“นี่เป็นสิ่งของใดกันแน่ เหตุใดข้ายิ่งมองยิ่งรู้สึกว่าเป็นหมอนอิงใบหนึ่ง?” จินเฟยเหยาชี้สิ่งของรูปร่างยาวที่มีแสงสดใสกระพริบวิบวับในกล่องหยกชิ้นนั้นแล้วเอ่ยถามอย่างไม่เข้าใจ

ปู้จื้อโหยวล้วงหู พยักหน้าเอ่ย “ใช่ เจ้าดูไม่ผิดหรอก มันเป็นหมอนอิงใบหนึ่ง วางไว้บนเตียงสามารถเป็นหมอนหนุน วางไว้บนเก้าอี้ยาวสามารถพิงหลัง ทั้งยังสามารถวางไว้บนเกี้ยว บนพื้น…”

“แล้วเจ้ายังบอกว่ามันเป็นสิ่งล้ำค่า เห็นได้ชัดว่าเป็นหมอนอิงธรรมดาที่ไม่อาจจะธรรมดาไปกว่านี้ได้อีก!” จินเฟยเหยามีโทสะ ไม่รอให้ปู้จื้อโหยวเอ่ยจบ ก็หยิบหมอนใบนี้ออกมาจากกล่องหยกขว้างใส่ปู้จื้อโหยว

จากนั้นนางก็เดินไปเดินมาอยู่ที่เดิม ด่าทออย่างเดือดดาล “เจ้าโง่จินเฟยเหยา ต้องชิงสิ่งของมาผิดอันแน่ น่าชังนัก”

ปู้จื้อโหยวรีบรับหมอนอิงใบนี้ กอดไว้อย่างระมัดระวังแล้วเอ่ย “เจ้าจะเข้าใจอะไร นี่ใช้ผ้าไหมเทียนจี๋ทำเป็นปลอกหุ้ม ถ้าข้าเดาไม่ผิด สิ่งที่บรรจุอยู่ด้านในน่าจะเป็นเมฆหน่วนซิน แม้แต่พู่ห้อยที่แขวนอยู่ด้านบน และไข่มุกร้อยเชือกประดับตกแต่ง ล้วนเป็นวัสดุชั้นหนึ่งทั้งสิ้น”

“จริงหรือ?” จินเฟยเหยาพลันชะงักเท้า ใช้มือแย่งหมอนอิงใบนี้มาพินิจดูอย่างละเอียด

หมอนอิงยาวครึ่งตัวคน ปลอกสีดำภายนอกใช้ไหมสีเงินปักเป็นลวดลายค่อนไปทางรูปแบบของเผ่ามาร ภายใต้แสงอาทิตย์ผ้าไหมเทียนจี๋ส่องแสงวิบวับราวกับทรายสีทอง ถือไว้ในมือมีความแข็งและอ่อนนุ่มพอเหมาะพอดี ให้ความรู้สึกเย็นนิดๆ และสบายอย่างยิ่ง พู่ตรงปลายสองด้านก็เป็นสีขาว ไม่รู้ว่าเป็นขนของตัวอะไร นุ่มลื่นอย่างประหลาด แม้แต่เชือกและมุกสีขาวสลับสีดำที่ห้อยบนนั้นก็มีสีสันแวววับจับตา มีปราณวิญญาณคุกคามคน

“ผ้าไหมเทียนจี๋เป็นหนอนไหมเทียนจี๋คายออกมา ปริมาณของหนอนไหมชนิดนี้มีน้อยมาก ทั้งยังกินแก่นไฟพิภพเป็นอาหาร ไหมที่คายออกมาน้ำและไฟไม่กล้ำกราย ฤดูหนาวอบอุ่นฤดูร้อนเย็นสบาย อีกทั้งหอกดาบยังฟันแทงไม่เข้า เมฆหน่วนซินเป็นแก่นเมฆสวรรค์ เป็นปรสิตอยู่ในทะเลเมฆ ในเมฆจำนวนมากบนท้องนภาอย่างมากมีเมฆหน่วนซินอยู่สิบกว่าก้อน หากไม่ใช้เวลาหลายสิบถึงหลายร้อยปีก็เป็นไปไม่ได้ที่จะหาพบ นอกจากสามารถเปลี่ยนรูปร่างได้ตามใจปรารถนาและอ่อนนุ่มสุดเปรียบปานแล้วก็ไม่มีประโยชน์อย่างอื่น” ปู้จื้อโหยวมองลักษณะสมบัติของนาง ก็อธิบายให้นางฟังทีละอย่าง

จินเฟยเหยาแนบใบหน้าเข้ากับหมอนอิง นุ่มจริงๆ ด้วย นางยิ้มแล้วเอ่ยถาม “ปราณวิญญาณเหลือเฟือยิ่ง ยังมากกว่าปราณวิญญาณทงเทียนหรูอี้ของข้าอีก แล้วมันใช้งานอย่างไร? หลังจากเปลี่ยนให้ใหญ่แล้วกดคนตายได้ใช่หรือไม่?”

