บทที่ 159 เจ้าทำได้

คู่ชะตาบันดาลรัก

“คุณหนู!” ตัวฝูร้องเรียก

หมิงเวยยิ้มแล้วพยักหน้าให้ “ทำได้ดี”

ตัวฝูเพิ่งเรียนรู้เคล็ดวิชามาไม่นาน แต่เพราะนางมีชะตาชีวิตที่พิเศษ อีกทั้งยังกลืนพลังของปีศาจเข้าไปอีกจะไปเปรียบเทียบกับมือใหม่ทั่วไปได้อย่างไร

ชิงหลินไม่อยากจะเชื่อ

นางหมกมุ่นอยู่กับเส้นทางนี้มานานกว่ายี่สิบปี แม้แต่เซียนจากเสวียนเหมินก็ไม่อาจเทียบนางได้แล้วเหตุใดถึงได้มาถูกสาวใช้ที่ไม่ได้ศึกษาเคล็ดวิชาอย่างจริงจังทำลายเอาได้

“เอาล่ะ อย่าล่าช้าไปกว่านี้เลยเดี๋ยวฟ้าจะมืดเข้าจริงๆ!” หยางชูพูดขึ้น

เมื่อมองทั้งสามคนที่อยู่ตรงหน้าแววตาของเขาเป็นประกายเย็นเยียบ “จับเป็นได้ให้จับเป็น จับเป็นไม่ได้ก็จับตายไปเลย!”

เมื่อได้ยินคำสั่งนี้ธนูหน้าไม้ถูกบรรจุยกขึ้นเตรียมยิง สีหน้าของทั้งสามคนที่ถูกล้อมรอบเปลี่ยนไป

“ไป!” ซูรื่อฉู่ตะโกนร่างของเขาแวบหายไปเสมือนกลายเป็นวิญญาณและกำลังจะหลบหนี หนี่ถู่ฝูขว้างเทพสายฟ้าออกไปสองสามลูกและหนีหายตามไปอย่างรวดเร็ว

ชิงหลินสะบัดแส้ขนหางจามรีแล้วหมอกสีดำก็ปรากฏขึ้นมา

เหลยหงสั่งออกไปโดยไม่ลังเล “ยิง!”

ธนูหน้าไม้ถูกยิงออกไปในระยะห่างสั้นๆ นี้เขาได้ยินเสียงฮึดฮัดแสดงว่ามีคนถูกยิงเป็นแน่ เพียงแต่หมอกดำหนาเกินไปจึงมองไม่เห็นว่าเป็นผู้ใด

หลังจากนั้นเสียงแหลมก็ดังขึ้นกระทบแก้วหู ทุกคนรู้สึกราวกับว่าหัวของพวกเขาถูกเข็มทิ่มแทงซึ่งเจ็บปวดมาก จากนั้นเสียงขลุ่ยทุ้มต่ำก็ดังขึ้นช่วยบรรเทาความเจ็บปวดไปได้มาก

หยางชูเหลือบมอง “ทิศตะวันออกเฉียงใต้ ตามไป!”

ชั่วพริบตาคนกลุ่มหนึ่งวิ่งออกไล่ล่าแล้วหายลับไปจนไม่เห็นเงา เหลือเพียงไม่กี่คนที่ยังคงอยู่เพื่ออารักขาพวกนาง ใบหน้าของอาหว่านซีดเซียวนางเดินโซซัดโซเซกลับมา

ตัวฝูยื่นผ้าเช็ดหน้าให้นางเงียบๆ อาหว่านรับผ้ามาเช็ดแล้วพูดงึมงัมออกไป

“ขอบคุณ”

ตัวฝูไม่คิดว่านางจะเอ่ยขอบคุณเลยอ้าปากค้างไม่รู้จะพูดอะไรกลับไปดี อาหว่านได้สติแล้วเห็นว่าคนที่ส่งผ้าเช็ดหน้ามาให้เป็นตัวฝูก็อึ้งไปเช่นกัน

ทั้งสองมองหน้ากันเงียบๆ

ครั้งก่อนพวกนางต่อสู้อย่างกับเป็นศัตรูกันจู่ๆ ก็มากล่าวขอบคุณอย่างมีมารยาท ไม่คุ้นเคยเลยจริงๆ…

ผ่านไปสักพักตัวฝูก็พูดขึ้นว่า “ข้าทำเพราะเห็นเจ้าปกป้องคุณหนู”

อาหว่านก้มหน้าลงมองปลายเท้า “ข้าเองก็เชื่อฟังคำสั่งของคุณชาย”

“….”

