บทที่ 155: การปกป้อง

ฉันนี่แหละจ้าวนรก [我要做阎罗]

บทที่ 155: การปกป้อง

“คุณอย่าจริงจังเกินไปนัก” เถาหรานย้ำอีกครั้ง “เรื่องคะแนนที่ประเมินความสามารถของเหล่าอาจารย์เป็นเพียงการประเมินแบบคร่าว ๆ เท่านั้น ผมจำได้ว่าครั้งแรกที่ผมเข้ามาในหน่วยสอบสวนพิเศษ การประเมินผลครึ่งปีอยู่แค่ระดับ C เท่านั้นเอง”

ฉินเย่ไม่ได้เอ่ยอะไรอีก เขาเปิดซองเอกสารออกก็พบว่าด้านในมีกระดาษมากกว่าสิบแผ่น เมื่อนับอย่างละเอียดฉินเย่ก็พบว่ามันมีกระดาษอยู่ภายในถึง 15 แผ่น

โดยเอกสารทั้งหมดถูกแบ่งออกเป็น 5 ชุด ชุดละสามแผ่นสำหรับอาจารย์ที่ได้ถูกรับเลือกให้บรรยายในวันพรุ่งนี้จากทั้งห้าสาขา ซึ่งได้แก่สาขาช่างฝีมือแห่งโลกใต้พิภพ สาขาวิทยาศาสตร์และการทำวิจัย สาขาการผลิต สาขาทฤษฎี และสาขาการต่อสู้

เขาอ่านเอกสารทั้งหมด คอลัมน์แรกแสดงถึงการประเมินทางจิตวิทยา

คอลัมน์ที่สอง: ประสบการณ์การต่อสู้ที่ผ่านมา

คอลัมน์ที่สาม: ประสบการณ์การสอน

คอลัมน์ที่สี่: การประเมินบุคลิกภาพ

สายตาของเขาไล่อ่านเนื้อหาทั้งหมดอย่างรวดเร็ว อาจารย์ฮวง อาจารย์ไป๋ อาจารย์เมิ่ง และอาจารย์หลี่ต่างก็มีอายุประมาณ 60 ปี และทั้งหมดก็ได้รับการประเมินเบื้องต้นว่าอยู่ในระดับ A แต่เมื่อเขาพลิกไปที่ส่วนท้ายสุดของเอกสาร ตัวอักษร ‘C’ ก็ดึงดูสายตาของเขาอย่างรวดเร็ว

กระดาษสามแผ่นสุดท้ายก็คือผลการประเมินเบื้องต้นของเขา

“C เหรอ?” เด็กหนุ่มขมวดคิ้วยุ่งและเอ่ยออกมาอย่างมึนงง แต่หลังจากที่อ่านเอกสารทวนอีกครั้งอย่างไม่อยากเชื่อสายตา และมันเป็นชื่อของเขาจริง ๆ

โจวเซียนหลงและเถาหรานสังเกตสีหน้าของฉินเย่อย่างใกล้ชิด น่าเสียดายด้วยประสบการณ์ชีวิตที่โชกโชนของฉินเย่ เป็นไปไม่ได้เลยที่ทั้งคู่จะสามารถมองเห็นร่องรอยของความไม่พอใจในดวงตาฉินเย่ที่ถูกปกปิดอย่างมิดชิด ฉินเย่เพียงวางเอกสารลงบนโต๊ะนิ่ง ๆ และเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม “พวกเขาคิดว่าผลงานของผมยังไม่ดีพอหรือครับ?”

“ไม่ใช่แบบนั้น ไม่มีอาจารย์ที่อายุต่ำกว่า 30 ปีคนไหนในสำนักจะมีผลงานที่ยอดเยี่ยมเท่าคุณได้อีก”

“หรือว่าเป็นเพราะว่าพวกเขาคิดว่ารากฐานการฝึกตนของผมยังไม่แข็งแกร่งพอ?”

“ไม่ การที่ก้าวสู่ขั้นนักล่าวิญญาณได้โดยที่อายุเพียง 18 ปีนั้นไม่เคยมีมาก่อน”

ฉินเย่พยักหน้า ไม่แปลกใจเลย…ไม่แปลกใจเลยว่าเพราะเหตุใด สองคนนี้ถึงบอกให้เขาเตรียมใจสำหรับไอ้ข่าวบ้านี่

ตอนนี้เองเขาเข้าใจแล้วว่าทำไมตารางการบรรยายการสอนถึงยังไม่ถูกประกาศ รวมทั้งเรื่องที่นักเรียนก็ยังไม่รู้กำหนดการทั้งหมดด้วย ซึ่งทุกอย่างจะถูกประกาศเมื่อถึงเวลา 1 ทุ่มตรง

และตอนนี้ก็เป็นเวลา 16.30 น.