“ข้าเคยบอกแล้วมิใช่หรือ สามารถวางหนุนบนเตียงหรือบนเก้าอี้ได้” ปู้จื้อโหยวกระพริบตา

“อะไรนะ!” จินเฟยเหยาเอ่ยถามอีกอย่างไม่อยากจะเชื่อ

ปู้จื้อโหยวพยักหน้าอย่างมั่นใจ “ใช่ ของสิ่งนี้นอกจากหนุนอิงแล้ว ไม่มีประโยชน์อย่างอื่น”

“ไม่จริงน่า…ใช้เวลาไปนานขนาดนี้ และใช้สิ่งของดีๆ ถึงปานนี้ก็เพื่อทำหมอนอิงใบเดียว? จอมมารหลงผู้นี้อยู่ว่างเกินไปสินะ เจ้าเคยบอกไว้ว่า ผ้าไหมเทียนจี๋หอกดาบฟันแทงไม่เข้า น้ำไฟไม่กล้ำกราย ถ้าฉีกออกมาหลอมเป็นเสื้อผ้าชุดหนึ่ง จะเป็นเรื่องที่ดีเพียงใด” จินเฟยเหยามองหมอนอิงในมืออย่างลังเล ในใจมีความคิดจะฉีกมัน เพียงแค่ใช้หนุนอิง ฟุ่มเฟือยเกินไป จะทำเรื่องล้างผลาญแบบนี้ไม่ได้

ปู้จื้อโหยวฉวยโอกาสขณะที่นางกำลังมองหมอนอิงอย่างน้ำลายไหล เก็บสิ่งของทั้งหมดที่เทออกมาเมื่อครู่กลับคืน จากนั้นเอ่ยกับจินเฟยเหยา “พวกเราแบ่งสิ่งของที่ได้มาอย่างยุติธรรม เจ้านำหมอนอิงไป ส่วนข้านำขยะเหล่านี้ไป ให้เจ้าได้เปรียบอย่างมากแล้ว”

“เจ้าใจดีขนาดนี้เลย?” จินเฟยเหยาได้สติคืนมา มองเขาอย่างเต็มไปด้วยความสงสัย

“แน่นอน เจ้าพูดจาแบบนั้นได้อย่างไร” ปู้จื้อโหยวมีสีหน้าไม่ได้รับความเป็นธรรม เอ่ยอย่างไม่พอใจ “หรือเจ้าไม่อยากนำผ้าไหมเทียนจี๋ไปหลอมสร้างชุดอาคม? นี่ข้าเสียสละครั้งใหญ่แล้วนะ เจ้ายังมีท่าทีแบบนี้อีก”

จินเฟยเหยาครุ่นคิด ถึงของสิ่งนี้ดูแล้วไร้ประโยชน์ แต่วัสดุที่ทำจากผ้าไหมเทียนจี๋ภายนอกหากฉีกมาหลอมเป็นชุดอาคมต้องใช้ประโยชน์ได้แน่ อีกทั้งต่อไปตนเองยังต้องไปหาจอมมารหลงเพื่อเอาพื้นที่มิติด้วย ถึงตอนนั้นใช้มันแลกสิ่งของกับจอมมารหลงก็ไม่เลว เจ้าหมอนั่นให้คนมาค้นหาหมอนอิงใบนี้โดยเฉพาะ ต้องติดที่นอนแน่

ดังนั้นนางจึงเห็นด้วยกับการแบ่งสิ่งของแบบนี้ และวางหมอนอิงกลับคืนกล่องหยกแล้วเก็บด้วยรอยยิ้มกว้าง

“จากนี้ไปเจ้ามีแผนการอะไร?” ปู้จื้อโหยวมองนาง เอ่ยถามกะทันหัน

จินเฟยเหยาส่ายศีรษะ “ยังไม่มีแผนการ อยากไปดูให้ทั่ว เปิดหูเปิดตา จริงสิ ข้ายังต้องไปหาหญ้าวิญญาณในยาปราณฟ้าดินห้าธาตุ อาจจะต้องไปสถานที่ซึ่งมีหญ้าวิญญาณเยอะๆ หรือลองไปดูในสถานที่ประมูลแต่ละแห่ง”

