ตอนที่ 620 ยากจะระงับจิตเข่นฆ่า

ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods

ในวัดอันซอมซ่อ พุทธเจ้าท้าวสักกะเดินไปรอบๆ ด้วยเท้าเปล่า เขาไม่ได้รีบร้อนที่จะไปตามหาพุทธเจ้าพรหม

“ศิษย์น้อง เจ้ากำลังพยายามจะทำอะไร” เสียงหนึ่งดังมาจากข้างหลังเขา

พุทธเจ้าท้าวสักกะหันกลับไปและเห็นหลวงจีนภารโรงที่กำลังใช้ไม้กวาดกวาดเช็ดรอยเท้าของเขา พุทธเจ้าท้าวสักกะกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ตอนข้าเดินไม่มีฝุ่นติดเท้ามา เหมือนกับที่เส้นทางของข้าไม่มีธุลีมลทินทิ้งเอาไว้ ในเมื่อไม่มีรอยเท้าหลงเหลืออยู่ ทำไมศิษย์พี่ถึงต้องกวาดด้วยล่ะ”

หลวงจีนภารโรงกล่าว “ร่างของเจ้าไม่ทิ้งรอยเท้าเอาไว้ แต่หัวใจเจ้าทิ้งร่องรอยเอาไว้ข้างหลัง ข้าปัดกวาดฝุ่นที่ปลิวออกมาจากหัวใจเจ้า”

พุทธเจ้าท้าวสักกะกล่าว “ท่านบอกว่าหัวใจของข้าสกปรกงั้นหรือ นี่มันด่าทอกันชัดๆ ข้าสู้ท่านไม่ได้ งั้นข้าจะไม่ต่อปากต่อคำด้วยหรอก รีบๆ ถ่ายทอดวิชาฝึกปรือของท่านให้ข้าเร็วเข้า พอข้าเรียนเสร็จแล้วจะได้รีบไป ช่วยให้ข้าไม่ต้องอยู่ให้ท่านทนรำคาญต่ออย่างไรล่ะ”

เสียงของไม้กวาดกวาดพื้นดังมา และพุทธเจ้าท้าวสักกะก็มองไปยังที่มาของเสียง หลวงจีนภารโรงอีกคนหนึ่งเข้ามาจากประตูทิศตะวันตก กล่าวไปพลางกวาดพื้นไป “เจ้าอยากได้วิชาฝึกปรือของข้ามาโดยตลอด แต่เจ้ามองไม่เห็นเหตุผลที่ข้าไม่ยอมสอนให้เจ้าหรอกหรือ ศิษย์น้อง ข้าไม่ได้สอนมันให้กับเจ้า แต่เจ้าก็ยังบรรลุเป็นพุทธเจ้าท้าวสักกะในวันนี้ได้ พุทธเกษตรของเจ้าด้อยกว่าข้าเพียงนิดเดียวเท่านั้น และวิชาฝึกปรือของเจ้าก็ไปถึงระดับตำหนักชิดฟ้า หากว่าข้าสอนให้แก่เจ้า เจ้าก็คงไม่มีความสำเร็จดังที่เจ้ามีในบัดนี้”

พุทธเจ้าท้าวสักกะจ้องไปที่หลวงจีนภารโรงอันจู่ๆ ก็ปรากฏตัวขึ้นมา และกล่าว “ตอนนี้ข้าไม่อาจขึ้นไปอีกเพื่อฝึกปรือถึงขั้นบัลลังก์จักรพรรดิ นั่นจึงทำให้ข้ามาที่นี่เพื่อขอวิชาฝึกปรือบัลลังก์จักรพรรดิของท่านเพื่อใช้อ้างอิง ท่านบอกว่าท่านจะสอนมันให้แก่ใครก็ตามที่เข้ามาข้างใน ข้าก็เลยเข้ามา สอนให้ข้าเถอะ แล้วข้าจะไม่รบกวนความสงบของท่านอีกต่อไป”

เสียงไม้กวาดดังมาจากข้างหลังอีกเสียง และพุทธเจ้าท้าวสักกะก็หันกลับไปอีกครั้ง เขาเห็นหลวงจีนภารโรงอีกคน และตอนนี้ก็มีถึงสามคนในลานวัด

เนตรธรรมะของเขานั้นไร้เทียมทาน เมื่อเขามองไปยังหลวงจีนภารโรงทั้งสาม หลวงจีนพวกนี้ถึงกับดูแตกต่างกัน และทุกๆ คนก็เป็นพุทธเจ้าพรหม พวกเขาทั้งหมดเป็นพุทธเจ้าพรหมที่แท้จริง!