จนถึงตอนนี้ ตารางการสอนได้ถูกส่งให้กับอาจารย์ผู้สอนแต่ละท่านเท่านั้น และมันก็ยังเหลือเวลาอีกสองชั่วโมงครึ่งก่อนที่คนอื่น ๆ จะได้รับแจ้งเรื่องนี้อย่างเป็นทางการ

กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ…มันยังมีเวลาอีกเหลือเฟือสำหรับการหลบหนี ยกตัวอย่างเช่น…ในกรณีที่พวกเขาต้องการจะเลื่อนเวลาหรือวันสำหรับการบรรยายครั้งแรกออกไป

“ถ้าเช่นนั้นก็คงต้องขออภัยด้วย แต่ผมไม่สามารถยอมรับการประเมินนี้ได้จริง ๆ” เขาเก็บเอกสารทั้งหมดกลับไปและเอนหลังพิงพนักเก้าอี้อย่างเหนื่อยอ่อน “ผมมาคิดดูอีกที การประเมินเบื้องต้นของพวกเขาเกี่ยวข้องอะไรกับสำนักฝึกตนแห่งแรกกับพวกเราเหรอครับ? ทางสำนักจำเป็นจะต้องรอให้องค์กรอื่นอนุมัติก่อน ถึงจะรับรองอาจารย์ผู้สอนของตนเองด้วยหรือ? นี่มันไม่สมเหตุสมผลเลยสักนิด”

โจวเซียนหลงไม่ได้ตอบในทันที เขากลับไล่นิ้วไปตามขอบถ้วยชาอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตอบออกมาในที่สุด “ตอนแรกพวกเราเองก็คิดอย่างนั้น”

“แต่…” เถาหรานและโจวเซียนหลงมองหน้ากันอย่างรู้ความหมาย ก่อนที่เถาหรานจะเอ่ยต่อในนามของเขา “หัวหน้าสาขาโจวคือผู้ที่รับการประเมินพื้นฐานพวกนี้ในเวลานั้น ทันทีที่เขาอ่านเอกสารการประเมินทั้งหมด เขาก็ได้กล่าวตักเตือนพวกเขาไปแล้วรอบหนึ่ง แต่ถึงอย่างนั้นคำอธิบายที่ได้กลับมาก็ไม่ได้ไร้เหตุผลเสียทั้งหมด”

“เสี่ยวฉิน” รอยยิ้มบนใบหน้าของเขาหายไป และน้ำเสียงที่เอ่ยออกมานั้นก็จริงจังมากขึ้น “นักล่าวิญญาณที่อายุ 18 ปีนั้นอาจเป็นสิ่งที่ไม่เคยมีมาก่อน แต่มันก็เป็นเพราะเหตุนี้เช่นกันที่ทำให้พวกเราเข้าใจดีว่าคุณได้ผ่านอะไรมามากมายแค่ไหน”

“ถึงแม้ว่าพวกเราจะไม่รู้ว่าคุณเคยเจออะไรมา แต่ข้อเท็จจริงที่ว่าคุณสามารถก้าวสู้ขั้นนักล่าวิญญาณได้ทั้งที่เพิ่งอายุเพียงแค่ 18 ปี โดยไม่ขึ้นตรงต่อองค์กรใด ๆ เลย นั่นทำให้พวกเราสันนิษฐานว่าคุณต้องเคยมีประสบการณ์ไม่ดีมาก่อน การเติบโตขึ้นมาสภาพแวดล้อมแบบนั้น เป็นธรรมดาที่คุณอาจจะมีตัวตนด้านมืดหลบซ่อนตัวอยู่ และนั่นมันทำให้พวกเราไม่ค่อยไว้ใจคุณ”

