หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online EP.458 – ความหวาดกลัวที่ใกล้เข้ามา
สีหน้าการแสดงออกของกู่ฉิงซานหนักอึ้งอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
อย่างกระทันหัน จู่ๆสถานการณ์ก็แหกโค้งจากในทิศทางที่ดี แปรเปลี่ยนไปเป็นอันตรายและรุนแรงยิ่งกว่าที่คาดการณ์ไว้มากมายนัก
ศัตรูไม่เพียงทราบถึงกลอุบายของเขา แต่ยังเป็นจ้าวแผนการ และมีพื้นฐานวรยุทธที่สูงส่งยิ่ง
แล้วเขาควรทำอย่างไรดี?
กู่ฉิงซานจมลงสู่ความเงียบ ขณะที่กำลังพยายามขบคิดอย่างลึกซึ้ง
ผ่านไปนาน เขาจึงเลือกหยิบใบหยกสองใบขึ้นมา
ณ ขณะนี้ กู่ฉิงวานได้จ่ายแต้มพลังวิญญาณให้แก่ระบบไปเพิ่มอีก 200 แต้ม ดังนั้นแต้มลังวิญญาณคงเหลือของเขาจึงอยู่ที่ 803
และกู่ฉิงซานก็ไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อยที่จะใข้แต้มพลังวิญญาณทั้งหมด ทำการเรียนรู้ใบหยกบันทึกเกี่ยวกับค่ายกลในมือ
กระแสไอร้อนจากใบหยกไหลท่วมเข้ามาภายในร่างกายของกู่ฉิงซาน และมาบรรจบกันที่ทะเลแห่งห้วงสติ
กู่ฉิงซานปิดตาของเขาลง เพื่อทำความเข้าใจถึงความรู้เกี่ยวกับค่ายกลนับไม่ถ้วนที่ไหลผ่านเข้ามาในจิตใจของเขา
เขาค่อยๆทำความเข้าใจอย่างลึกซึ้งเกี่ยวกับค่ายกล
–อารยธรรมในการฝึกยุทธของโลกล่องเวหา ที่โดดเด่นที่สุดก็คงจะไม่พ้นค่ายกล
และการที่เขาสามารถบรรลุมันมาได้จนถึงระดับนี้ ก็กล่าวได้ว่าความรู้ความเข้าใจของเขามันไม่ได้ด้อยไปกว่ากงซุนซีในโลกแห่งผู้ฝึกยุทธแล้ว!
สำหรับในเรื่องค่ายกล กล่าวได้ว่าผู้ฝึกยุทธในโลกใบนี้ได้เชี่ยวชาญมันจนบรรลุถึงขั้นสูงสุด!
ชนิดที่ว่าต่อให้นำความเชี่ยวชาญในด้านค่ายกลของโลกเทวะกับโลกแห่งผู้ฝึกยุทธมามัดรวมกัน มันก็ยังมิอาจเทียบเปรียบกับโลกล่องเวหาได้อยู่ดี
อย่างไรก็ตาม ตัวโลกเทวะเองก็มีข้อดีอยู่เช่นนั้น นั่นก็คือในด้านการหลอมอาวุธ ที่นับว่าโดดเด่นชนิดหาตัวจับได้ยาก ขณะที่ทางโลกแห่งผู้ฝึกยุทธนั้นมีข้อดีในด้านของความอุดมสมบูรณ์ของทรัพยากร กล่าวได้ว่าทั้งสองโลกนี้มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวเป็นของตัวเอง
ภายในระยะเวลาสั้นๆ
กู่ฉิงซานก็ลืมตาขึ้น
ณ ขณะนี้ เขาได้ก้าวขึ้นมาเป็นปรมาจารย์ค่ายกลในระดับมาตรฐานต้นน้ำของโลกใบนี้แล้ว
แม้ว่าขณะนี้ เขาจะสามารถเข้าถึงสถานะหรือตำแหน่งที่คล้ายคลึงกันกับฉีหยานแล้วก็ตามที แต่ก็ยังไม่สามารถถอดรหัสพิกัดของโลกในดิสก์ค่ายกลได้อยู่ดี ทว่าหากจะให้เขาทำการควบคุมค่ายกลส่วนใหญ่ของโลกใบนี้แล้วล่ะก็ มันนับว่าไม่มีปัญหาใดๆ
กู่ฉิงซานเริ่มใช้สมองอีกครั้ง
ไม่มีทางให้ถอยกลับแล้วในตอนนี้ ทุกอย่างจะไม่สามารถล่าช้าได้อีกต่อไป!