รูปลักษณ์ของพุทธเจ้าพรหมเหล่านี้ดูไม่เหมือนกับเทพยดา

เขานั้นอยู่ขั้นต่ำกว่าพุทธเจ้าพรหมเพียงหนึ่งขั้น แต่กระนั้นเขาก็ไม่อาจเข้าใจเขตขั้นของพุทธเจ้าพรหมได้

หนึ่งขั้นนั้นเหมือนกับร่องเหวสวรรค์ พุทธเจ้าพรหมนั้นลึกล้ำสุดจะหยั่ง จนตัวเขาเหมือนกับแค่บ่อน้ำตื้นๆ

หลวงจีนภารโรงผู้นั้นก้าวเข้ามาพลางกวาดพื้นไปด้วย เขาไม่ลำบากเงยหน้าขึ้นมา “มีไม่กี่คนที่เหนือกว่าเจ้าไปได้ในพุทธเกษตร ข้าไม่อาจหาคนที่สองได้ เจ้าน่าจะมองออกว่าเด็กแห่งตระกูลฉินผู้นี้มีบางอย่างที่แปลกประหลาดอยู่ใต้ดวงตาดวงนั้น ข้าเคยพบกับเด็กแห่งตระกูลฉินนี้ในระหว่างความฝันของข้ามาก่อน เขานั้นกำลังกลืนกินภูตผีมากมายแห่งแดนใต้พิภพ และเมื่อข้ามองไปที่เขา เขาก็ถึงกับอยากจะจับข้ามากินด้วย เขานั้นเป็นตัวตนที่ชั่วร้ายและดุดันที่สุดในโลกนี้ ตอนที่ภูติบดีปิดผนึกเขา ข้าก็อยู่แถวๆ นั้นด้วย ข้าเห็นเขาค่อยๆ เติบโตขึ้นมาจากมนุษย์ธรรมดาที่ถูกภูติบดีปิดผนึกเอาไว้ ก่อนจะเป็นประจักษ์พยานต่อการที่เขาได้แปรเปลี่ยนจากกายธรรมดาเป็นกายาจ้าวแดนดิน บัดนี้เมื่อเจ้าได้ปลดใบหลิวทองคำของเขาออกมา เจ้าคงจะได้ก่อการฆ่าล้างนองเลือดขึ้นมาเสียแล้ว”

พุทธเจ้าท้าวสักกะไม่ต้องการฟังเขาพูดอีกต่อไป เขาเพียงแต่เดินไปข้างหน้าพลางโคลงหัว “ท่านน่าจะรู้ ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา สภาสวรรค์ได้ฝังผู้คนของพวกเขาไว้ในพุทธเกษตรมากขึ้นทุกทีๆ ในอดีต สภาสวรรค์ได้ส่งคนที่บรรลุเป็นพุทธเจ้ามา และพวกเขาเหล่านั้นยังไว้หน้าท่านไม่มากก็น้อย แต่บัดนี้สภาสวรรค์ถึงกับส่งผู้เปี่ยมพรสวรรค์เยาว์มาอันมิได้ฝึกบำเพ็ญธรรมเลยด้วยซ้ำ พวกเขาเพียงแต่ฝึกวิชาเทวะที่พวกเขาพอใจอยากจะฝึก พุทธเกษตรนี้จะตายลงไปอย่างแน่นอน! พวกเขาจะทำลายล้างพุทธเจ้าทั้งหลายของพวกเราและแย่งชิงรังนอนนี้ไปเสีย ในอนาคต สภาสวรรค์จะล้างพุทธเกษตรด้วยเลือด และก็จะไม่มีพุทธเจ้าในพุทธเกษตรอีกต่อไป! ท่านเอาแต่รอคอยและไม่ทำอะไรสักอย่าง แต่ข้าไม่ต้องการให้มรรคาสิ้นสูญ”

