บทที่ 289 องค์หญิงน้อย + บทที่ 290 เจ้าของทงเป่าไจ

ภรรยาแม่ทัพเป็นสาวชาวบ้าน

บทที่ 289 องค์หญิงน้อย

เฟิงซั่วเลิกคิ้ว มองหนานกงเช่อ ด้วยดวงตาไร้อารมณ์ ทว่าหนานกงเช่อรู้สึกได้ว่าสายตาคู่นั้นกำลังล้อเลียนตน

“ข้ามีความรู้สึกว่าที่องค์ชายแห่งเมืองเฟิงกล่าวก็ไม่ได้ผิดแต่อย่างใด” เฉียวเทียนช่างเอ่ยขึ้นตอนที่บรรยากาศระหว่างทั้งสองเริ่มน่าอึดอัด

“เฉียวเทียนช่าง เป็นโชคดีของท่านแล้วที่น้องสาวของข้าชมชอบท่าน” สีหน้าหนานกงเช่อเริ่มซีด

ถ้าพูดถึงเรื่องรูปโฉม หนานกงเยว่งดงามกว่าหนิงเมิ่งเหยาหลายเท่าตัว ยิ่งเรื่องของตัวตนและสถานะ หนานกงเยว่เองก็อยู่เหนือกว่าหนิงเมิ่งเหยามากนัก

หากไม่ใช่คนโง่เง่าเบาปัญญา ย่อมรู้ว่าถ้าแต่งงานกับน้องสาวของเขาจะได้ผลประโยชน์อะไรบ้าง แต่เฉียวเทียนช่างกลับปฏิเสธออกมาโดยไม่แม้แต่จะพิจารณาแม้สักนิด

นอกจากจะเป็นการตบหน้าสองพี่น้องแล้ว ยังถือเป็นการตบหน้าเมืองหลิงอีกด้วย

เฉียวเทียนช่างแสยะยิ้มมองหนานกงเช่อ “ข้าไม่มีปัญญารับโชคเช่นนั้นไว้หรอก”

“เฉียวเทียนช่าง นี่ท่าน…”

“ท่านพี่ อย่าได้โกรธไปเลย” หนานกงเยว่พูดขึ้นตอนหนานกงเช่อจวนจะอาละวาด

เมื่อหนิงเมิ่งเหยามองยังท่าทีที่สองพี่น้องมีต่อกัน นางก็ครุ่นคิด จากที่นางได้ยินเกี่ยวกับทั้งสองมา หนานกงเช่อไม่ใช่คนที่จะโมโหขึ้นมาง่ายๆ แต่ในวันนี้…

หนิงเมิ่งเหยาขมวดคิ้วเล็กน้อย พลางคิดถึงอากัปกิริยาที่หนานกงเช่อแสดงออกมาในวันนี้

“เจ้าคิดอะไรอยู่หรือ” เฉียวเทียนช่างสงสัยเมื่อเห็นหนิงเมิ่งเหยามองไปยังหนานกงเช่อด้วยสายตาสงสัยและครุ่นคิด

“เทียนช่าง เจ้าสังเกตหรือไม่ว่าหนานกงเช่อมีท่าทีแปลกยิ่งนัก” หนิงเมิ่งเหยาไม่อาจเข้าใจได้ นางหันไปมองเฉียวเทียนช่าง ดวงตานางเต็มไปด้วยความสงสัย

พอฟังที่หนิงเมิ่งเหยาพูด เฉียวเทียนช่างก็รู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ “แปลกจริงด้วย เหมือนว่าชายคนนี้เป็นคนละคนกับที่เรารู้จัก”

“ท่าทีของหนานกงเยว่ดูคล้ายกับองค์ชายของเมืองหลิงที่เขาลือกันมากกว่าเสียอีก” หนิงเมิ่งเหยามองยังหนานกงเยว่แล้วหรี่ตา

เฉียวเทียนช่างคิ้วกระตุก เขามองยังหนานกงเยว่ที่สงบนิ่ง แววตาดำดิ่งอยู่ในห้วงความคิด “จากที่เจ้าพูดมาก็ดูจะเป็นเช่นนั้น”

“ดูท่าเราต้องสืบเรื่องนี้ให้ละเอียดเสียแล้ว” หนิงเมิ่งเหยากระซิบ

เซียวฉีเทียนที่อยู่ข้างๆ อดขมวดคิ้วไม่ได้เมื่อได้ยินสิ่งที่ทั้งสองคุยกัน เขารู้เกี่ยวกับองค์ชายแห่งเมืองหลิงในพอสมควร แต่ก็ตระหนักได้ว่าตัวจริงขององค์ชายต่างจากข่าวลือเกินไป