อย่างไรก็ตาม ยังมีบางเรื่องที่เขาจะต้องทำความเข้าใจเกี่ยวกับมันให้ชัดเจนเสียก่อน
เขาเอ่ยถาม “ฉินรั่ว ว่านเอ๋อ ช่วงระยะเวลาที่ข้าได้มาถึงและอาศัยอยู่ในโลกใบนี้มันสั้นเกินไป ดังนั้นจึงยังมีบางสิ่งบางอย่างที่ไม่มีเวลามากพอที่จะค้นหาความจริงของมันอยู่ ข้าขอให้เจ้าเอ่ยออกมาด้วยความสัตย์จริง เพราะเรื่องที่ข้ากำลังจะถามต่อไปนี้มันเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องโดยตรงว่าพวกเราจะสามารถเอาชีวิตรอดต่อไปได้หรือไม่”
เมื่อฉินรั่วกับว่านเอ๋อเห็นท่าทีการแสดงออกที่จู่ๆก็เปลี่ยนเป็นร้ายแรงของเขา ทั้งสองก็เริ่มจริงจังขึ้นมาทันที
ฉินรั่วเอ่ยปากอย่างนุ่มนวล “ไม่ว่าจะเป็นเรื่องใด เชิญเจ้าเอ่ยถามออกมาได้เลย ข้าจะให้คำตอบแก่เจ้าอย่างตรงไปตรงมาอย่างแน่นอน”
ว่านเอ๋อก็พูดด้วย “เจ้าได้ช่วยพวกเราเอาไว้ พวกเราเองก็กำลังกังวลอยู่พอดีว่าจะตอบแทนเจ้าอย่างไร ดังนั้น เจ้าถามมาเถอะ ไม่ว่าสิ่งใดข้าก็ยินดีที่จะตอบ”
“มีนิกายใหญ่ นิกายใดที่ได้ทำการฉีกมิติที่ว่างเปล่าหลบหนีออกไป แล้วกลับมาบ้าง?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม
สองสาวพอได้ฟังก็ชะงักงันไป
เพราะคำถามนี้ กระทั่งตัวพวกเธอเองก็ยังไม่เคยคิดถึงมันมาก่อนเลย
หลังจากได้ลองขบคิดเกี่ยวกับมันอย่างถี่ถ้วน ว่านเอ๋อก็เอ่ยปากออกมา “ดูเหมือนว่าจะไม่มีนะ”
“จริงๆน่ะหรือ? เจ้าลองคิดดูอย่างรอบคอบอีกทีจะได้ไหม” กู่ฉิงซานเอ่ยขอ
ฉินรั่วกล่าวอย่างชัดเจน “ข้าค่อนข้างแน่ใจนะว่าไม่มีนิกายใดที่จากไปแล้ว ยังคิดหวนกลับมายังโลกใบนี้อีก”
ฉานนู่อดไม่ได้ที่จะเอ่ยออกมา “ก็ขนาดหนี พวกเขายังต้องเพียรพยายามอย่างยากลำบากเลย หากลองคิดกันตามปกติแล้ว ก็คงไม่มีใครอยากกลับมาอีกครั้งหรอก”
“ตามสามัญสำนึก พวกเขาสมควรที่จะร่อนเร่ไปทั่วทุกหนแห่ง เพื่อตามหาโลกใหม่สินะ” กู่ฉิงซานพยักหน้า
เขายังคงเอ่ยถามต่อ “ถ้าอย่างนั้น ในเมื่อไม่มีนิกายใดกลับมาก็ช่างมัน แล้วหากเป็นผู้ฝึกยุทธรายบุคคลเล่า? พอจะมีผู้ฝึกยุทธคนใดที่กลับมาบ้างหรือไม่?”