เกิดความเงียบต่อไป เมื่อเห็นว่าที่แขนของนางมีเลือดไหลออกมาอีกครั้ง หมิงเวยจึงเรียก “มาพันแผลเร็ว”

อาหว่านนิ่งเงียบนางยื่นแขนออกไปให้อีกฝ่ายพันแผลให้แล้วพูดแทรกขึ้น “ข้ามียารักษาแผล”

แน่นอนว่ายาของนางนั้นมีประสิทธิภาพดีหมิงเวยรับมันมาโรยลงบนแผลแล้วพันแผนไปสองสามทบ

“ครั้งนี้ต้องขอบคุณเจ้ามาก” นางขอบคุณอย่างจริงใจ

อาหว่านเบนหน้าไปทางอื่น “ทั้งหมดเป็นคำสั่งของคุณชายเจ้าค่ะ”

“ถึงอย่างนั้นเจ้าก็พยายามที่จะปกป้องข้า” หมิงเวยพูดเสียงอ่อนโยน “ความรู้สึกนี้ข้าจะจดจำมันไว้”

อาหว่านรู้สึกอึดอัดมากขึ้นนางหันไปทางอื่นไม่พูดอะไรใบหน้าของนางแดงเล็กน้อย หมิงเวยเห็นแล้วก็อดขำไม่ได้ แม่นางผู้นี้ชอบดุร้ายกับผู้อื่นจะทนรับสิ่งดีๆ จากผู้อื่นไม่ได้เลยหรือ แค่ขอบคุณอย่างจริงใจออกไปก็อายเสียแล้ว

ทั้งสามรออยู่สักพักหยางชูก็กลับมา “จับไม่ได้งั้นหรือ” หมิงเวยเลิกคิ้วครั้งนี้พวกเขาเตรียมตัวกันเป็นอย่างดีขนาดนี้ยังจับไม่ได้

หยางชูตอบ “นักพรตหญิงผู้นั้นไม่รู้ว่านางมาจากที่ใดใช้กลยุทธ์จักจั่นลอกคราบ[1]หนีไป ส่วนซูรื่อฉู่ เขาตัดแขนตัวเองข้างหนึ่งแล้วหนีไป หญิงสาวที่เป็นสหายของเขาพวกเราจับไว้ได้ แต่ยังไม่ทันได้ถามอะไรนางก็ชิงฆ่าตัวตายไปเสียก่อน”

หมิงเวยพยักหน้า

“ท่านไม่แปลกใจเลยหรือ” หยางชูหันมาถาม

หมิงเวยตอบไปว่า “องค์กรที่ไม่ได้เปิดโปงมานานหลายสิบปี แน่นอนว่าต้องมีช่องทางนิดหน่อย เดิมทีข้าคิดว่าพวกท่านจับตัวได้หนึ่งคนก็ไม่เลวแล้ว และตอนนี้พวกท่านก็จับตัวได้หนึ่งคนจริงๆ ซึ่งถือว่าสำเร็จตามเป้าหมายที่กำหนดไว้”

หยางชูรู้สึกหมดอาลัยตายอยาก “เดิมทีข้าคิดว่าเรียกผู้ช่วยมามากมายขนาดนี้ แม้ไม่สามารถจับตัวได้ทั้งหมด แต่ก็ควรได้ประโยชน์มาบ้าง ตอนนี้แม้แต่จับเป็นก็ยังไม่มี…”

หมิงเวยยิ้ม “ผู้ใดบอกจับเป็นไม่ได้กันเจ้าคะ นายท่านสามยังมีชีวิตอยู่ไม่ใช่หรือ”

หยางชูถูกนางเรียกสติเขาก็กลับมามีชีวิตชีวาขึ้นอีกครั้ง “จริงด้วย! จะปล่อยให้นายท่านสามตายไม่ได้ ไป! พวกเรากลับกันเถอะ!”