หนานกงเยว่ยืนขึ้น แล้วมองยังเฉียวเทียนช่าง “ข้าเทียบนางไม่ได้เลยหรือ”

หนิงเมิ่งเหยาหัวเราะ แต่ไม่ตอบคำถาม

“แน่นอน” เฉียวเทียนช่างไม่แม้แต่จะมอง น้ำเสียงเขาสุขุมไม่เปลี่ยน

คิ้วเรียวของหนานกงเยว่ขมวดเข้าหากัน “ไยเป็นเช่นนั้น” นางรู้ว่าหนิงเมิ่งเหยาโดดเด่น แต่ก็ไม่ได้มากพอให้เขาซื่อสัตย์มั่นคงกับนางถึงเพียงนี้

“ทำไมน่ะหรือ เพราะข้ารักเพียงนาง คนอื่นจะเป็นอย่างไร แล้วเกี่ยวอะไรกับข้าหรือ” เฉียวเทียนช่างกล่าวอย่างไม่แยแส

หนานกงเยว่มองหนิงเมิ่งเหยา “ถ้าแต่งงานกับข้า สถานะขุนนางของเขาจะยิ่งสูงขึ้น”

หนิงเมิ่งเหยาระเบิดเสียงหัวเราะ “แล้วเขาจะได้อะไร”

“อำนาจและอิทธิพล” หนานกงเยว่ตอบดั่งว่าเป็นความจริงที่แน่นอนอยู่แล้ว

ไม่ใช่เพียงหนิงเมิ่งเหยา กระทั่งเซียวฉีเทียนและคนอื่นก็ยังอดหัวเราะนางมิได้

มาพูดเรื่องอำนาจและอิทธิพลต่อหน้าหนิงเมิ่งเหยาเช่นนี้น่ะหรือ ถ้าเพียงจะรู้สักนิดว่าหญิงสาวนางนี้ทำลายเศรษฐกิจของทั้งเมืองได้ทุกเมื่อที่ต้องการ อำนาจของนางแข็งแกร่งกว่าของหนานกงเยว่ยิ่งนัก

“ฮ่า ฮ่า ฮ่า นี่เป็นครั้งแรกเลยที่มีองค์หญิงน้อยกล้าพูดจาเช่นนี้กับนายหญิงแห่งทงเป่าไจ” เสียงเย็นยะเยือกและทรงพลังดังมาจากกลางอากาศ

ดวงตาหนิงเมิ่งเหยาเป็นประกายสดใสเมื่อได้ยินเสียงนั้น “ท่านพี่เหมย!”

เหมยรั่วหลินและอวี้เฟิงปรากฏตัวขึ้นกลางงานเลี้ยง หนานกงเยว่รู้จักตัวตนของคนทั้งสอง พวกเขาคือนายหญิงและนายท่านตัวแทนของสำนักอวี้หลิน และเป็นสองในสี่ผู้เป็นนายแห่งทงเป่าไจ

“เจ้าหมายความว่าอย่างไร”

“ข้าหมายความว่าอย่างไรรึ นางคือนายตัวจริงแห่งทงเป่าไจอย่างไรเล่า นางจะเทียบกับองค์หญิงน้อยเช่นเจ้าได้หรือไม่ เจ้าคิดจริงๆ หรือว่าสามีของนางจะโดนคนแบบเจ้าแย่งไปได้” สีหน้าเหมยรั่วหลินส่อแววร้ายกาจ นางมองหนานกงเยว่ด้วยความเกลียดชังและเหยียดหยาม

หนานกงเยว่มองหนิงเมิ่งเหยาอย่างไม่อยากเชื่อ สตรีผู้นี้คือเจ้าของทงเป่าไจเช่นนั้นหรือ จะ…จะเป็นไปได้อย่างไรกัน

และไม่ใช่หนานกงเยว่คนเดียว ทุกคนที่อยู่ตรงนั้นนอกจากเฉียวเทียนช่าง เซียวฉีเทียน และเซียวชวี่เฟิงล้วนตกตะลึง โดยเฉพาะหลิงหลัว

ดวงตาหลิงหลัวเต็มไปด้วยความตะลึงงันเมื่อเขามองหนิงเมิ่งเหยา นางคือเจ้าของตัวจริงแห่งทงเป่าไจอย่างนั้นหรือ