หลังจากเดินไปอีกไม่กี่ก้าว หลวงจีนภารโรงอีกคนก็รอเขาอยู่แล้ว พุทธเจ้าท้าวสักกะเมินเขาและเดินผ่านไป “การที่เด็กตระกูลฉินนี้เข้ามาในพุทธเกษตรเป็นโอกาสอันยิ่งใหญ่ พวกเราสามารถหยิบยิมพลังอำนาจของเขาเพื่อกำจัดหูตาและชนรุ่นเยาว์ทั้งหมดที่สภาสวรรค์ฝังเอาไว้ในรวดเดียว! ท่านมีปัญญาญาณอันยิ่งใหญ่ ดังนั้นท่านย่อมรู้ในสิ่งที่ข้ากำลังคิด”

เขาเดินไปได้ไม่กี่ก้าว ก็มีหลวงจีนภารโรงปรากฏขึ้นมาอีกคน ในเพียงหนึ่งประโยคเขาก็ได้เดินผ่านหลวงจีนภารโรงที่กำลังกวาดพื้นอยู่เป็นสิบๆ คน

ตรงหน้าเขา หลวงจีนภารโรงคนหนึ่งที่ฝั่งซ้ายของเส้นทางเงยหน้าขึ้นมา และใช้ไม้กวาดยันตัวเอาไว้ “เจ้ายืมมือของเด็กตระกูลฉินเพื่อกำจัดผู้คนที่สภาสวรรค์ฝังเอาไว้นั้นนับว่าอัศจรรย์ แต่ทว่ามันก็จะนำความเปลี่ยนแปลงมากมายมายังพุทธเกษตร หากว่าสภาสวรรค์ต้องการคำอธิบาย พวกเขาก็จะต้องสืบสาวราวเรื่องไปทางเจ้า เมื่อครู่นี้ เด็กตระกูลฉินบอกว่าจะละเลงขี้ไว้บนหัวโล้นๆ ของเจ้า แต่เจ้าอาจจะรับขี้ก้อนนี้เอาไว้ไม่ไหว เจ้ายังลืมอดีตไม่ได้อีกหรือ”

“หากว่าข้าลืมเลือนอดีต อดีตมันจะหายไปอย่างนั้นหรือ”

พุทธเจ้าท้าวสักกะเดินต่อไปข้างหน้าพลางหัวเราะในคอ “เขตขั้นของท่านสูงจนเกินไป ท่านลืมเลือนอดีตและคิดว่ามันถูกเสกสรรขึ้นมา แต่ข้าจดจำมันได้อย่างชัดเจน ไม่ต้องห่วง ข้าจะไม่ลากพุทธเกษตรเข้ามาพัวพัน ข้าจะเรียนวิชาฝึกปรือของท่าน และหลังจากขี้มาละเลงบนหัวข้า ข้าก็จะจากไป”

หลวงจีนภารโรงอีกคนที่อยู่ฝั่งขวาของถนนจึงเงยหน้าขึ้นมาแล้วถาม “แล้วบุตรแห่งฉินล่ะ? ข้าท่องเที่ยวไปทั่วในความฝันของข้า และเฝ้ามองเขาเติบโต ข้ารู้ว่าเขาพากเพียรอุตสาหะมากแค่ไหนกว่าจะฝ่าทลายผนึกของภูติบดีออกมาได้ ตั้งแต่ยังไม่อาจฝึกวิทยายุทธจนมาถึงขั้นนี้ กระนั้นเจ้าก็ผลักไสให้เขาขึ้นไปบนเวที เจ้าจะนำอันตรายมากมายมาสู่เขา!”

“ศิษย์พี่ ข้าเองก็ชอบขึ้นเวที แต่ไม่มีใครผลักข้าออกไปข้างหน้า!“

พุทธเจ้าท้าวสักกะถามเขา “ถ้าอย่างนั้น ท่านมีแผนที่ดีกว่านี้ไหมที่จะสืบทอดรักษาลัทธิพุทธต่อไป”

ตรงหน้าเขา หลวงจีนภารโรงอีกคนเงยหน้าขึ้น “ไม่มี”

ถนนตรงหน้าเป็นเส้นตรง ยาวไปไม่มีที่สิ้นสุด ทั้งสองข้างถนนคือหลวงจีนที่ถือไม้กวาด ยืนเรียงรายสุดลูกหูลูกตา!