“คุณอาจจะไม่ทราบเรื่องนี้ แต่ผู้ฝึกตนทุกคนล้วนต้องเคยผ่านการทดสอบทางด้านจิตใจมาก่อน เพราะภูตผีวิญญาณเหล่านั้นล้วนเป็นสิ่งชั่วร้าย และผู้ฝึกตนบางคนก็อาจจะถูกต้องให้จนมุมและต้องทนทรมานกับการบาดเจ็บทางจิตใจ แต่คุณนั้นแตกต่างออกไป สภาพแวดล้อมรอบตัวของคุณพิเศษกว่านั้น และความสำเร็จอันน่าทึ่งของคุณก็ทำให้คุณได้รับข้อยกเว้นในเรื่องนี้ไปได้”

“อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ทีมประเมินต้องการจะสื่อก็คือ คุณอาจจะมีความเข้าใจที่ลึกซึ้งเกี่ยวกับวิญญาณ แต่การสอนในห้องเรียนนั้นแตกต่างจากสิ่งที่คุณเคยทำมาอย่างสิ้นเชิง นอกจากนี้ คุณจะสามารถเข้ากับพวกนักเรียนได้หรือไม่? ผมรู้ว่าคุณมีประสบการณ์มากมาย แต่คุณจะสามารถนำพาเหล่านักเรียนให้ดำดิ่งจากจุดง่ายที่สุดไปยังจุดที่ยากที่สุดได้หรือเปล่า? ยิ่งไปกว่านั้น คุณไม่เคยมีประสบการณ์ในการสอนและประสบการณ์ในการทำงานในสำนักงานหรือเคยเป็นทหารเลยแม้แต่น้อย พวกเขาไม่ได้ตั้งใจที่จะดูถูกคุณหรอกนะ แต่นี่คือการประเมินโดยดูจากข้อมูลขั้นพื้นฐานที่พวกเขามีก็เท่านั้น ซึ่งที่จริงแล้วการประเมินของคุณคือ A+ ด้วยซ้ำไป”

ฉินเย่พยักหน้า แน่นอนว่าเขาเข้าใจความกังวลของอีกฝ่าย สิ่งเดียวที่เขามีในตอนนี้ก็คือประสบการณ์การต่อสู้ที่ยอดเยี่ยม นอกเหนือจากเรื่องนี้แล้ว เขาไม่สามารถเทียบกับอาจารย์ท่านอื่น ๆ ได้จริง ๆ

อาจารย์คนอื่น ๆ ทั้งหมดที่จะทำการบรรยายในวันพรุ่งนี้ต่างทำงานให้กับทางศูนย์วิจัย SRC หรือหน่วยสอบสวนพิเศษมาแล้วเป็นระยะเวลาหนึ่ง และระยะเวลาที่สั้นที่สุดของพวกเขาก็น่าจะประมาณสองถึงสามปี นอกจากนี้พวกเขายังมีประสบการณ์ในการทำงานกับทางหน่วยงานทางทหารและสำนักงานพลเรือนอีกด้วย นั่นคือเหตุผลที่พวกเขาถูกเลือกให้มาอยู่ในสำนักฝึกตนแห่งแรก ประวัติของพวกเขาทั้งหมดมีปรากฏอยู่ในเอกสารสำคัญของ ศูนย์วิจัย SRC และหน่วยสอบสวนพิเศษ แล้วฉินเย่ล่ะ?

ทุกอย่างว่างเปล่า

สิ่งเดียวที่เขามีคือผลลัพธ์จากค่ำคืนแห่งความโกลาหลในเมืองเป่าอัน

แต่ทว่า…

“นี่คือสาขาการต่อสู้” ฉินเย่เอ่ยอย่างเคร่งขรึมพร้อมกับชี้ไปที่ป้ายด้านนอกประตู “เราจะพูดออกมาได้อย่างไรหากไม่ใช่ด้วยหมัดของเรา?”

“หากพูดกันอย่างตรงไปตรงมา การประเมินของพวกเขามีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกับผมกัน? พวกเขาสามารถตัดสินโดยไม่ให้โอกาสผมได้ลงมือทำได้อย่างไร? ทฤษฎีจะได้รับการพิสูจน์ก็ต่อเมื่อมีการปฏิบัติเท่านั้น”

โจวเซียนหลงไม่เคยได้ยินฉินเย่พูดจาได้หลักแหลมเช่นนี้มาก่อน เขามองเด็กหนุ่มตรงหน้าด้วยแววตาที่เจือไปด้วยความประหลาดใจทันที ชายสูงวัยพยักหน้า “คุณพูดถูก”

