บทที่ 159 ทดลอง (1)

ยอดวิถีแห่งปีศาจ

บทที่ 159 ทดลอง (1)
โครม!

ลู่เซิ่งถีบกำแพงล้มคว่ำ เศษหินมากมายกระจัดกระจาย ห้องหลักปรากฏกลางสายตาของเขา

ส่วนอื่นๆ ของห้องไม่แตกต่างจากห้องทั่วไป มีแต่ตรงกลางพื้นห้อง ที่มีเสาหินสีม่วงหยาบใหญ่ต้นหนึ่งตั้งอยู่ คัมภีร์เล่มหนึ่งกางอยู่บนเสา พลิกหน้าด้วยตัวเองอย่างช้าๆ

“นี่คืออะไร” ลู่เซิ่งได้กลิ่นของสมบัติ สองตาเป็นประกาย ยื่นมือเข้าหาคัมภีร์เล่มนั้น

“ฮึอๆ…” สตรีกางร่มเอาแต่ร้องไห้

ลู่เซิ่งไม่สนใจนาง ยื่นมือเข้าหาคัมภีร์

ครึ่กๆ!

ทันใดนั้น อักขระสีขาวเหมือนแถบผ้าลอยขึ้นรอบๆ คัมภีร์ นั่นเป็นแถบผ้าหลายเส้นที่เกิดจากการประกอบตัวอักษรจำนวนมากเข้าด้วยกัน พวกมันลอยวนเวียนอยู่รอบคัมภีร์ ป้องกันมือใหญ่ของลู่เซิ่งไว้

‘อ้อ น่าสนใจดี’ ลู่เซิ่งสนใจ ยิ่งเป็นของที่หามาได้ยาก ยิ่งต้องล้ำค่า

เขาชักมือกลับ จากนั้นกดฝ่ามือลงไปอย่างแรง

แรงอันมหาศาลพร้อมกับแรงดันลม พัดของอย่างอื่นในห้องนอนจนล้มคว่ำ มือใหญ่ฟาดลงบนแถบแสงสีขาวนั้น

ตูม!

จวนของจัตุรัสแดงเริ่มสั่นสะเทือน ลู่เซิ่งรู้สึกเหมือนฟาดฝ่ามือใส่ภูเขาลูกย่อมๆ ที่ตนไม่อาจขยับได้

‘นี่ดูเหมือนมันจะเชื่อมจัตุรัสแดงทั้งหมดเข้าไว้ด้วยกัน…อือ…ไอ้นี่คือค่ายกลใช่รึเปล่า’ ลู่เซิ่งสนใจ

เขารู้สึกตัวเองเหมือนฟาดใส่เปลือกไข่ที่เกลี้ยงเกลา ก่อนจะชักมือกลับมา

โครม!

ฝ่ามือที่สองนี้ใช้พลังทั้งหมดของเขาในสภาพนี้

ตูม!

เป็นอย่างที่คาด พื้นดินของจวนจัตุรัสแดงเริ่มสั่น แถบผ้านี้จะต้องเชื่อมกับรากฐานดินของที่นี่แน่

‘เปิดไม่ได้แฮะ’ ลู่เซิ่งมองคัมภีร์เล่มนั้นอย่างเสียดาย ได้แต่เก็บของอย่างอื่น

เขาเด็ดขาดแน่วแน่ ไม่ทันไรก็พลิกค้นห้องทุกห้องของจัตุรัสแดงจนหมด บางห้องกระชากประตูเข้าไป บางห้องก็เปิดหลังคา บางห้องก็ถีบทำลายกำแพง

ภูตผีส่วนหนึ่งที่ยังซ่อนตัวอยู่แตกตื่น หลบหนีอย่างอลหม่าน

ลู่เซิ่งไม่สนใจผีป่าวิญญาณเลวไร้สมองเหล่านี้ หลังเก็บกวาดได้มาหลายอย่าง ก็กลับมาที่ลานตรงกลาง

พื้นของลานตรงกลางเป็นสีเทาขาว ทั้งหมดเป็นโครงกระดูกของภูตผีที่โดนวิชาเก้าพิฆาตแดงฉานเผาตายก่อนหน้านี้ ลู่เซิ่งนั่งยองๆ เสียบมือเข้าไปในกองสีขาวเทาบนพื้น