ใบหน้าของหลวงจีนภารโรงทั้งหมดล้วนแตกต่างกัน ไม่มีใบหน้าไหนซ้ำกันเลยสักนิด!

พุทธเจ้าท้าวสักกะเดินไปข้างหน้าด้วยสีหน้าไร้อารมณ์และกล่าว “ไม่ว่าท่านจะอยากต่อสู้หรือไม่ คนอื่นๆ นั้นก็หมายจะขจัดท่านไปอยู่ดี ไม่เพียงแต่พวกเขาคิดจะกำจัดลูกศิษย์ของท่าน ความสำเร็จของท่าน ชีวิตของท่าน และขนบสืบทอดของท่าน พวกเขายังจะเหยียบท่านเอาไว้ใต้เท้า ท่านจะไม่มีวันย้อนกลับมาได้ ถ้าอย่างนั้น ทำไมท่านถึงไม่สู้ล่ะ ศิษย์พี่ ท่านสามารถอยู่ที่นี่ ในความฝันอันยิ่งใหญ่แห่งนี้ แต่ข้าไม่อาจ! ท่านจะถ่ายทอดวิชาให้ข้าหรือไม่ให้กันแน่?”

เสียงของเขากึกก้องกัมปนาท แต่เสียงนั้นไม่ลอยออกไปนอกวัด มันเพียงแต่ก้องสะท้อนไปมารอบๆ

เสียงถอนหายใจเบาๆ ดังมา และถนนกับหลวงจีนภารโรงทั้งหลายก็พร่าเลือนและหายวับไปตามๆ กัน

“ข้าจะถ่ายทอด”

ท้าวสักกะเผยยิ้ม

“หลังจากข้าถ่ายทอดมันแล้ว ก็คิดหาวิธีออกไปจากพุทธเกษตร เพื่อจะได้ไม่ต้องมาตายอยู่ที่นี่”

ท้าวสักกะเคร่งขรึม เขาประนมมือเข้าด้วยกันและโค้งคารวะ “ขอบคุณท่านมาก ศิษย์พี่”

เสียงของพุทธเจ้าพรหมดังมา “ส่วนบุตรแห่งฉิน เจ้าจะต้องชดเชยให้แก่เขา เขาได้แบกรับอันตรายไม่น้อยให้แก่เจ้า และนอกจากนั้น ก็รับขี้มาใส่หัวเจ้าให้หมดด้วย”

“ข้าได้รับการสั่งสอนจากท่านแล้ว”

พุทธเจ้าท้าวสักกะลังเลอยู่ครู่หนึ่ง “ข้าบังอาจถามศิษย์พี่สักหน่อยได้หรือไม่ ขี้ก้อนนี้ใหญ่แค่ไหน”

“ใหญ่กว่าที่เจ้าจะคิดฝัน”

ข้างนอกวัดซอมซ่อ ดวงตาที่สามของฉินมู่เปิดครึ่งไม่เปิดครึ่ง ด้วยดวงตาของเขา สมบัติเทวะมรรคาเทพและสมบัติเทวะมรรคามารก็ประสานสอดคล้องเข้าด้วยกันอย่างประหลาด และพวกมันก็ค่อยๆ หลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกัน

ในอดีตนั้น เขาใช้สมบัติเทวะเพียงฝั่งเดียว หากว่าเขาใช้สมบัติเทวะมรรคาเทพ เขาก็จะต้องปิดสมบัติเทวะมรรคามาร และเป็นแบบเดียวกันในทางกลับกัน หากว่าเขาพยายามจะใช้สมบัติเทวะของทั้งสองมรรคาพร้อมๆ กัน สันดานเทพกับสันดานมารก็จะปะทะกัน