บทที่ 290 เจ้าของทงเป่าไจ

เขาเคยสืบเรื่องของหนิงเมิ่งเหยา ทว่าไม่พบอะไรเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของนางและคนเหล่านี้เลย แต่ตอนนี้เขากลับได้ยินว่านางคือเจ้าของตัวจริงขององค์กรที่ใหญ่ที่สุดในแผ่นดิน

ถ้าตอนนั้นเขาไม่เลือกเซียวจื่อเซวียน แล้วเลือกนางแทน ไม่ใช่ว่าสถานการณ์ตอนนี้จะกลับตาลปัตรเลยหรือ

คนตระกูลเสนาบดีเว่ยทุกคนยกเว้นเว่ยเค่อซินต่างหน้าซีด พวกเขาไปยั่วโมโหเจ้านายตัวจริงแห่งทงเป่าไจเข้าแล้ว

หนิงเมิ่งเหยาไม่ทันสังเกตเห็นสีหน้าตะลึงงันของทุกคนตรงนั้น สายตานางมองไปยังสีหน้าหวาดหวั่นพรั่นพรึงของหนานกงเยว่ “หนานกงเยว่ ท่านยังคิดเทียบพลังและอำนาจกับข้าอีกหรือไม่”

ริมฝีปากหนานกงเยว่สั่นระริก นางเทียบกับหนิงเมิ่งเหยาไม่ได้เลยหรือนี่ นางมีเพียงสถานะชนชั้นสูงในเมืองหลิง แต่สถานะของหนิงเมิ่งเหยาแผ่ไปทั่วหลายหัวเมือง นางสู้ไม่ได้เลยสักนิด

“ข้า…ข้า…”

จู่ๆ หลิงหลัวก็ยืนขึ้น เดินไปหาหนิงเมิ่งเหยา “เหตุใดเจ้าถึงโกหกข้า” ทำไมเจ้าจึงหายจากไปโดยใช้วิธีเช่นนั้น

หนิงเมิ่งเหยาไม่สนใจหลิงหลัว นางใช้สายตาเฉียบคมกวาดมองผู้คน “เฉียวเทียนช่างคืออีกครึ่งหนึ่งของข้า ข้าจะทำให้คนที่หมายตาเขาทรมานยิ่งกว่าตาย พวกท่านจะลองก็ได้ถ้าไม่เชื่อคำข้า”

เซียวฉีเทียนหัวเราะออกมาเสียงดัง โดยไม่สนใจสถานการณ์ตรงหน้า เขาใช้สายตาขี้เล่นมองเฉียวเทียนช่างอย่างล้อเลียน ผู้ชายที่ถูกหญิงของตัวเองกล่าวถึงเช่นนั้น แล้วจะยังรักษาหน้าของฝ่ายชายไว้ได้อีกหรือ

หนิงเมิ่งเหยาหันไปมองเฉียวเทียนช่าง “เทียนช่าง เจ้าอายเพราะเรื่องนี้หรือไม่”

“ไม่เลยสักนิด” เขารู้สึกภูมิใจที่มีภรรยาเก่งกล้าโดดเด่น ไยจึงต้องอาย

“หนิงเมิ่งเหยา!” หลิงหลัวหน้าซีดมองหนิงเมิ่งเหยา ตัวนางในตอนนี้เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง นางไม่ใช่หญิงที่เขารู้จักอีกต่อไป

สถานะนางสูงศักดิ์มากกว่าเขานัก

หนิงเมิ่งเหยาหันไปหาหลิงหลัว “เจ้าเป็นคนที่เลือกจะปล่อยมือจากข้าเอง ข้าไม่ได้บังคับให้เจ้าปล่อย เจ้าเลือกเซียวจื่อเซวียนเพราะอำนาจ อิทธิพล และสถานะของจวนตระกูลเซียวไม่ใช่หรือ”

“แต่เจ้าไม่ได้บอกข้า…”

“ไม่ได้บอกว่าข้าคือนายที่แท้จริงแห่งทงเป่าไจน่ะหรือ ฮ่า ฮ่า หลิงหลัว เจ้าคิดว่าข้าเป็นใคร” แน่นอนว่านางรู้ดี ว่าถ้านางบอกหลิงหลัวเรื่องตนเป็นเจ้าของทงเป่าไจ นางจะต้องได้ขึ้นเป็นชายาซื่อจื่อของจวนตระกูลหลิง แต่ทำไมนางจะต้องทำเช่นนั้นกัน นางไม่สนใจจะแต่งงานเพื่อวัตถุประสงค์พรรค์นั้น