ซู่…

ทันใดนั้น ปราณหยินจำนวนมากก็ทะลักจากฝุ่นขาวเข้าสู่ร่างเขาอย่างต่อเนื่องไม่ขาดสายโดยไร้สุ้มเสียง ปราณหยินในฝุ่นผงสีขาวเหล่านี้อ่อนแอและกระจายตัวเกินไป เขาไม่จำเป็นต้องใช้เลือดชักนำ ก็ดึงดูดได้โดยตรง

สตรีกางร่มมองเขาเดินไปเดินมาพลางยื่นมือคลำในฝุ่นขาว ก็นึกว่าเขากำลังหาอะไรอยู่ ได้แต่กัดรีมฝีปากมองดู

ตอนแรกนางร้องไห้ จนกระทั่งเหนื่อยแล้ว จึงได้แต่ถูกเขาจับเขย่าไปเขย่ามาอย่างเงียบๆ

กว่าจะดูดปราณหยินเสร็จก็ผ่านไปครึ่งชั่วยามกว่าๆ ลู่เซิ่งทอดน่องไปรอบๆ จัตุรัสแดง จนยืนยันได้ว่าไม่มีอะไรมากกว่านี้ จึงจับสตรีกางร่มไว้ก่อนจากไป

ก่อนไปเขาจุดไฟเผาที่นี่ จัตุรัสแดงส่วนใหญ่สร้างขึ้นโดยใช้ไม้ จากหย่อมไฟจึงกลายเป็นเพลิงใหญ่เผาผลาญอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็ลามไปทั่วทั้งจวน

ควันหนากับเปลวเพลิงพุ่งสู่ฟากฟ้า แสงไฟสีแดงอมเหลืองเผาไหม้ป่าส่วนหนึ่งใกล้ๆ ไม่ทันไรก็แผ่ลามออกไป

ควันดำกว้างใหญ่กระจายตัว ย้อมท้องฟ้าเป็นเมฆดำผืนใหญ่

ราตรีผันผ่านไปช้าๆ ฟ้าเริ่มสาง เมฆดำปกคลุม ฟ้าแลบแปลบปลาบ มีเสียงฟ้าร้องครืนๆ ตลอดเวลา

จัตุรัสแดงแทบถูกเผาเป็นซากในคืนเดียว ทุกที่มีรอยดำเกรียม ถ่านไม้กับหินผสมปนเป ทั้งหมดเป็นสีดำ แยกแยะสิ่งใดไม่ได้

หยดฝนขนาดเท่าเม็ดถั่วโปรยปรายอย่างรวดเร็วยิ่ง ตอนแรกยังปรอยๆ พร้อมกับที่ควันหนารวมตัวกัน หยดฝนก็ใหญ่และหนาขึ้นเรื่อยๆ

ครืน

สายฟ้าสายหนึ่งแวบผ่าน ส่องพื้นดินเป็นสีขาว

ตุบ

รองเท้ายาวสีดำลายหงส์สีแดงเหยียบอยู่หน้าประตูจัตุรัสแดงที่กลายเป็นซากปรักหักพัง

ผู้คุมจัตุรัสตัวโชกเลือด มือข้างหนึ่งจับแขนข้างหนึ่งของตัวเองไว้ เลือดเนื้อเลอะเลือน ใบหน้าหายไปครึ่งหนึ่ง

นางมองจัตุรัสแดงที่กลายเป็นซาก ดวงตามีเปลวเพลิงแห่งโทสะเต้นระริก

เดินเข้าจวนอย่างเชื่องช้า ทุกที่มีควันหลายสายลอยออกมาจากในกองเพลิง ฝนที่ตกกระหน่ำ ได้แต่ดับไฟที่อยู่ภายนอก ไฟจากถ่านที่อยู่ภายในสุดยังคงอยู่

ตูม!

นางต่อยหมัดใส่ซากกำแพงด้านข้าง กำแพงพลันระเบิดออก กลายเป็นรูใหญ่เท่าอ่างล้างหน้า

“ไม่ว่าเจ้าจะเป็นใคร!? เมื่อทำลายบ้านของข้า เจ้าต้องตาย!”

