจทบทวนตำรา ข้าหลวงเหยาบอกแล้ว หากเขาสอบไม่ได้อันดับอะไรเลย ก็ห้ามให้เขากลับเจียงหนาน

หลังจากที่เหยาเยี่ยนอวี่มาถึงก็ไม่ได้มากความอะไร ยิ่งไม่มีทางมากความเรื่องไร้สาระกับสตรีที่เป็นเผ่าต่างแดนที่กำลังตื่นเต้นคนนั้นหรอก ทันใดนั้นก็ไปตรวจจับชีพจรของอาปาเข้อช่าโดยตรง จากนั้นก็ฝังเข็มให้เขา ครั้งนี้การฝังเข็มให้อาปาเข้อช่านั้นไม่ได้ใช้สุดแรงสุดกำลัง

อย่างไรตอนนี้อาปาเข้อช่าก็คงไม่สิ้นใจไปชั่วคราว ไหนๆ กำลังภายในของตนเองก็ไม่บรรลุไปชั่วคราว เช่นนั้นก็ต้องใช้เข็มมากและหลายครั้ง แล้วเหตุใดถึงต้องทำให้ตนเองเหน็ดเหนื่อยทุกครั้งขนาดนั้นล่ะ

หลังจากดึงเข็มกลับมา เหยาเยี่ยนอวี่มองอาปาเข้อช่าที่กำลังเหม่อมลอย แล้วพูดขึ้น “ชีวิตขององค์ชายไม่มีอะไรแรงร้ายแล้ว แต่ว่าในร่างกายยังคงมีพิษเหลืออยู่ ดังนั้นช่วงนี้ไม่ควรโมโห ไม่ควรฝึกวรยุทธ์ ต้องดื่มยาต้มอย่างยืนหยัด ทางด้านอาหารก็ต้องระมัดระวัง พูดง่ายๆ ก็คือ ต้องบำรุงรักษาร่างกายเป็นอย่างดี” กล่าวจบ ก็หันไปมองชุ่ยเวยที่กำลังยกน้ำมาล้างมือ

อาปาเข้อช่าที่นอนอยู่บนเตียงไม่ขยับตลอดมา สุดท้ายก็พูดขึ้น “ข้า…สามารถจากไปได้เมื่อใด”

เหยาเยี่ยนอวี่นิ่งงันไป แล้วพูด “นี่หม่อมฉันก็ไม่รู้เพคะ”

“เช่นนั้นมีใครรู้”

“ฮ่องเต้ปี้เซี่ยะทรงรู้เพคะ” เหยาเยี่ยนพูดอย่างเรียบเฉย แล้วลุกขึ้นไปล้างมือ จากนั้นก็ไม่สนใจอาปาเข้อช่าอีก

ลี่ลี่ซือจึงรีบเดินมาด้านหน้า แล้วเอ่ยถามเหยาเยี่ยนอวี่ไม่หยุด “หมอเซียนเหยา พิษที่อยู่ในร่างกายของเตี้ยนเซี่ยะของพวกเรา…จะสามารถแก้ให้หมดเมื่อใด”

เหยาเยี่ยนอวี่มองนาง แล้วคลี่ยิ้มบางๆ ไม่พูดไม่จา

“หมอเซียนเหยา! เหตุใดท่านถึงไม่พูดไม่จา” ลี่ลี่ซือเอ่ยถามอย่างใจร้อน

ชุ่ยเวยที่อยู่ข้างๆ เอ่ยขึ้น “เผ่าต่างแดนอย่างพวกเจ้าก็น่าสนใจยิ่งนัก คุณหนูของข้าเสียแรงมากเพียงนี้ช่วยคนให้ฟื้นขึ้นมาได้ พวกเจ้าแม้แต่คำพูดขอบคุณเพียงคำเดียวก็จะไม่พูด แล้วยังพยายามจะถามเยี่ยงนี้เยี่ยงนั้น ไม่มีมารยาทเลย ดั่งที่คาดไว้ไม่มีผิด”

ลี่ลี่ซือตะลึงงันไป แล้วรีบน้อมทำความเคารพเหยาเยี่ยนอวี่ “หมอเซียนเหยา พวกเราไม่มีทางลืมบุญคุณอันใหญ่ยิ่งของท่านหรอก!”

เหยาเยี่ยนอวี่แสยะยิ้มแล้วเหลือบมองอาปาเข้อช่าเพียงพริบตา แล้วไม่พูดไม่จา

ลี่ลี่ซือหันกลับไปมององค์ชายของนางเพียงพริบตา พอรับเรื่อง จึงรีบโค้งลำตัวน้อมคำนับ “หมอเซียนเหยา องค์ชายของพวกเขาก็รู้สึกขอบคุณในบุญคุณที่ช่วยชีวิตของท่าน แค่ตอนนี้เขายังจมอยู่ในความเศร้าที่ถูกไล่ฆ่าและฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ ได้โปรดท่านให้อภัย…”

เหยาเยี่ยนอวี่เช็ดมือให้แห้ง แล้วก็โยนผ้าเช็ดมือสีขาวเข้าไปในกะละมัง พร้อมกับพูดด้วยเสียงเรียบ “เช่นนั้นก็เชิญองค์ชายของเจ้าค่อยๆ เศร้ารันทดไปเถอะ” กล่าวจบ ก็สาวเท้าจากไป

[1] ยามเฉิน คือช่วงเวลา 7.00 น. – 9.00 น.