“ที่นี่คือสำนักฝึกตนแห่งแรก”

“และเราก็ตอบรับแค่คำขอร้องจากสวรรค์เท่านั้น”

“ผู้ที่ก้าวออกจากที่นี่จะต้องกลายเป็นเสาหลักในโลกของการฝึกตน แม้แต่หน่วยสอบสวนพิเศษหรือศูนย์วิจัย SRC ก็ไม่สามารถยื่นมือเข้ามายุ่งในเรื่องนี้ได้ หากเราตัดสินใจว่าอาจารย์ผู้สอนคนไหนควรได้รับโอกาส อาจารย์ผู้นั้นก็จะได้รับโอกาส หรือหากเราตัดสินใจอีกแบบหนึ่ง อาจารย์ผู้นั้นก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากฝึกฝนทักษะของตัวเองต่อไป คำแนะนำของคนนอกเป็นเพียงการแสดงความคิดเห็นเท่านั้น มันไม่ได้แสดงถึงการตัดสินใจของเราเลยสักนิด”

ฉินเย่มึนงงเล็กน้อยกับสิ่งที่ได้ยิน “แล้วคุณล่ะครับ?”

เถาหรานแย้มยิ้มและเคาะนิ้วบนที่วางแขนของตัวเองขณะที่เอ่ยขึ้นว่า “อย่างที่ผมเคยพูดไปก่อนหน้านี้ คะแนนการสอนของเหล่าอาจารย์นั้นเชื่อมโยงกับคะแนนการสอนของศาสตราจารย์ ในขณะที่การประเมินประจำปีของเหล่าศาสตราจารย์เองก็เชื่อมโยงกับการจัดสรรทรัพยากรในแต่ละสาขาเช่นกัน พรุ่งนี้ผู้อำนวยการสวี่และพวกคนระดับอื่น ๆ ของสำนักจะมาที่นี่เพื่อสังเกตการณ์การบรรยายเปิดของสาขาการต่อสู้”

“แน่นอนว่าพวกผมสองคนจะยืนอยู่เคียงข้างตัวแทนอาจารย์สาขาการต่อสู้เอง” โจวเซียนหลงเอ่ยต่อจากเถาหราน “พวกเรายินดีที่จะให้โอกาสนี้แก่คุณ นี่คือการตัดสินใจเดิมของเราอยู่แล้ว ผมคิดว่าอายุของคุณจะเป็นประโยชน์ต่อตัวคุณเอง เพราะอย่างไรแล้ว มันก็ช่วยกระตุ้นความสนใจและแรงใจของเหล่านักเรียนในการฝึกฝน แต่ถึงอย่างนั้น…”

เขาจ้องลึกเข้าไปในดวงตาของฉินเย่ “อย่างน้อยคุณก็ช่วยบอกพวกเราได้ไหมว่าคุณมั่นใจมากน้อยแค่ไหน? หากคุณต้องการเวลาเตรียมตัว เราสามารถจัดให้อาจารย์คนอื่นเป็นผู้เริ่มบรรยายก่อนได้ คุณจะได้เข้าใจอะไรมากขึ้นหลังจากที่ฟังบรรยายไปแล้วสองหรือสามครั้ง”

เขายังคงเอ่ยต่ออย่างสื่อความหมาย “ผมจะไม่โกหกคุณ แต่สาขาการต่อสู้นั้นเป็นสาขาที่สำคัญที่สุดในสำนักฝึกตนแห่งแรก และเราก็ได้รับทรัพยากรและสิทธิประโยชน์มากที่สุดด้วยเช่นกัน อย่างไรก็ตาม…สิ่งนี้จะยังดำเนินต่อไปก็ต่อเมื่อเราทำให้พวกเขาเห็นว่าเราควรค่าพอที่จะได้รับทรัพยากรพวกนี้”

ฉินเย่เข้าใจในทันที

ที่ใดมีผู้คนรวมตัวกัน ที่นั่นย่อมมีการแข่งขันและการชิงดีชิงเด่นเป็นธรรมดา

ประเทศชาติจัดสรรทรัพยากรให้กับสำนักผู้ฝึกตนแห่งแรกมากแค่ไหนกันนะ?