“ยาปราณฟ้าดินห้าธาตุ…หญ้าหนาวเหมันต์และเขาผลึกที่สำคัญที่สุดในนั้นมีเพียงโลกเผ่ามารที่มี ถ้าจะซื้อเอาก็หาได้ยากมาก ต่อให้มี เจ้าจะมีศิลาวิญญาณชั้นกลางมากมายปานนั้นซื้อหรือ?” ปู้จื้อโหยวเอ่ยถามอย่างสงสัย เห็นท่าทางของนางไม่เหมือนมีเงินขนาดนั้น หรือว่าแค่แสร้งทำเป็นใช้ชีวิตเรียบง่าย ที่จริงร่ำรวยอย่างยิ่ง

“อะไรนะ!” จินเฟยเหยาตะลึงงัน สิ่งของสองชนิดนี้พอดีเป็นสิ่งล้ำค่าที่สุดในยาปราณฟ้าดินห้าธาตุ วัตถุดิบหญ้าวิญญาณอื่นๆ เพียงใช้เงินก็สามารถซื้อได้ สามารถหาวัตถุดิบเหล่านี้ได้ในร้านยาขนาดใหญ่จำนวนไม่น้อย มีเพียงสองชนิดนี้ที่ไม่เห็นแม้เงา

ทุกครั้งที่ไปถามร้านจะบอกว่าไม่มีสินค้า ไม่ต้องเอ่ยถึงว่าไปหามาจากโลกเผ่ามาร เคยเห็นหญ้าเหมันต์ในสถานประมูลแห่งหนึ่งเพียงครั้งเดียว ราคาสามารถขู่ขวัญคนตายได้ นางซื้อไม่ไหวเลยสักนิด

“โลกเผ่ามาร เช่นนั้นข้าลองไปดูสักรอบก็ได้ ถ้าซื้อก็มีปริมาณน้อยเกินไปจนไม่พบ อีกทั้งต่อให้เจอก็ซื้อไม่ไหว” จินเฟยเหยาลูบเส้นผมเอ่ยวาจา

นางเกิดความคิดขึ้นชั่วคราว จะได้ไปภูเขาวั่นซั่นหาจอมมารหลงด้วยในคราวเดียว ในร่างตนเองมีไฟนรก แสร้งเป็นผู้บำเพ็ญมารน่าจะไม่มีปัญหา

“ผู้บำเพ็ญเซียนขั้นสร้างฐานคนอื่นๆ ตั้งมากมายก็แล่นไปโลกเผ่ามาร สภาพแวดล้อมของทั้งสองฝั่งแตกต่างกัน ล้วนมีหญ้าวิญญาณหรือสัตว์ปิศาจที่พิเศษเฉพาะ มีผู้บำเพ็ญเซียนบางคนใช้สิ่งนี้หาเลี้ยงชีพ หากำไรจากการขายสิ่งของที่ทั้งสองฝั่งขาดแคลน และตนเองก็หาสิ่งของที่ต้องการได้สะดวก คนเผ่ามารมาไม่ได้ ดังนั้นส่วนมากเป็นผู้บำเพ็ญเซียนเผ่ามนุษย์กระทำ ผู้ฝึกบำเพ็ญทั้งสองโลกเผ่ามนุษย์และเผ่ามารเรียกพวกเขาว่าคนสีเทา รายได้สีเทา” ปู้จื้อโหยวเอ่ยโน้มน้าวต่อไป ราวกับคิดจะให้จินเฟยเหยาไปโลกเผ่ามาร

จินเฟยเหยาได้ยินแล้วเกิดความสนใจ เพียงแต่ไม่เข้าใจอยู่บ้าง “ไหนบอกว่าเผ่ามารกับเผ่ามนุษย์ไม่ถูกกัน ทำแบบนี้จะไม่เกิดเรื่องหรือ?”

“มีเรื่องอะไรเด็ดขาดบ้าง แบ่งแยกอย่างเรียบง่ายแบบนี้ไม่ได้ เหมือนเจ้า เจ้าว่าเจ้าเป็นคนดีหรือคนเลว?” ปู้จื้อโหยวเอ่ยยิ้มๆ

“ข้า…” จินเฟยเหยาพูดไม่ออกไปชั่วขณะ ดูเหมือนตนเองจะไม่ถือเป็นคนดีอะไร ทว่าก็บอกไม่ได้ว่าเป็นคนเลว หรือว่าข้าเป็นคนชนชั้นธรรมดา?