“ผู้ฝึกยุทธ … ”
สองสาวใช้สมาธิ จมหายเข้าไปในความคิด
คำถามนี้ของกู่ฉิงซาน ทำให้พวกเธอต้องยกมือขึ้นมาเกาหัว
กู่ฉิงซานยังเตือนอีกด้วยว่า “จะเป็นผู้ฝึกยุทธแบบใดก็ได้ จะขอบเขตวรยุทธสูงส่งหรือต่ำต้อยก็ไม่เป็นไร ตราบใดที่เขาได้กลับมาปรากฏตัวอีกครั้ง ก็สามารถนับได้ว่าพวกเขาได้กลับมาแล้ว”
“เท่าที่ข้าลองนึกดู เหมือนกับว่าจะไม่มีผู้ฝึกยุทธคนใดกลับมาเลยนะ พี่สาว ท่านคิดเห็นว่าอย่างไร?”
ขณะกล่าว ว่านเอ๋อก็หันไปมองฉินรั่วด้วยความไม่มั่นใจ
“หลังจากที่ข้ากับว่านเอ๋อถูกจับตัวมาเป็นเชลยในโลกใบนี้ ข้าก็ไม่เคยเห็นนิกายหรือผู้ฝึกยุทธที่จากไปแล้วกลับมาอีกเลย”
“ประเดี๋ยวก่อน ข้าดูเหมือนจะจำอะไรบางอย่างได้” ว่านเอ๋อขัดขึ้นทันใด
อีกสามคนที่เหลือหันไปมองเธอ
“มีอยู่ครั้งหนึ่งที่ผู้ฝึกยุทธชั้นยอดในขอบเขตลมปราณจิตกล่าวออกมาว่าเขามิได้รู้สึกวางใจที่จะนำพาตลอดทั้งนิกายของตนข้ามผ่านรอยแยกเข้าไปในมิติที่ว่างเปล่า”
“เขาจึงได้ลองพยายามที่บุกเข้าไปในมิติที่ว่างด้วยตัวคนเดียว เพื่อต้องการที่จะสำรวจหาเส้นทางก่อนเป็นอันดับแรก”
“แล้วจากนั้นล่ะ?” กู่ฉิงซานเร่งเอ่ยถาม
“จากนั้นเขาก็ไม่ได้กลับมาอีกเลย และนิกายก็ได้สูญเสียเขาไป จนไม่สามารถต่อกรแข่งขันกับนิกายอื่นได้ และไม่นานก็ถูกทำลายลง” ว่านเอ๋อกล่าว
“ต่อมาก็มีการคาดเดากันว่า หลังจากที่มารโลกาได้มาเยือนแล้ว พื้นที่มิติที่ว่างเปล่าอาจจะเกิดปัญหาขึ้น และส่งผลให้-”
“-เมื่อผู้ฝึกยุทธออกจากโลกใบนี้ เขาจะถูกส่งออกไปยังสถานทีพิเศษอันห่างไกล กล่าวคือไม่สามารถกลับมาได้อีกเลย”
ฉินรั่วกล่าว “ถูกต้องแล้วล่ะ และคำคาดการณ์ในยามนั้นก็เป็นที่เลื่องลือมาก กล่าวได้ว่ามันเป็นคำตอบที่เกือบจะถูกยอมรับกันโดยทั่วไปแล้ว”
“ไม่สิ แบบนั้นมันไม่ถูกต้อง” กู่ฉิงซานเอ่ยด้วยเสียงหม่น
“ตรงส่วนใดกันที่ไม่ถูกต้อง?” ฉินรั่วเอ่ยถาม
“ก็เกือบทั้งหมดนั่นแหละ หากเป็นในกรณีนั้น แล้วเพราะเหตุใดกัน ฉีหยานที่ได้รับพิกัดของโลกเทวะจึงสามารถเดินทางไปกลับได้อย่างเสรี?”