“ดูเหมือนเราจะมาผิดเวลา” ในป่ารกใกล้ๆ กัน บุรุษวัยกลางคนแต่งกายแบบเศรษฐีเยื้องย่างออกมา

“เย่หลิงม่อหรือ” ผุ้คุมจัตุรัสหันไป “รู้หรือไม่ว่าเป็นฝีมือใคร”

เย่หลิงม่อเห็นแสงเพลิง จึงรีบมาตามลำพัง คิดไม่ถึงสิ่งที่เห็นจะเป็นภาพนี้

“ข้าเพิ่งมาถึงเช่นกัน” เย่หลิงม่อส่ายหน้า เขารู้จักผู้คุมจัตุรัสแดงมานาน แต่ไม่ได้มีความสัมพันธ์ที่ดีนัก ตอนเขาเป็นประมุขจวนม้วนมนุษย์ รู้สึกหวาดกลัวอีกฝ่ายถึงขีดสุด

ทุกคนลืมชื่อเดิมของผู้คุมจัตุรัสแดงไปแล้ว เพียงแต่นอกจากเรียกว่าผู้คุมจัตุรัส ยังมีคนเรียกนางว่ามารแดง และยังมีคนเรียกนางว่าปีศาจโลหิต

นางแทบจะสร้างองค์กรที่แข็งแกร่งอย่างจัตุรัสแดงด้วยตัวคนเดียว

หรือบอกว่า องค์กรอย่างจัตุรัสแดงพึ่งพาเพียงการสนับสนุนที่ข่มขวัญของนางเพียงคนเดียว ยอดฝีมือที่แท้จริงในนี้ก็คือสตรีกางร่มกับแม่ทัพผีอีกหลายตน แต่ในการต่อสู้กับตระกูลเจิน แม่ทัพผีที่ตายก็ตายไป ที่หนีได้ก็หนี ตอนนี้เหลือแค่นางกับสตรีกางร่ม ที่เหลือเป็นผีตนใหม่ที่เพิ่งรับสมัครมา จึงไร้ที่พึ่งพา

“อย่างนั้นท่านมาทำอะไร คิดจะชิงเศษภัยพิบัติมังกรสีชาดหรือ” ผู้คุมจัตุรัสแดงกล่าวอย่างเย็นชา

“เศษภัยพิบัติมังกรสีชาดหรือ” เย่หลิงม่อไม่รู้จริงๆ ถามอย่างงงงัน “อย่าเข้าใจผิด ข้าไม่ใช่ศัตรูของท่าน ตรงกันข้าม ข้ามาตรวจสอบคดีผู้ประกอบพิธีหายตัวไปให้แก่จวนอู๋โยว จะว่าไป สามารถทำให้ผู้ประกอบพิธีของจวนอู๋โยวหายไปอย่างไร้ร่องรอยในแดนเหนือได้ พลังแบบนี้ ไม่แน่ว่าจะเป็นแหล่งเดียวกับพลังที่ทำลายจัตุรัสแดงของท่าน พวกเราสมควรมีศัตรูร่วมกัน”

“ท่านควรจะดีใจที่คราวนี้ไม่ใช่ท่าน” ผู้คุมจัตุรัสแดงไม่มองเขา เดินไปยังห้องใหญ่ด้านในสุดของจัตุรัสแดง

จนกระทั่งเจอเสาศิลาสีม่วงในซากกองหนึ่ง เห็นคัมภีร์ที่วางอยู่ด้านบน นางก็ผ่อนลมหายใจเล็กน้อย

เย่หลิงม่อก็ผ่อนลมหายใจเช่นกัน เดินเข้าไป ครั้นเห็นคัมภีร์เล่มนั้น เขาก็ตะลึงงัน

“นี่ไม่ใช่…ไม่ใช่สิ่งนั้นหรอกหรือ…?!” เขามีสีหน้าเปลี่ยนแปลง ตกใจจนถอยหลังหลังกรูด พูดไม่ออกขณะที่จับจ้องคัมภีร์เล่มนั้น