ปู้จื้อโหยวยิ้มแล้วเอ่ยว่า “แม้แต่ตัวเจ้าเองยังบอกไม่ได้ว่าตนเองเป็นคนดีหรือคนเลว เรื่องอื่นๆ ย่อมไม่อาจเด็ดขาดจนเกินไป ถ้าไม่มีคนสีเทา จะหลอมยาปราณฟ้าดินห้าธาตุออกมาได้หรือ สิ่งของจำนวนมากล้วนเป็นสิ่งที่โลกเผ่ามนุษย์ไม่มี ดังนั้นการคงอยู่ของคนสีเทาจึงได้รับอนุญาตโดยปริยาย คนสีเทาคือคนค้าขาย ฉากหน้าอาละวาดว่าไม่ถูกกัน ทว่าก็ยังต้องค้าขาย เจ้าสนใจจะไปเป็นคนสีเทาสักครั้งหรือไม่? ถึงอย่างไรเจ้าก็ต้องไปหาวัตถุดิบของยาปราณฟ้าดินห้าธาตุอยู่แล้ว จะได้แวะไปค้าขายหากำไรหลายก้อน”

“เจ้าก็เป็นคนสีเทา?” จินเฟยเหยาเอ่ยถามอย่างสงสัย

“ไม่ ข้าไม่ใช่คนสีเทา” ปู้จื้อโหยวสั่นศีรษะปฏิเสธ “ข้าเพียงแต่ไปโลกเผ่ามารบ่อยๆ จึงค่อนข้างคุ้นเคยกับคนสีเทาเท่านั้น หลักๆ คือข้าไปรวบรวมข่าวที่โลกเผ่ามาร จึงแวะทำการค้านิดหน่อย ข่าวสารบางอย่างก็สามารถขายให้คนเผ่ามารได้”

ได้ยินคำพูดของเขา จินเฟยเหยาตกตะลึงอย่างหนัก “เจ้าหาเงินจากการขายข่าวให้ทั้งสองฝั่ง เจ้าก็เป็นสายลับสองหน้ามิใช่หรือ? คิดไม่ถึงว่าจะไม่มีคนมาหาเรื่องเจ้า อีกทั้งยังทำให้เจ้าอยู่อย่างอิสรเสรีขนาดนี้! เจ้าบอกเรื่องนี้แก่ข้าทำไม หรือคิดจะลากข้าลงน้ำ ข้าจะบอกให้นะ ข้าไม่สนใจเรื่องยุ่งยากประเภทนี้เลยสักนิด”

ปู้จื้อโหยวยักไหล่ให้นางอย่างไม่พอใจ “คนอย่างเจ้าทำไมจึงเป็นแบบนี้นะ ข้าเป็นผู้บำเพ็ญเซียนอิสระ ไม่มีสถานที่ให้กลับที่ต้องใส่ใจ เป้าหมายของข้าคือช่วยคนแก้ไขปัญหา ไม่ใช่สายลับอะไรเสียหน่อย สิ่งที่เชื่อถือได้ที่สุดคือศิลาวิญญาณและวัตถุดิบหายากมิใช่หรือ? ที่จริงบอกเรื่องนี้กับเจ้ามิใช่คิดจะลากเจ้าลงน้ำ ทว่าคนมากมายต่างรู้ว่าข้าทำอาชีพนี้ เจ้ารู้ไปก็ไม่เป็นไร ข้ากำลังคิดจะไปโลกเผ่ามารอยู่พอดี เดินทางคนเดียวน่าเบื่อหน่าย ดังนั้นจึงชวนเจ้าไปด้วย”

“พูดไปพูดมาก็คิดจะลากข้าลงน้ำอยู่ดี คนของทั้งสองฝั่งต่างก็รู้ว่าเจ้าขายข้อมูลของตนเองให้อีกฝ่ายหรือ?” จินเฟยเหยาทำปากยื่นอย่างไม่พอใจ

“ไม่” ปู้จื้อโหยวยิ้มเจ้าเล่ห์เอ่ย “ทั้งสองฝ่ายต่างนึกว่าข้าขายข้อมูลให้ฝ่ายเดียว มีเพียงคนส่วนน้อยที่รู้เรื่องนี้ ล้วนเป็นคนที่มีความเป็นมาใหญ่โตทั้งสิ้น พวกเขาจงใจเปิดเผยข่าวสารที่สำคัญให้ข้าจากนั้นแลกเปลี่ยนกับข่าวสารอื่นๆ เพื่อให้ได้รับข่าวสารที่ต้องการ และมีคนใช้ข่าวสารมาแลกกับสิ่งของที่ต้องการบางอย่างด้วย ต่างฝ่ายต่างก็ได้ในสิ่งที่ต้องการ”