มีปราณชีวิตอยู่หลายชนิด พลังเทพชีวา พลังมารชีวา พลังปีศาจชีวา พลังมังกรชีวา พลังหงส์เพลิงชีวา พลังพุทธชีวา และพลังเต๋าชีวา และเมื่อจำแนกลงไปอีก มันก็ยิ่งมีชนิดที่มากขึ้นไป ยกตัวอย่างเช่น พวกมันแยกมหากายาวิญญาณทั้งสี่แห่งสันตินิรันดร์ออกเป็นสี่ประเภท แต่ละประเภทก็มีเบ็ดเตล็ดที่แตกต่างกันไปอย่างยิบย่อย

พลังเทพชีวาและพลังมารชีวาเป็นประเภทที่ขัดแย้งกัน และพวกมันไม่อาจดำรงอยู่ร่วมกันได้ เมื่อปราณชีวิตที่มีคุณสมบัติเทพเข้าปะทะกับปราณชีวิตที่มีคุณสมบัติมาร พวกมันก็จะลบล้างซึ่งกันและกัน

และบัดนี้ เมื่อฉินมู่ลืมตาขึ้นมา เขาก็สามารถหลอมรวมเทพและมารเป็นหนึ่งเดียว

ที่นอกวัด พุทธเจ้าพึมพำกับตนเอง ทันใดนั้น พุทธเจ้ายามาเทวราชก็กล่าวด้วยรอยยิ้ม “พุทธบุตรเจี้ยนคง พวกเราจะไม่ต่อสู้เพื่อเรื่องนี้อีกต่อไป”

พุทธบุตรเจี้ยนคงตกตะลึง และเขาก็โค้งสักการะ “ข้าน้อมรับบัญชาพุทธองค์” หลังจากกล่าวเช่นนั้น เขาก็ถอยไป

พุทธเจ้าสักรานาคราชก็เรียกศิษย์ของเขากลับมา “วันนี้อย่าต่อสู้”

พุทธเจ้าแห่งสวรรค์อื่นๆ ก็เรียกตัวศิษย์ของพวกเขากลับไป และแสดงเจตจำนงที่จะไม่ต่อสู้ “ธาตุทั้งสี่คือความว่างเปล่า อหิงสาก็คือหิงสา ปล่อยเขาไปและให้คนอื่นสู้ไปเถอะ”

แม้ว่าพุทธบุตรมากมายจะฉงนฉงาย แต่พวกเขาก็ยังรับฟังคำสั่ง และกลับไปยังข้างกายพุทธเจ้าเหล่านั้น

พุทธเจ้าพวกนี้เรียกเพียงแค่พุทธบุตรแห่งพุทธเกษตรกลับมา ส่วนพุทธบุตรที่เหลือล้วนแต่เป็นผู้เปี่ยมความสามารถเยาว์ที่สภาสวรรค์ส่งเข้ามาแสวงหาความรู้ในพุทธเกษตร และยังมีศิษย์ที่นำเข้ามาโดยพวกพุทธเจ้าแห่งสภาสวรรค์ และพวกเขาก็ล้วนกระเหี้ยนกระหือรือที่จะลงมือ

ธรรมราชโม่หลุนกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ศิษย์พี่ทั้งหลายช่างมีใจเอื้อเฟื้อเมตตา แต่นี่คือคัมภีร์เที่ยงแท้ระดับบัลลังก์จักรพรรดิของพุทธเจ้าพรหมเชียวนะ พวกเราจะไม่ไปคว้ามาได้อย่างไร หากว่าพวกเราไม่แย่งชิง นี่จะไม่กลายเป็นการปล่อยสมบัติไปให้คนนอกหรอกหรือ”

พุทธเจ้าคนอื่นๆ กล่าวด้วยรอยยิ้ม “เป็นเช่นนั้นจริงๆ”

พุทธเจ้าอีกจำนวนหนึ่งก็ผสมโรงกล่าว “ศิษย์พี่ทั้งสองกล่าวถูกต้อง พวกเราไม่อาจอ่อนข้อให้กับคนนอกได้โดยง่ายขนาดนั้น”

ธรรมราชโม่หลุนหัวเราะในคอ “รัชทายาทเยว่กวง อาการบาดเจ็บของเจ้าหายดีหรือยัง”

เขาได้ใช้พลังธรรมะเพื่อรักษารัชทายาทเยว่กวง ดังนั้นอาการบาดเจ็บของเขาจึงเยียวยาไปไม่มากก็น้อย เขามีสายตาอันร้อนแรง และจ้องมองไปยังฉินมู่ด้วยจิตวิญญาณอันลุกโชน “ฆราวาสฉินลอบโจมตีข้า และศิษย์ก็อยากที่จะแข่งขันกับเขาอีกครั้งจริงๆ!”