สาเหตุที่จวนม้วนมนุษย์ถูกทำลาย ยังไม่ใช่เพราะเขาคิดควบคุมผีสาวที่แข็งแกร่งซึ่งถูกพบอย่างกะทันหันตนนั้นหรือ สาเหตุของทุกสิ่งเป็นเพราะเขาเจอคัมภีร์เล่มนี้

คัมภีร์เล่มนี้เป็นคัมภีร์ล้ำค่าที่บันทึกวิธีฝึกฝนของภูตผี วิธีฝึกฝนที่อยู่ด้านในสูงส่งกว่าวิธีที่พวกเขาใช้มากกว่าหนึ่งเท่า ถ้าไม่ใช่เพราะมัน เขาคงไม่ทุ่มพลังทั้งหมดของจวนม้วนมนุษย์ เพื่อควบคุมสะกดผีสาวแข็งแกร่งนางนั้น ผลลัพธ์คือขาดแค่อีกก้าวเดียวก็จะสำเร็จ

“ท่านเดาไม่ผิด นี่ก็คือคัมภีร์เล่มนั้น รูปเก้าตำหนักปั่นป่วนเทพ” ผู้คุมจัตุรัสแดงเดินไปถึงข้างคัมภีร์ ยื่นมือไปลูบไล้ลวดลายตัวอักษรด้านบน ตัวอักษรเหล่านั้นบิดเบี้ยวเปลี่ยนแปลง ไม่ใช่ภาษาตัวอักษรชนิดใดๆ

“อย่างนั้นผีสาวตนนั้นเล่า…” เย่หลิงม่อสีหน้าเคร่งเครียด

“ของมาอยู่ในมือข้า ท่านคิดว่าจะยังมีความเป็นไปได้ที่สองหรือ” ผุ้คุมจัตุรัสแดงมองเขาอย่างเยาะเย้ย “ว่ามา มาหาข้ามีเรื่องใด ข้าไม่มีเวลาคุยเล่นกับท่าน!”

เย่หลิงม่อหัวใจเต้นโครมคราม ถึงแม้ตอนนั้นเขาจะประเมินพลังของผุ้คุมจัตุรัสแดงไว้สูงมากแล้ว แต่ตอนนี้พอเห็นฉากนี้ ยังคงรู้สึกสะท้านสะเทือน

ผีสาวที่ทำลายจวนม้วนมนุษย์ในตอนนั้น เขาใคร่ครวญครุ่นคิด พยามสุดกำลัง ก็ยังไม่เจอวิธีปราบอีกฝ่าย สุดท้ายนางเข่นฆ่าสังหารถึงหน่วยหลัก ทำลายรากฐานของจวนม้วนมนุษย์จนสิ้น

ตอนนี้พอเห็นคัมภีร์ เขาก็เกิดความกริ่งเกรงต่อผู้คุมจัตุรัสแดงมากขึ้น ดีที่ตอนนี้ไม่ได้เป็นศัตรูกัน

“ข้าเป็นตัวแทนจวนอู๋โยวมาร่วมมือกับท่านจริงๆ พวกเรามีจุดติดต่อที่มั่นคงอยู่ทุกเมือง มีส่วนช่วยต่อการตามหาคนร้ายของท่านมาก”

“หวังว่าท่านจะไม่หลอกข้า” ผู้คุมจัตุรัสแดงหยิบคัมภีร์ขึ้นมาตบเบาๆ ระเบิดคัมภีร์จนกลายเป็นจุดแสงสีม่วง ก่อนจะหายไปไม่เห็นร่องรอยอีก

“ปัจจุบันผู้ที่มีพลังพอจะโค่นล้มจัตุรัสแดงในแดนเหนือได้มีอยู่ไม่กี่คน พวกเราตรวจสอบแบบเจาะจงทีละคนได้” เย่หลิงม่อกล่าวอย่างระวังตัว แม้ผู้คุมจัตุรัสแดงจะสังหารผีสาวที่ทำลายจวนม้วนมนุษย์ไปแล้ว เขาก็รู้จักความน่าพรั่นพรึงของผีสาวตนนั้นดี ตอนนี้จึงหวาดเกรงผู้คุมจัตุรัสแดงมากกว่าเดิม