…………

เมื่อชิงหลินหนีไปหมอกก็ค่อยๆ จางลง แต่ขบวนรถได้รับความสูญเสียอย่างหนักจึงไม่สามารถออกเดินทางได้ชั่วขณะ หมิงเวยหาจี้หลิงพบเขากำลังสั่งให้ครอบครัวของนักโทษเก็บข้าวของ

หยางชูแปลกใจ “ทำไมเขาถึงออกคำสั่งได้”

อาสวนเข้ามารายงาน “คนของเราล้วนออกไปไล่จับนักโทษที่หนีรอดไปได้ โชคดีที่คุณชายจี้ตอบสนองได้ทันเวลาเลยสั่งให้พวกเราเข็นรถเข้าไปขวางจึงสามารถสกัดกั้นไว้ได้ขอรับ”

“น้องหญิง” จี้หลิงเหงื่อท่วมตัว “น้องไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่”

“ไม่เป็นอะไรเจ้าค่ะ” หมิงเวยเห็นเขามีสภาพเช่นนี้ก็รู้สึกผิด “ครั้งนี้ทำให้พี่ใหญ่ต้องลำบากแล้ว ไม่เพียงแค่เหนื่อยจากการเดินทางเท่านั้น แต่ยังทำให้ต้องมาพบเจอเรื่องอันตรายด้วยอีก”

จี้หลิงส่ายหน้า “ไม่เกี่ยวกับน้องเลย เจ้าอย่าได้คิดมาก”

หลังผ่านช่วงเวลาวุ่นวายนี้ทุกคนก็ขึ้นรถและออกเดินทางอีกครั้ง หุบเขานี้ไม่สามารถอยู่นานได้ พวกเขาต้องรีบออกไปจากที่นี่ในขณะที่ยังไม่มืดอยู่ยิ่งไปกว่านั้นพวกเขาต้องหาที่ปักหลักเพื่อแวะพักผ่อนช่วงเวลากลางคืน

จี้หลิงไม่ขี่ม้าแล้วเขานั่งรถไปกับหมิงเวย โดยนั่งอยู่กับคนขับรถม้าด้านหน้า

หลังจากเดินทางไปสักพักเขาก็เคาะประตู “น้องหญิง”

หมิงเวยตอบรับ “มีอะไรหรือเจ้าคะพี่ใหญ่”

จี้หลิงลังเลอยู่นานในที่สุดก็ถามออกไป “เมื่อครู่เกิดหมอกขึ้นรอบด้านแล้วน้องก็หายตัวไป จากนั้นตัวฝูก็นำทางพวกเขาไปบอกว่าจะไปตามหาน้อง…ที่จริงแล้วหมอกนั่นสร้างโดยเคล็ดวิชาใช่หรือไม่”

หมิงเวยไม่คิดว่าเขาจะเฉียบคมเช่นนี้ แต่ก็ไม่คิดปิดบังจึงตอบกลับไปว่า

“ใช่เจ้าค่ะ”

“พี่มาคิดดูอีกที สถานการณ์เมื่อครู่แปลกไปนิดหน่อยเหมือนว่าเป้าหมายของพวกเขาก็คือน้อง…”

“ใช่เจ้าค่ะ”

จี้หลิงยิ่งสับสน “ทำไมพวกเขาต้องจับตัวน้องด้วย”

หมิงเวยตอบ “พูดกันตามตรง พวกเขาต้องการจับน้องเพื่อให้แน่ใจว่าการดำเนินการของพวกเขาจะสำเร็จเจ้าค่ะ”

จี้หลิงเงียบไปชั่วครู่ แต่ก็ถามต่อไปว่า “ทำไมหรือ”

“เพราะว่า…”