ธรรมราชโม่หลุนกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ผู้คนเขากล่าวว่าจะไม่รับประกันชีวิตของเจ้าอีกต่อไป หากว่าเจ้าเพียงแค่คิดเรื่องแพ้ชนะ แทนที่จะเป็นความเป็นตาย ข้าก็เกรงว่าเจ้าจะเสียเปรียบอีกครั้ง”

รัชทายาทเยว่กวงแตกตื่น

ธรรมราชโม่หลุนมองไปยังพุทธบุตรคนอื่นๆ “พวกเจ้าทั้งหมดล้วนแต่เป็นผู้สืบทอดของพุทธเจ้าที่นี่ เจ้าน่าจะรู้จักความเป็นตายมิใช่แพ้ชนะ พวกเจ้าไม่จำเป็นต้องใส่ใจกับข้อขัดแย้งด้านธรรมะ รัชทายาทเยว่กวง รัชทายาทโม่จี่ องค์หญิงโพ่หลง รัชทายาทฝูอวิ๋น พวกเจ้าเข้าใจหรือไม่”

ผู้คนที่เขาออกนามนั้นคือรัชทายาทและองค์หญิงทั้งหลายแห่งพุทธประเทศที่สภาสวรรค์ได้ก่อตั้งขึ้นมาในพุทธเกษตร มีพุทธประเทศมากมายอยู่ในพุทธเกษตร และพวกเขาส่วนใหญ่ก็เป็นเครือข่ายอำนาจของสภาสวรรค์ไปแล้ว

ในขณะเดียวกันนั้น รัชทายาทและองค์หญิงหลายคนดังกล่าว ก็เป็นผู้ที่โดดเด่นเหนือธรรมดาท่ามกลางชนรุ่นเยาว์ ไม่เพียงแต่พวกเขาติดตามฝึกวิทยายุทธท่ามกลางเหล่าพุทธเจ้า พวกเขายังเข้าไปยังสภาสวรรค์เป็นระยะๆ เพื่อฝึกปรือสุดยอดวิชาที่ลึกล้ำกว่านั้น

ทุกคนผงกศีรษะรับคำ รัชทายาทยื่อกวงกล่าวด้วยรอยยิ้ม “กำลังฝีมือของรัชทายาทเยว่กวงไม่ได้อ่อนด้อยไปกว่าข้า เขาจะต้องประสบความสำเร็จในกระบวนท่าเดียวเป็นแน่ ดังนั้นข้าจะรออยู่เฉยๆ ที่นี่ รอดูศีรษะกลิ้งหล่นจากบ่า”

รัชทายาทเยว่กวงเดินไปข้างหน้า และดวงจันทร์ปรากฏอยู่หลังศีรษะของเขา นั่นคือปราณกระบี่และแสงกระบี่ของเขา ไม่ว่ารัศมีจันทร์จะฉายไปที่ใด แสงจันทร์และแสงกระบี่ก็จะเกลื่อนเต็มฟ้า มันทรงพลังอย่างแท้จริง!

อย่าว่าแต่แดนต่ำใต้ ต่อให้ในสวรรค์ทั้งหลายแห่งพุทธเกษตร ก็ยากที่จะพบเห็นเพลงกระบี่และวิชาฝึกปรืออันเพริศแพร้วพิสดารขนาดนี้!

รัชทายาทเยว่กวงมองไปยังฉินมู่ด้วยประกายตาวูบวาบ “เจ้าลอบกัดข้าและเกือบจะคร่าชีวิตข้าไปได้ บัดนี้ข้าเตรียมตัวพร้อมแล้ว ข้าจะปราบปีศาจอย่างเจ้า!”

