ตอนที่ 147 รางวัลบวกหนึ่ง

บรรลุอรหันต์กับระบบพุทธองค์

หลวงจีนรูปหนึ่งเดินออกมาจากข้างหลังฟางเจิ้งพร้อมกล่าว นั่นคือหงเสียง

“หงเสียง?” อู้ซินเห็นหงเสียงเลยเอ่ยทันที

หลวงจีนหงเหยียนก็อึ้งไปเล็กน้อย ไม่นึกเลยว่าเรื่องราวจะพัวพันกับศิษย์ตนด้วย

“อมิตาพุทธ ประเสริฐๆ ทะเลทุกข์ไร้ขอบเขต กลับใจคือฟากฝั่ง ยินดีกับหลวงพี่ท่านนี้ด้วย!” ตอนนี้เองฟางเจิ้งพลันประนมสองมือยิ้มให้หงเสียง

หงเสียงงง หลวงจีนทุกรูปก็งงเหมือนกัน

ยังไม่ทันที่ทุกคนจะเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น หลวงจีนไป๋อวิ๋นกับหลวงจีนหงเหยียนประนมสองมือกล่าวเสียงกังวาน “ยินดีกับหลวงพี่ท่านนี้ด้วย”

พระอาจารย์ที่มีคุณธรรมและบารมีสูงส่งสองท่านทำแบบนี้ ทุกคนเลยพากันประนมสองมือตาม เพียงแต่ในใจมีความสงสัยมากมาย

ตู้เหล่ามึนงงยิ่งกว่า หงเสียงเป็นคนยังไงเขารู้ดี แต่ทำไมพระอาจารย์จำนวนมากถึงให้เกียรติคนไร้คุณธรรมแบบนี้?

หงเสียงหน้าแดง มองผู้คนที่เป็นดั่งเทพเจ้าตรงหน้า เขารู้สึกแค่ว่าเลือดทั่วร่างพรั่งพรู โลหิตไหลเวียนเร็วขึ้น เลือดลมหมุนม้วน รู้สึกอยากจะพูดความจริงออกมา! เมื่อครู่นี้เขารู้สึกว่าตนหมดอนาคตแล้ว แต่ฟางเจิ้งไม่ได้เอาเรื่องเขา นี่คือบุญคุณ ดังนั้นเลยใช้โอกาสสุดท้ายช่วยยืนยันความบริสุทธิ์ให้ฟางเจิ้งถือเป็นการตอบแทนบุญคุณ ส่วนตน เขาคิดดีแล้ว เขาไม่มีคุณสมบัตินักบวช สู้กลับไปช่วยกิจการร้านค้ากับพ่อดีกว่า

แต่ไม่นึกเลยว่าจะเป็นแบบนี้!

พริบตานั้นหงเสียงไม่มีความคิดซับซ้อนอะไรอีก เหลือเพียงความใสสะอาด เขาเหมือนแหวกเมฆออกได้เห็นดวงตะวัน เห็นเส้นทางอนาคตชัดเจน! นั่นไม่ใช่เส้นทางที่ปูด้วยเงินทอง แต่เป็นฟ้าดินใสสะอาด!

ตอนนี้หงเสียงตระหนักแล้ว

ขณะเดียวกันฟางเจิ้งได้ยินเสียงคุ้นเคยข้างหู

“ติ๊ง! ยินดีด้วย หงเสียงตระหนักแล้ว กลับใจมีรางวัลบวกหนึ่ง พยายามต่อไป”

ฟางเจิ้งได้ยินก็ยิ้มเจิดจ้ากว่าเดิม

หลวงจีนไป๋อวิ๋นเห็นดังนั้นจึงแอบพยักหน้าเงียบๆ ‘ฟ้าถล่มไม่ตระหนก ไม่สะทกสะท้าน เหมาะแก่การเพาะบ่ม’

หลวงจีนไป๋อวิ๋นไม่สนใจความสงสัยของทุกคน แต่ยิ้มกล่าว “อมิตาพุทธ หลวงพี่ฟางเจิ้ง เชิญข้างใน” ส่วนเรื่องก่อนหน้านี้เขาไม่เอ่ยถึงเลย

หลวงพี่หงจิงเหงื่อซึมหน้า ทว่าหลวงจีนไป๋อวิ๋นเชิญด้วยตัวเองแบบนี้เขาก็ไม่ควรถามต่อแล้ว ได้แต่อดกลั้นเอาไว้ เพียงแต่ว่ายังมีความไม่พอใจอยู่ภายใน คิดว่าฟางเจิ้งแสร้งทำให้ตัวเองดูลึกลับเพื่อลวงหลอกคนอื่น