เขาไม่แน่ใจนัก แต่ข้อเท็จจริงที่ว่าประเทศชาติยอมเปิดขุมสมบัติอันล้ำค่าของชาติได้แบบนี้ ย่อมหมายความว่าปริมาณการสนับสนุนที่จัดสรรให้นั้นก็มีไม่น้อยเช่นกัน! และทางสำนักก็ต้องจัดสรรทรัพยากรทั้งหมดให้สำหรับทั้งห้าสาขาอีกทีหนึ่งด้วย

ใครได้มาก? ใครได้น้อย?

หรือพวกเขาควรจะแบ่งมันเท่า ๆ กัน?

เมื่อดูจากความเจ้าเล่ห์ของจิ้งจอกเฒ่าสวี่อันกั๋วและหลี่เทาในตอนฝึกฝนพวกเขาที่เมืองไดซานแล้ว เกรงว่าพวกเขาจะต้องสร้างระบบที่กระตุ้นให้เกิดการแข่งขึ้นอย่างไม่ต้องสงสัย อยากได้ใช่ไหม? ก็ไปเอามาสิ!

ปฏิเสธไม่ได้ว่าพอมีการแข่งขัน มันก็จะยิ่งทำให้ทุกคนกระหายอยากเอาชนะคนอื่นขึ้นมา

ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ข้อเท็จจริงที่ว่าผู้อำนวยการสวี่และพวกระดับสูงของสำนักทั้งหมดจะเข้ามานั่งฟังการเปิดบรรยายของสาขาการต่อสู้ได้แสดงให้เห็นแล้วว่าสาขาการต่อสู้นั้นมีความสำคัญมากเพียงใด ดังนั้นมันจึงเป็นธรรมดาที่ทุกคนจะคาดหวังถึงการบรรยายที่ไร้ที่ติ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับฉินเย่ ผู้ที่ได้รับสิทธิพิเศษในการเข้าร่วมในสำนักผู้ฝึกตนแห่งแรกในฐานะของอาจารย์ผู้สอน

และนี่ก็เป็นการปกป้องรูปแบบหนึ่งเช่นกัน

ท้ายที่สุดแล้วมันก็เพื่อปกป้องภาพลักษณ์ของฉินเย่ นี่คือประเด็นหลักที่ทำให้โจวเซียนหลงและเถาหรานตัดสินใจที่จะวางแผนเรื่องตารางการสอนและเชิญฉินเย่มาเพื่อถามความคิดเห็น พวกเขาจำเป็นจะต้องรักษาภาพลักษณ์ของนักล่าวิญญาณที่อายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์ของฉินเย่เอาไว้ รวมถึงรักษาชื่อเสียงของเด็กหนุ่มในสำนักด้วย

เพราะอย่างไรแล้ว ที่นี่ก็เป็นสถาบันการศึกษาแห่งหนึ่ง

และในสถาบันการศึกษา สิ่งที่สำคัญที่สุดไม่ใช่ความสามารถในการกำจัดวิญญาณ แต่เป็นการถ่ายทอดองค์ความรู้ไปสู่เด็กรุ่นใหม่ที่จะเป็นกำลังสำคัญในอนาคตของมนุษยชาติ

“ขอบคุณครับ” ฉินเย่ตอบอย่างจริงใจแล้วแย้มยิ้ม “แต่นั่นไม่จำเป็น”

แววตาของโจวเซียนหลงและเถาหรานวูบไหวอย่างพร้อมเพรียงกัน

ฉินเย่ลุกขึ้นยืนและประสานหมัดและฝ่ามือเพื่อทำความเคารพพร้อมกับรอยยิ้มกว้างบนใบหน้า “ท่านผู้อาวุโสทั้งสองไม่ต้องเป็นกังวล การบรรยายเปิดของผม…จะต้องเป็นการเปิดหูเปิดตาของทุกคนอย่างแน่นอน”

นอกจากนี้ เขายังมีกำลังเสริมจากภายนอกอีกด้วย!

และกำลังเสริมที่เขาได้เตรียมการเอาไว้ก็ไม่ได้มีอำนาจน้อยไปกว่าพวกระดับสูงในสำนักของเราเลยแม้แต่น้อย…

โจวเซียนหลงและเถาหรานถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก และก็เป็นโจวเซียนหลงที่เอ่ยขึ้นขณะที่โบกมือไล่อย่างไม่สนใจนัก “ถ้าอย่างนั้นก็แล้วแต่คุณ ในเมื่อคุณมั่นใจขนาดนั้น ผมก็จะตั้งตารอฟังการบรรยายของคุณในวันพรุ่งนี้”

เมื่อฉินเย่เดินออกไปจากห้อง ชายสูงวัยทั้งสองต่างมองหน้ากันและกัน ไม่มีใครเอ่ยอะไรออกมา แต่หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง เถาหรานก็ทำลายความเงียบด้วยการถามขึ้นว่า “คุณคิดว่าอย่างไร?”