คนที่นางโปรดปรานที่สุดคือเฉียวเทียนช่าง นางเป็นเพียงสาวชาวบ้านในขณะที่เขาเป็นแม่ทัพมียศขุนนาง แต่นอกจากเขาจะไม่หันหลังให้นาง เขายังพะเน้าพะนอเอาอกเอาใจนางไปเสียทุกทาง นางรักความรู้สึกเหล่านั้นที่เขามอบให้

ผู้คนรอบข้างได้ยินสิ่งที่ทั้งสองคุยกันแล้วรู้สึกอึดอัดใจ พวกเขาต่างเห็นความรู้สึกคลุมเครือผ่านทางสีหน้าพวกเขา

เป็นไปได้หรือไม่ว่าทั้งสองเคยมีสัมพันธ์กันมาก่อน แต่หลิงหลัวในตอนนั้นดูถูกหญิงนางนี้แล้วเลือกพระชายาแห่งจวนตระกูลเซียวในท้ายที่สุด

แต่บัดนี้หญิงกำพร้าได้กลายเป็นนายตัวจริงแต่เพียงผู้เดียวแห่งทงเป่าไจ

“เหยาเหยา อย่าโกรธข้าเลย”

“ซื่อจื่อรายนี้ตาสว่างจนได้ เข้าใจผิดเห็นตาปลาเป็นไข่มุก แล้วยังมองพลาดเห็นไข่มุกเป็นตาปลา ดูท่าคนของเมืองเซียวก็เพียงแค่นี้” เฟิงซั่วมองหลิงหลัวด้วยรอยยิ้มบาง มุมปากยกยิ้มเยาะเย้ย

“เจ้าลองพูดอีกครั้งสิ”

ผู้คนพูดคุยเรื่องนี้กันออกรส เดิมงานเลี้ยงเทศกาลไหว้พระจันทร์จัดขึ้นเพื่อบุตรสาวจากแต่ละตระกูลที่จะต้องถูกคัดเลือกเข้าวัง แต่เมื่อตัวตนของหนิงเมิ่งเหยาเป็นที่กระจ่าง ทุกคนต่างก็ย้ายความสนใจไปที่นางจนลืมงานเลี้ยงและจุดประสงค์ของการจัดงานไปแล้ว

เหมยรั่วหลันเดินมาหาหนิงเมิ่งเหยาและเฉียวเทียนช่าง นางมองชายหนุ่ม “เจ้าทำได้ดี เฉียวเทียนช่าง พวกเราพอใจกับเจ้ามาก”

เฉียวเทียนช่างเลิกคิ้ว ใบหน้าเขาเปื้อนยิ้ม “พี่หญิง พี่เขย”

“หลิงหลัว เจ้าน่าจะรู้ไว้ว่าเราอยากล้างจวนตระกูลหลิงเจ้าด้วยเลือด แต่อนิจจา เสี่ยวเหยาไม่เห็นด้วย เพราะนางบอกว่านางไม่เกี่ยวข้องอะไรกับเจ้าแล้ว” เหมยรั่วหลันมองหลิงหลัว จากนั้นก็พูดต่อ “เจ้าว่าเสี่ยวเหยาไม่เคยบอกเจ้าเรื่องตัวตนของนาง แต่เจ้าเองจริงใจกับนางเพียงใดเชียว”

หลิงหลัวเม้มปาก ดวงตาเขาอัดแน่นไปด้วยความเสียใจ และมีประกายลุกโชนแผดเผาอยู่ในนั้น

เซียวจื่อเซวียนรู้สึกเย็นวาบเมื่อมองหนิงเมิ่งเหยา ไม่น่าแปลกใจเลยที่ทุกครั้งที่นางส่งคนไปลอบสังหารหญิงสาวนางนี้ พวกนักฆ่าเป็นต้องโดนขัดขวางก่อนจะเจอตัวนาง แล้วก็พากันล้มเหลวหมด

ตอนนนี้นางมีตัวตนที่แท้จริงระดับนั้น…สายตาของนางเลื่อนไปมองหลิงหลัวอย่างเงียบงัน มีรอยยิ้มเย้ยหยันปรากฏบนหน้าเซียวจื่อเซวียน

เขายังไม่ยอมปล่อยนางไป