ทุกคนขึ้นเขาไปพร้อมกัน ระหว่างทางทุกคนคุยกันเรื่องธรรมะ ดูสนุกสนาน ฟางเจิ้งได้แต่ฟังเงียบๆ แทรกไม่ได้เลย ช่วยไม่ได้ เทียบกับนักบวชที่ศึกษาพระธรรมมาหลายสิบปีเหล่านี้แล้ว เขาแทรกไม่ได้จริงๆ ใครถามอะไรเขาก็ได้แต่ยิ้มไม่ตอบ ทุกคนจึงคิดว่าเขาลึกลับยากจะคาดเดา คนที่ใช้ต้นกกข้ามฟากได้จะไม่เข้าใจที่พวกเขาคุยกันเหรอ? ดังนั้นจึงมองว่าฟางเจิ้งกำลังใช้ปริศนาธรรมคุยกับพวกเขา แต่ทุกคนคิดจนสมองแทบระเบิดก็ยังไม่เข้าใจว่าฟางเจิ้งยิ้มอะไรกันแน่…

ฉะนั้นคนที่ไม่ไหวจึงถอยออกมา

นี่เป็นสิ่งที่ฟางเจิ้งคาดไม่ถึงเหมือนกัน

ขณะสนทนาก็มาถึงหน้าผามองภูมิลำเนา ฟางเจิ้งเห็นร่างเงาคุ้นเคยไกลๆ นั่นคืออู้หมิง!

พอเห็นอู้หมิงฟางเจิ้งก็เข้าใจแจ่มแจ้ง เกรงว่าเหตุผลทุกอย่างเป็นเพราะอีกฝ่าย

อู้หมิงเห็นฟางเจิ้งกับหลวงจีนไป๋อวิ๋นและหลวงจีนหงเหยียนเดินขึ้นมาพร้อมกัน ข้างหลังยังมีหงเสียงกับตู้เหล่า จึงเกิดความกลุ้มใจ ‘ทุกคนคงจะรู้เรื่องที่ฉันทำแล้ว จบแล้ว ชื่อเสียงฉันป่นปี้หมดแล้ว แม้โลกจะกว้างใหญ่ แต่จะมีที่ยืนได้ยังไง? สู้กลับไป…’

คิดได้ดังนั้นอู้หมิงมองฟางเจิ้งด้วยแววตาเหี้ยมโหดกว่าเดิม ‘ต้องโทษมัน! ตั้งแต่เจอมันฉันก็เจอแต่เรื่องซวยๆ! ไอ้สารเลว สารเลว…สารเลว! ทำลายทุกอย่างของฉัน ฉันจบเห่ก็ต้องให้มันลงหลุมไปด้วยกัน!’

นัยน์ตาอู้หมิงฉายแววเหี้ยมเกรียม เห็นฟางเจิ้งเดินเข้ามาจึงนั่งยองลง หยิบก้อนหินขึ้นมาพร้อมตะโกนเสียงดัง “ไอ้เลว ไปตายซะ!”

อู้หมิงตะโกนเสียงดังพร้อมกับปาหินใส่ฟางเจิ้ง!

“หลวงพี่ระวัง!” หงเสียงร้องด้วยความตกใจ ตู้เหล่าร้องเสียงดัง

หลวงจีนหงเหยียนตะโกนด้วยความโกรธ “หยุดเดี๋ยวนี้!”

คนอื่นๆ ตะลึงค้าง ไม่ว่าใครก็คาดไม่ถึงว่าอู้หมิงจะลงมือฆ่าคนอย่างกะทันหัน!

“เฮ้อ…” ฟางเจิ้งเห็นแบบนั้นเลยถอนหายใจ ไม่พูดไม่ขยับ

ทุกคนคิดว่าฟางเจิ้งตกใจจนตะลึงค้าง แต่จะช่วยก็ไม่ทันการแล้ว อู้หมิงปาหินเข้าที่หัวฟางเจิ้ง

ทว่า!

แก๊ง!