“การตอบสนองของเขาไม่ได้แย่นัก แต่…คงเกินไปสักหน่อยที่จะบอกว่าการบรรยายของเขาจะเป็นการหูเปิดตาให้กับทุกคนได้”

โจวเซียนหลงเคาะโต๊ะเบา ๆ และเอ่ยต่อ “ระดับผู้อำนวยการสองคน สมาชิกของทางศูนย์วิจัย SRC สามคน รวมไปถึงศาสตราจารย์อีกสองคนจากแผนกวิจัยของหน่วยสอบสวนพิเศษ ทั้งเจ็ดท่านนี้ถูกขนานนามว่าผู้ริเริ่มวิทยาศาสตร์เหนือธรรมชาติ ประสบการณ์ในการเผชิญหน้ากับเหตุการณ์เหนือธรรมชาติของพวกเขานั้นมีมากมายราวกับน้ำในมหาสมุทร พวกเขาอาจจะเคยได้สัมผัสกับสิ่งเหล่านั้นมามากกว่าผมเสียอีก”

เถาหรานกำลังจะเอ่ยแทรกขึ้นแต่โจวเซียนหลงก็ส่ายศีรษะและเอ่ยว่า “แล้วมันอย่างไรล่ะ?”

“ผมคือหัวหน้าสาขา ในขณะที่คุณคือศาสตราจารย์ พวกเราคือผู้ที่รับผิดชอบดูแลสาขานี้! ความคิดเห็นของผู้อื่นจะยังคงอยู่ต่อไปตราบใดที่เราไม่ให้การยืนยันในเรื่องนี้ ฉินเย่สมควรได้รับโอกาสนี้ ทำไมเราถึงต้องปล่อยให้ความคิดเห็นของคนภายนอกมามีอิทธิพลกับพวกเราในเรื่องนี้ด้วยล่ะ?”

“หากเขาทำมันออกมาได้ดี ผมก็คงต้องปรบมือให้เขา แต่ถ้าเขาทำได้ไม่ดีผมก็ไม่เห็นว่ามันจะเลวร้ายตรงไหนเหมือนกัน”

ชายสูงวัยมองไปยังทิศทางที่ฉินเย่เพิ่งเดินจากไป “เขาสามารถสร้างชื่อเสียงให้ตัวเองทั้งที่อายุยังน้อย แต่การโตเป็นผู้ใหญ่นั้นมาพร้อมกับบททดสอบ ชื่อของเขาได้เป็นส่วนหนึ่งในรายชื่อนักล่าวิญญาณระดับ A ที่ต้องถูกจับตาดูและฟูมฟักต่อไปในอนาคตของหน่วยสอบสวนพิเศษ เราควรจะเก็บเขาไว้ภายใต้การเฝ้าระวังของเราและปกป้องเขาได้ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะอย่างไรแล้ว…ในอีกไม่กี่สิบปีข้างหน้า แผ่นดินจีนจำเป็นจะต้องรวบรวมกำลังหลักให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้”

“ในกรณีที่เลวร้ายที่สุด สาขาการต่อสู้ของเราก็คงจะได้รับการประเมินที่ไม่ดีนักเท่านั้น แต่ใครเป็นคนบอกกันล่ะว่าเราจะไม่สามารถเอาคืนได้ในปีหน้า?”

เถาหรานพยักหน้าและมองออกไปทางวิทยาเขตที่อยู่นอกหน้าต่าง หลังจากผ่านไปไม่นานนัก ชายสูงวัยก็แย้มยิ้มออกมา “การเป็นหนุ่มนี่ดีจริง ๆ….”

…………………………………………….