“ท่านหมายถึงซั่งหยางจิ่วหลี่กับผู้นำพันธมิตรบู๊ใช่หรือไม่”

“ใช่” เย่หลิงม่อเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง “ผู้ประกอบพิธีของจวนอู่โยวไปข้องเกี่ยวกับพันธมิตรบู๊ ค่อยหายสาบสูญอย่างกะทันหัน เรื่องนี้จะต้องเชื่อมโยงกันแน่”

“ข้ารู้สึกได้ว่าอิงอิงยังไม่ตาย ถ้าเจออิงอิง ก็อาจหาคนร้ายเจอ” ผู้คุมจัตุรัสแดงเอ่ยเสียงเย็น

“ขอแค่มีเบาะแสเถอะ!” เย่หลิงม่อฮึกเหิม เดิมนึกว่าการมาตรวจสอบคดีในแดนเหนือจะเป็นภารกิจง่ายๆ ดูจากตอนนี้ คนร้ายถึงกับกล้าทำลายจัตุรัสแดง มีเลศนัยล้ำลึกยิ่ง เขาเกิดข้อกริ่งเกรงกว่าเดิม

ถ้ำในเขาบูรพาที่ห่างจากเมืองเลียบคีรีหลายสิบลี้

ลู่เซิ่งนั่งขัดสมาธิพลางหิ้วสตรีกางร่มอยู่ในถ้ำ ด้านนอกดวงอาทิตย์กระจ่างใส หิมะโปรยปราย กองสุมอุดปากถ้ำ

‘ข่ายกระเรียนหยินเป็นปราณภายในธาตุหยิน ปราณภายในธาตุหยินแม้มีคัมภีร์ลับ แต่ไม่เคยมีใครฝึกฝน’ ลู่เซิ่งมีความคาดหวังอยู่บ้าง

‘เพราะภูตผีปีศาจ ยอดฝีมือในยุทธภพแทบทุกคนจึงฝึกวิชาธาตุหยาง วิชาธาตุหยางทำร้ายภูตผีได้เล็กน้อย ถ้าพลังยุทธ์แข็งแกร่งมาก ก็พอจะสังหารภูตผีได้ อย่างนั้นปราณภายในธาตุหยินล่ะ มันมีผลแบบไหนต่อภูตผี’

สตรีกางร่มโอบกอดร่ม ขดตัวอยู่ในมือของเขาอย่างหวาดผวา ไม่กล้าขยับเขยื้อน

ปราณภายในของลู่เซิ่งกลายเป็นตาข่ายโลหิตขังนางไว้ด้านใน หากมีการเคลื่อนไหวที่ผิดปกติเล็กน้อยก็สามารถเผานางเป็นฝุ่นได้ในพริบตา

ลู่เซิ่งนั่งอยู่ด้านใน เริ่มจัดระเบียบสิ่งของที่ได้มา

กระดิ่งเล็กๆ ใบหนึ่ง กล่องยาวไม้จันทร์สีดำใบหนึ่ง และม้วนกระดาษเก่าแก่ที่เหมือนลายแทงสมบัติม้วนหนึ่ง

ของทั้งสามอย่างมีปราณหยินทุกชิ้น ลู่เซิ่งใช้พวกมันเป็นมาตรฐานในการเก็บของ จัตุรัสแดงมีของสามชิ้นนี้ที่มีปราณหยินเข้มข้น ที่เหลืออยู่เพราะรีบเกินไปไม่ได้ตรวจละเอียด อาจจะมีอีก แต่ไม่สะดุดตาเท่าสามชิ้นนี้

ลู่เซิ่งหยิบกระดิ่งใบเล็กชิ้นแรกขึ้นมา “เจ้าบอกข้ามา ว่านี่คืออะไร” เขามองสตรีกางร่ม

……………………………………….

นิยายเรื่องนี้เข้าร่วมโปรโมชั่น

อัปเพิ่มต่อ +1

เพิ่มตอนจากปกติ เวลา 16.00 น. ตลอดช่วงแคมเปญ

18-31 ก.ค. 65 เท่านั้น!

ฝากติดตามกันด้วยนะคะ

Ink Stone