พอได้ฟัง สองสาวก็หันมามองหน้ากันด้วยความตะลึงงัน
เออนั่นสิ ถ้าคนอื่นทำไม่ได้ แล้วเหตุใดฉีหยานจึงทำได้กัน?
หรือว่ามันจะเป็นเพราะเวลาได้ล่วงเลยผ่านไปนานมากแล้ว ที่ผู้คนในโลกใบนี้ไม่ได้ทำการสำรวจโลกใบใหม่ จนอะไรๆมันก็เปลี่ยนแปลงไป
จนผู้คนได้ลืมเลือนวิธีการสร้างค่ายกลเคลื่อนย้ายระหว่างสองโลก?
กู่ฉิงซานกล่าวอย่างช้าๆว่า “ตามปกติ ผู้ฝึกยุทธในโลกใบนี้สมควรที่จะรู้และจดจำพิกัดของโลกตนเองอย่างขึ้นใจ เพราะจะได้ไม่เป็นกังวลในยามที่พวกตนได้บุกเข้าไปในโลกอื่น”
“นอกจากนี้ พวกเขายังถึงขั้นสามารถจัดตั้งชุดค่ายกลขนาดใหญ่ ที่สามารถใช้ส่งทัณ์สายฟ้าลงไปยังมิติที่ว่างเปล่าเพื่อให้ผู้ฝึกยุทธทำการก้าวข้ามผ่านโทษทัณฑ์ และรับส่งพวกเขากลับมาได้อีกด้วย ”
“สรุปได้ว่า เพียงแค่รู้พิกัดของโลกอื่น สิ่งที่ผู้ฝึกยุทธต้องทำ ก็มีเพียงแค่การสร้างค่ายกลเคลื่อนย้ายระหว่างสองโลกก็เท่านั้นเอง”
“หากเป็นในกรณีนั้น หลังจากที่พวกเขาได้ออกไป แน่นอนว่าพวกเขาจะต้องมีพิกัดของโลกใบนี้อยู่กับตัว และจะต้องสามารถกลับมาได้อย่างแน่นอน”
สองสาวถึงกับพูดไม่ออก
แต่ก็นั่นล่ะ ที่พูดไม่ออกมันก็เป็นเพราะว่าทุกถ้อยคำที่กู่ฉิงซานเปล่งออกมา พวกเธอมิอาจหักล้างมันได้เลย
คิ้วของกู่ฉิงซานค่อยๆขยับแน่นเข้าหากัน
การคาดเดาอันน่าหวาดผวา ผุดออกมาอย่างเงียบๆในจิตใจของเขา
คล้ายกับโดนคลื่นลมแรงซัดกระหน่ำเข้าใส่ ในหัวใจของกู่ฉิงซานอดไม่ได้ที่จะเต้นครึกโครม
“ข้าคิดว่าแม้คนส่วนใหญ่จะไม่เต็มใจที่จะกลับมา แต่ก็ย่อมต้องมีผู้ฝึกยุทธบางคนที่ต้องการกลับมาดูสถานการณ์ภายในโลกใบนี้อยู่บ้างอย่างแน่นอน” เขากล่าว
“นายน้อย นี่ท่านกำลังจะหมายความว่าอะไร?” ฉินรั่วพอได้ฟังความคิดเห็นของเขาก็เอ่ยถาม
กู่ฉิงซานส่ายมือของเขาให้อีกฝ่าย แต่มิได้เอ่ยตอบอะไรกลับไป
เขาเลือกที่จะหยิบดิสก์ค่ายกลระดับสูงออกมา
หลังจากนั้นไม่กี่ลมหายใจ เขาก็เริ่มทำการจัดตั้งค่ายกลแยกเสียงขนาดเล็กขึ้นภายในห้องลับ
ซึ่งค่ายกลแบบนี้ มันไม่ได้ยากเย็นอะไรเลยสำหรับเขา
ด้วยค่ายกลนี้ จะทำให้เสียงจากภายในมิอาจถูกส่งผ่านออกไปภายนอกได้
กู่ฉิงซานขบคิด แต่ก็ยังมิได้เอ่ยอะไรออกมา
ถ้าหากว่าการคาดเดานี้ถูกต้องแล้วล่ะก็ ..