ฉินเย่ไม่รู้เรื่องทั้งหมดนี้เลยสักนิด

หลังจากทบทวนแผนการสอนของตัวเองไปมากกว่าสิบครั้ง เขาก็เข้านอนตั้งแต่หัวค่ำ

เขาไม่ได้อยากจะโอ้อวดอะไร แต่อุปสรรคแรกที่อาจารย์ทุกคนจะต้องผ่านไปให้ได้ก็คือความประหม่าของตัวเองไม่ให้ตื่นตระหนกเวลาโดนใครหลายคนจ้องมอง

ซึ่งใบหน้าของเขาในตอนนี้ก็ได้ถูกพัฒนาจนหนาไปถึงระดับกำแพงเมืองจีนแล้ว

ส่วนเรื่องเนื้อหาน่ะหรือ?

อาร์ทิสยืนยันครั้งแล้วครั้งเล่าว่าทุกคนรอบข้างถือได้ว่าเป็นเพียงเศษขยะเท่านั้นเมื่อเปรียบเทียบกับความรู้มากมายที่นางมี!

เขายืนอยู่บนไหล่ของยักษ์และได้รับการสนับสนุนจากแหล่งรวบรวมความรู้ของยมโลกที่มีมานานกว่าพันปี นอกจากนี้ผู้ใดจะมาหักล้างเนื้อหาในการบรรยายของเขาได้กันในเมื่อเนื้อหาทั้งหมดนี้ได้สูญหายไปตามกาลเวลาหมดแล้ว?

มันคงจะเหลือเชื่อมากหากเขาไม่สามารถรักษาตำแหน่งสูงสุดได้หลังจากที่ได้เตรียมการทั้งหมดมาเป็นระยะเวลากว่าสองเดือน!

ในเวลา 1 ทุ่มตรง โจวเซียนหลงก็ลงประกาศลงในไลน์กลุ่มอย่างเป็นทางการว่า “พรุ่งนี้เช้า เวลา 09.00 น. S9527 อาจารย์ฉินจะบรรยายเปิดของสาขาการต่อสู้ที่ห้องบรรยายของสาขา” เหล่านักเรียนที่เห็นประกาศนี้ต่างตื่นเต้นเป็นอย่างมาก!

“นะ นะ ในที่สุดก็จะเริ่มแล้วสินะ!!”

“พระเจ้า! อาจารย์ฉินเริ่มก่อนจริง ๆ ด้วย! ฉันจะไม่โกหกนะ แต่เหตุผลที่ฉันเลือกเข้าร่วมสาขาการต่อสู้ก็คือเขาเลย!”

“เธอมีเจตนาที่ไม่ดีซ่อนอยู่หรือเปล่า? อาจารย์ฉินไม่ตกหลุมพรางของเธอหรอก!”

“ตื่นเต้นชะมัด…อย่างฟังเรื่องราวชีวิตของอาจารย์ฉิน แล้วก็วิธีการที่ทำให้เขาสามารถก้าวขึ้นเป็นขั้นนักล่าวิญญาณได้ตั้งแต่อายุแค่ 18 จะแย่อยู่แล้ว!”

“ตั้งตารอ” “ตั้งตารอ +1” “ตั้งตารอ +2” “ตั้งตารอ +10086” [1]

ฉินเย่ไม่ได้สนใจข้อความพวกนั้น เขาเข้านอนทันทีหลังจากที่ทบทวนแผนการสอนเป็นครั้งสุดท้าย ในเช้าวันต่อมา เขาตื่นขึ้นมาในเวลา 7 โมงเช้า ทานอาหารเช้าตามปกติและจัดระเบียบความคิดและจิตใจของตัวเอง จากนั้น เมื่อถึงเวลา 08.30 น. เด็กหนุ่มก็เดินตรงไปที่ห้องบรรยายของสาขาการต่อสู้

ห้องบรรยายของมหาวิทยาลัยอันฮุ่ยนั้นได้รับการก่อสร้างอย่างดีและเต็มไปด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่ ห้องบรรยายที่มีที่นั่งแบบฉัตร ซึ่งสามารถจุคนพันคนได้ในคราวเดียว เขาก้าวเข้าไปในห้องบรรยายเมื่อเวลา 08.48 น. ทันทีที่เปิดประตู เสียงพูดคุยที่ดังกระหึ่มอยู่ภายในห้องก็เบาลงทันที

และมันก็เปลี่ยนเป็นเงียบสนิท

หากพูดกันตามจริง มันเงียบจนเขาสามารถได้ยินเสียงเดินของตัวเองขณะที่ก้าวไปที่โต๊ะบรรยายได้เลยด้วยซ้ำ