“เจ้านี่เปิดเผยดี คนหนุนหลังเจ้าคงแข็งแกร่งมากสินะ” จินเฟยเหยายิ้มพลางเอ่ย

ปู้จื้อโหยวเองก็ยิ้มเผลอตัว “ยังดี พอถูไถไปได้”

จินเฟยเหยาครุ่นคิด รู้สึกว่าไปโลกเผ่ามารสักรอบก็ไม่เลว ตนเองก็เคยพบเผ่ามารคนหนึ่ง ต่อไปถ้าเขียนบันทึกท่องเที่ยว กลับไม่มีประสบการท่องเที่ยวเผ่ามาร มิทำให้คนรู้สึกว่าตนเองสายตาตื้นเขิน ฝึกบำเพ็ญอยู่แต่ในถ้ำ ไม่น่าสนใจ อีกทั้งคนที่ชื่อปู้จื้อโหยวคนนี้ มีความรู้กว้างขวาง คนหนุนหลังแข็งแกร่ง ติดตามคนเช่นนี้ยังสามารถเพิ่มพูนประสบการณ์ได้

“เจ้าพูดเสียขนาดนี้ ข้าก็ต้องไปเก็บรวบรวมวัตถุดิบของยาปราณฟ้าดินห้าธาตุ จะไปเป็นเพื่อนเจ้าสักครั้งแล้วกัน แต่ระหว่างทางเจ้าต้องสอนข้าเปิดกุญแจวงเวท” จินเฟยเหยาพยักหน้าตกลง

เห็นจินเฟยเหยาตกลง ปู้จื้อโหยวก็ยินดีอย่างยิ่ง เอ่ยด้วยรอยยิ้มเจิดจรัส “วางใจเถอะ ของแบบนี้พอสอนก็ทำเป็น ข้าจะสอนเจ้าระหว่างทาง”

ทางนี้พวกเขาสองคนพูดคุยกันอย่างเบิกบาน ส่วนในตำหนักซวีชิงแห่งสำนักตงอวี้หวงกลับมีบรรยากาศไม่ดีนัก

ไป๋เจี่ยนจู๋ถูกลากกลับสำนักตงอวี้หวง เรื่องของเขายังถูกศิษย์น้องซิ่นเทียนเผยแพร่ออกไป ทั้งสำนักตงอวี้หวงล้วนรู้ว่าเขาลุ่มหลงผู้บำเพ็ญมารคนหนึ่ง ทำให้ศิษย์น้องทุกคนพากันอับอายแทนเขา

ส่วนจู๋ซวีอู๋ผู้อาวุโสของตำหนักซวีชิงผู้เที่ยงตรงกำลังปิดด่านกักตน ไม่ว่างมาหาเรื่องเขาชั่วคราว เนื่องจากเรื่องนี้มีความสำคัญใหญ่หลวง แล้วเขายังไม่ยอมบอกต้นสายปลายเหตุของเรื่องอย่างชัดเจน ไป๋เจี่ยนจู๋จึงถูกอาจารย์ผู้เดือดดาลโยนไปไว้บนยอดเขาให้หันหน้าเข้าหาผนังสำนึกผิด รอหลังจากจู๋ซวีอู๋ออกจากปิดด่านกักตนค่อยไต่สวนเขา

วันนี้ เขาเพิ่งหันหน้าเข้าหาผนังสำนึกผิดหนึ่งเดือนกว่า เฟิงอวิ๋นจู๋พลันปรากฏตัวขึ้นหน้าถ้ำที่เขาถูกกักบริเวณ พูดกับเขาอย่างจริงจังและจริงใจ “ศิษย์น้องไป๋ ซือจู่[1]ออกจากด่านล่วงหน้า ให้ข้าพาเจ้าไป เจ้าทำตัวดีๆ หน่อย”

………………………………………..

[1] ซือจู่ หมายถึง บูรพาจารย์ผู้ก่อตั้งสำนัก หรืออาจารย์ปู่ ในที่นี้จู๋ซวีอู่ก่อตั้งสำนักซวีชิง และเป็นอาจารย์ของอาจารย์พวกไป๋เจี่ยนจู๋