มันจะเป็นการดีกว่าหากไม่พูดมันออกมา
เขาจึงส่งเสียงผ่านจิตสัมผัสเทวะ “แต่ละนิกายได้แหวกรอยแยกมิติ แล้วจากโลกใบนี้ไป”
“ข้าคิดว่าบางอย่างในจุดนี้มีปัญหา และมันก็เป็นปัญหาที่น่ากลัวมากเสียด้วย”
จู่ๆเขาก็เริ่มแสดงท่าทีกังวลออกมา
กู่ฉิงซานเดินวนไปวนมาในห้องลับ และค่อยๆเริ่มเดินเร็วขึ้น เร็วขึ้นเรื่อยๆ
ขณะที่สามสาวยังคงยืนนิ่ง เฝ้ามองเขาอย่างเงียบๆ ทั้งหมดไม่ต้องการที่จะขัดจังหวะความคิดของเขา
สักพักหนึ่ง
กู่ฉิงซานก็เอ่ยออกมาทันทีว่า “แบบนี้ท่าไม่ดีแล้ว! พวกเราไม่สามารถเฝ้ารอได้อีกต่อไป จักต้องรีบเดินทางจากไปตอนนี้ในทันที!”
“แต่นายน้อย ท่านได้ให้คำมั่นสาบานต่อสวรรค์แล้ว! ท่านจะต้องสังหารหวังหงษ์เต๋าลงให้ได้เสียก่อน!” ว่านเอ๋อกล่าว
“ยิ่งไปกว่านั้น พวกเราจะไปไหนได้ ในเมื่อยังไม่มีพิกัดโลกใหม่เลย” ฉินรั่วกล่าว
กู่ฉิงซานตัวแข็งค้าง
เนื่องด้วยสิ่งที่น่าสะพรึงกลัวนี้ ทำให้เขาจดจ่ออยู่กับมันและกลายเป็นเร่งร้อน จนลืมเลือนสิ่งที่สำคัญที่สุดไปเสียได้
อาการผิดปกติดังกล่าวดันมาเกิดขึ้นกับกู่ฉิงซาน นี่นับว่าเป็นเรื่องที่หาได้ยากยิ่ง
กู่ฉิงซานถอนหายใจและกล่าวว่า “ขอบเขตลมปรารณจิต … พวกเราคงไม่สามารถต่อกรกับเขาได้”
ฉินรั่วจับมือเขาและเอ่ยอย่างมั่นใจว่า “หากมีเพียงหนทางนี้เท่านั้นที่จะต้องก้าวเดิน ข้าก็ยินดีที่จะร่วมต่อสู้ไปพร้อมกับเจ้า”
“ข้าเองก็ด้วย!‘ ว่านเอ๋อตะโกนเสียงดัง
ฉานนู่แม้มิได้เอ่ยสิ่งใด แต่ก็พยักหน้าว่าเอาด้วยเช่นกัน
“ … ถ้าอย่างนั้นตอนนี้พวกเราจะต้องระดมสมองและคิดหาหนทางที่จะจัดการกับปัญหานี้ซะก่อน” กู่ฉิงซานกล่าว
“แต่หวังหงษ์เต๋าคือผู้ฝึกยุทธลมปราณจิต อ๊า… บางทีกลอุบายใดๆ ยามเมื่ออยู่ต่อหน้าเขามันคงไร้ประโยชน์” ว่านเอ๋อกล่าวอย่างหมดกำลังใจ