ข้างหลังศีรษะของเขา จันทร์กระจ่างนั้นหมุนไปราวกงล้อ และแสงกระบี่ก็พุ่งไปยังฉินมู่ราวกับเสาแสง ในเวลาเดียวกันนั้น รัศมีจันทร์ก็สาดส่องไปทุกทิศทุกทาง และพวกมันทั้งหมดก็คือแสงกระบี่ พวกมันถึงกับเปลี่ยนทิศทางในอากาศ เห็นได้ชัดว่าเขาใช้แสงกระบี่เหล่านั้นเพื่อปิดทางถอยของฉินมู่

เพลงกระบี่ของเขากว้างไกลไร้ประมาณ และอาจจะกล่าวได้ว่าเป็นทักษะอันพิเศษเฉพาะ ด้วยแสงจันทร์กระจ่างเวหนและแสงกระบี่ร่ายรำอยู่ในเมฆา มันก็ดูเพริศแพร้วและเปี่ยมความนัยยิ่งกว่าเพลงกระบี่อาทิตย์อัสดงของอวี๋เยียนชูอวี่และอวี๋เยียนชูอวิ๋นยิ่งนัก!

ฉินมู่เปิดดวงตาทั้งสามดวงของเขา และยื่นนิ้วออกไป ไจกระบี่สั่นเทิ้มส่งเสียงหึ่ง และเสากระบี่หนาก็พุ่งไปข้างหน้า มันคือท่วงท่ากระบี่เกลียวอันบริสุทธิ์ และกระบี่ทั้งแปดพันเล่มก็พุ่งไปพร้อมๆ กันโดยหมุนอ้อมเกลียวรอบกันและกัน แม้ว่าพวกมันจะใช้ท่วงท่าเดียว แต่รูปร่างของกระบี่แต่ละเล่มก็ไม่เหมือนกัน!

เสากระบี่หนาสามคืบและยาวยี่สิบห้าวา การยิงพุ่งไปของมันนั้นทำให้แสงจันทร์ที่เกลื่อนฟ้าแตกทำลาย!

“ตอนที่ข้าไม่ได้ใช้กำลังเต็มที่เพื่อซัดเจ้าให้หมอบ เจ้าคิดจริงๆ หรือว่าข้าซัดเจ้าให้ตายไม่ได้”

ฉินมู่สืบเท้าไปข้างหน้าหนึ่งก้าว และวิชากายาจ้าวแดนดินสามอมตะก็ระเบิดออก แปดสุรเสียงมังกรบรรพกาลเปล่งเสียงผิดประหลาดแตกต่างกันแปดประเภท ด้วยนิ้วกระบี่ที่แทงออกไป เสากระบี่ก็แทงทะลุดวงจันทร์ข้างหลังศีรษะรัชทายาทเยว่กวง กระบี่แปดพันเล่มหมุนปั่น และดวงจันทร์อำไพก็แตกละเอียดเป็นชิ้นๆ

เสากระบี่กดลงมา บดขยี้ร่างของรัชทายาทเยว่กวงให้เป็นผุยผง!

หลวงจีนหมิงซิ่นกระโดดโหยงด้วยความตกใจ และหดคอของเขา จ้าวลัทธิฉินสังหารผู้คนอีกแล้ว…นี่แย่แล้ว ข้าไม่รู้เลยจริงๆ ว่าทำไมยูไลถึงอยากจะส่งเขามาด้วย ข้าไม่อาจเจรจาคลี่คลายสถานการณ์แบบนี้

ฉินมู่มองไปรอบๆ และสายตาเขากวาดผ่านพุทธบุตรหลายร้อยคน เขากล่าวอย่างไม่ยินดียินร้าย “เมื่อจิตเข่นฆ่าของข้าถูกปลุกให้ตื่น ข้าก็ยากที่จะควบคุมตนเอง ความคิดชั่วร้ายในหัวใจของข้าจะถั่งโถมออกมา และข้าก็จะมีแต่หัวใจอันฆ่าล้างสังหาร สหายเต๋าทั้งหลาย พวกเจ้าสามารถเข้ามาพร้อมๆ กัน เพื่อสยบมารในหัวใจของข้า เพื่อสำเร็จบุญและกุศลของเจ้า!”