เสียงโลหะกระทบกันดังขึ้น ทุกคนมองสะเก็ดไฟแตกออกตรงหัวฟางเจิ้งราวกับเห็นผี ทว่าฟางเจิ้งกลับไม่เป็นอะไรเลย! แต่หินของอู้หมิงแตกกระจาย เด้งกลับมาชนที่หัวอู้หมิงดังปัง อู้หมิงร้องโอดครวญ เลือดนองหน้าผาก เขากุมหัวพลางถอยไป เนื่องจากอยู่บนหน้าผา ซ้ำก้าวไม่มั่นคง หัวเลยดิ่งลงไปข้างล่าง

ฟางเจิ้งเห็นดังนั้นก็ไม่ได้คิดจะช่วย แต่มองอู้หมิงอย่างนั้น

ชั่วขณะที่อู้หมิงดิ่งลงไปถึงพบว่าความตายอยู่ใกล้แค่เอื้อม! ร่างลอยอยู่กลางอากาศ สัมผัสได้ถึงเสียงลมข้างหู สองมือตะกุยตะกายไปรอบๆ แต่กลับคว้าอะไรไม่ได้!

ความตาย เขาได้กลิ่นความตาย! นั่นคือความสิ้นหวังจากใจจริง

ทันใดนั้นเองมีภาพนับไม่ถ้วนแล่นผ่านในความคิด เป็นภาพเขาทิ้งภรรยาเข้าไปอยู่ในวัด เพื่ออะไร? คนอื่นเพื่อศึกษาธรรม บรรลุอรหันต์ ช่วยคนหลุดพ้น แต่ความจริงกิจการเขาล้มละลาย เป็นหนี้ก้อนหนึ่ง ไม่มีหนทางหาเงิน!

ตามหลักแล้ววัดหนึ่งจะมีเงินทุนที่ประเทศแบ่งให้กับเงินค่าจุดธูป ไม่มีใครดูแลเงินส่วนนี้ แต่ให้ไว้ชโลมการใช้ชีวิตของนักบวชทุกรูป ถ้าควบคุมได้ก็จะเป็นเงินทุนตามหลักความจริง กระทั่งเป็นเงินทุนก้อนใหญ่!

ทว่าเขาเข้าวัดใหญ่ไม่ได้ หาอยู่หลายวัดมีแค่วัดผาแดงที่รับเขา แม้หลวงจีนหงเหยียนจะได้เงินค่าจุดธูปไม่น้อยแต่กลับบริจาคออกไป นอกจากค่าบำรุงภายในวัดกับเงินค่าข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ แล้ว ไม่มีเงินเหลือเลยแม้แต่แดงเดียว! นักบวชทุกรูปยากจนแต่ก็ไม่อดตายเท่านั้น

เขาไม่พอใจชีวิตแบบนี้! เขาเลยจะเป็นเจ้าอาวาส ถ้าเป็นเจ้าอาวาสเขาจะขยายวัด ให้วัดมีชื่อเสียงกว่าเดิม ดึงญาติโยมมากันมากขึ้น เก็บเงินค่าจุดธูปมากขึ้น ได้รับเงินทุนจากรัฐบาลมากขึ้น! ถึงตอนนั้นจะใช้เงินเหล่านี้ยังไงก็อยู่ที่เขาแล้วใช่ไหม?

ขอแค่เก็บเงินพอ เขาจะสึก กลับบ้าน ใช้ชีวิตอีกครึ่งอย่างมีความสุข

ทว่าทุกอย่างเปลี่ยนไปจนไม่มีความหมายแล้ว ความตายคนเราเป็นดั่งแสงไฟ ตายก็ตายเถอะ

พอคิดถึงบ้าน อู้หมิงร้องไห้ เขาอยากกลับบ้านมาก…ไม่รู้ว่าภรรยาที่บ้านจะยังสวยหรือไม่ ลูกจะโตรึยัง…

“อมิตาพุทธ อู้หมิง ท่านสำนึกผิดแล้วรึยัง?” ตอนนี้เองมีเสียงดังกังวานมาจากศีรษะ! ขณะเดียวกันอู้หมิงพบว่าตนไม่ร่วงลงไปแล้ว!

เงยหน้าขึ้นไปมอง เห็นคนหนึ่งยืนอยู่ข้างกาย คุ้นหน้ามาก นั่นคือ…ฟางเจิ้ง!

‘นี่เราไม่ได้ฝันไปใช่ไหม?’ อู้หมิงพึมพำในใจ ก่อนก้มหน้ามอง เขาถึงพื้นแล้ว! แต่ทำไมยังไม่ตาย? จึงลุกขึ้นมองอีกครั้งพลันตกใจจนเหงื่อซึมไปทั้งตัว บนพื้นมีศพของเขา! พอมองตัวเอง มองศพก็ได้เข้าใจบางอย่าง เขาตายแล้ว!

…………………