หมิงเวยไม่รู้จะตอบอย่างไรไปชั่วขณะ เป้าหมายของอีกฝ่ายคือการฆ่าพวกเราทั้งหมดที่พุ่งเป้ามาที่นางก็เพราะได้วางเหยื่อล่อที่มีชื่อว่าปรมาจารย์แห่งชีวิตไว้ และเพื่อให้ชิงหลินได้มีโอกาสแสดงเคล็ดวิชาของตนเองออกมาด้วย

แต่นางจะบอกเรื่องนี้กับจี้หลิงได้อย่างไร แล้วจี้หลิงก็เอ่ยถามก่อนโดยไม่คาดคิด

“น้องรู้เคล็ดวิชางั้นหรือ”

“…..”

เกิดความเงียบภายในรถจี้หลิงพูดต่อไปว่า “เรื่องของน้องตอนอยู่ที่ตงหนิง พี่ไปสอบถามมาแล้ว เริ่มตั้งแต่น้องกลั่นแกล้งนายท่านสอง เรื่องนี้มีจุดที่แปลกออกไป ก่อนหน้านี้น้องบอกว่าน้องให้การช่วยเหลือพวกเขา เดิมทีพี่คิดว่าเป็นเพียงให้เบาะแสบางอย่างหลังจากนั้นพอมาคิดดูอีกทีเบาะแสที่น้องให้นั้นต้องไม่ธรรมดาแน่ถึงได้รับการปฏิบัติเช่นนี้จากพวกเขาได้”

เขาหายใจเข้าลึกๆ “น้องเป็นเสวียนชื่อหรือ”

หลังจากนั้นไม่นานเสียงแผ่วเบาก็ดังมาจากในรถ “พี่ใหญ่กลัวหรือไม่เจ้าคะ”

จี้หลิงกลับถามออกไป “ทำไมพี่ต้องกลัวด้วย” เขาครุ่นคิดแล้วตอบไป “ที่มาของเคล็ดวิชาของน้องดูแปลกไปหน่อย มีเหตุบังเอิญอะไรหรือ แต่เหมือนจะมีการเขียนเล่าเรื่องราวเช่นนี้ในนิทานพื้นบ้านเหล่านั้นนะ อย่างเช่นพบเทพธิดาอะไรประมาณนี้…จบกันในครอบครัวก็มีคนที่ดูไม่ค่อยปกติอยู่แล้วเพิ่มน้องเข้าไปอีกคนจะเป็นอย่างไรล่ะทีนี้”

พูดเองเขาก็กลัดกลุ้มเองหมิงเวยที่อยู่ในรถหลังจากตกตะลึงนางก็ยิ้มออกมา

……………………

[1] กลยุทธ์จักจั่นลอกคราบ : เป็นกลยุทธ์ที่มีความหมายถึงการรักษาไว้ซึ่งตามแบบแผนการจัดแนวรบในรูปแบบเดิม ให้แลดูสง่าและน่าเกรงขาม เป็นการหลอกล่อไม่ให้ศัตรูเกิดความสงสัย ไม่กล้าผลีผลามนำกำลังทหารบุกเข้าโจมตี เมื่อรักษาแนวรบไว้เป็นตั้งมั่นแล้วจึงแสร้งถอยทัพอย่างปกปิด เคลื่อนกำลังทหารให้หลบหลีกไป คัมภีร์อี้จิงกล่าวว่า “เลี่ยงเพื่อสลายลวง” โดยคำว่า “เลี่ยง” หมายถึงการหลบหลีก คำว่า “ลวง” หมายถึงการทำให้เกิดความสับสนงงงวย เมื่อรวมกันแล้ว “เลี่ยงเพื่อสลายลวง” หมายความถึงการหลบหลีกโดยมิให้ผู้ใดล่วงรู้ ซึ่งนับว่าเป็นกลยุทธ์ในการถอยทัพโดยไม่เกิดความกระโตกกระตาก เพื่อให้บรรลุยังเป้าหมายที่ได้กำหนดไว้ หรือเป็นการหลีกเลี่ยงความสูญเสียเลือดเนื้อหรือการปะทะที่อาจเกิดขึ้นในกองทัพ