กู่ฉิงซานดีดหน้าผากเธอ แล้วหันไปมองฉินรั่ว “เจ้าทั้งสองเป็นถึงผู้ฝึกยุทธชั้นยอดในขอบเขตพันวิบัติ และครั้งหนึ่งก็เคยเป็นตัวตนอันดับต้นๆของโลกเชียวนะ พวกเจ้าก็ลองเสนอวิธีการมาดูบ้างสิ เพราะท้ายที่สุดนี้ มันเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับชีวิตของพวกเราทุกคน”
“ฉานนู่ เจ้าเองก็มีชีวิตอยู่มานานนมจนมิอาจนับปีได้ ดังนั้นเจ้าจึงสมควรที่จะมีประสบการณ์และความรู้มากที่สุด เจ้าก็ต้องช่วยคิดด้วย”
สามหญิงสาวเมื่อได้ยินเขาพูดแบบนั้น ก็เริ่มเค้นสมองของพวกเธอทันที และขบคิดอย่างหนักเกี่ยวกับวิธีการที่จะใช้แก้ปัญหานี้
“ข้าขอแสดงความคิดเห็นว่าพวกเราสมควรที่จะใช้เรือเหาะบินหนีไป” ว่านเอ๋อกล่าว
“การใช้เรือเหาะมิใช่ความคิดที่ดี” ฉินรั่วกล่าวปฏิเสธโดยตรง “ตามสิ่งที่เรารู้มา ผู้ฝึกยุทธขอบเขตลมปราณจิต จะมีความว่องไวในการเคลื่อนที่รวดเร็วยิ่งกว่าเรือเหาะ”
“แต่เรือเหาะสามารถ-” ว่านเอ๋อกำลังจะกล่าว
ทว่ากู่ฉิงซานก็ขัดจังหวะเธอเสียก่อน “เป็นเรือเหาะไม่ได้จริงๆ หากคิดจะใช้วิธีนั้น พวกเราก็จะต้องมีผู้ฝึกยุทธที่อยู่ในระดับเดียวกันกับหวังหงษ์เต๋าเป็นพวก และคอยรับหน้าที่ควบคุมเรือเหาะอยู่ตลอดเวลา ด้วยพลังวิญญาณที่เท่าเทียมกัน หวังหงษ์เต๋าย่อมไม่สามารถไล่ตามมาทันได้”
“ถ้าเช่นนั้น ข้าก็คิดหาวิธีอื่นไม่ได้อีกแล้ว” ว่านเอ๋อก้มหน้าลงและกล่าว
“มันต้องมีหนทางอื่นสิ … ” ฉินรั่วครุ่นคิด
กู่ฉิงซานเฝ้ามองดูเธอ โดยไม่ทำเสียงดังขัดจังหวะความคิดของอีกฝ่าย
ฉินรั่วเป็นผู้ฝึกยุทธหญิงที่ฉลาดมาก บางทีเธออาจจะบังเกิดความคิดที่ทำให้ทุกคนมองเห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ก็ได้
“หวังหงษ์เต๋าเชี่ยวชาญในด้านการวางแผน แต่จากทุกแผนการของเขาที่พวกเราได้รับรู้มานี้ มันบ่งบอกชัดเจนว่าเขาเป็นพวกหวงแหนในชีวิตของตนเองเป็นอย่างยิ่ง” เธอเอ่ย
“ว่าต่อสิ” กู่ฉิงซานกล่าว
ฉินรั่วนิ่งคิดสักพัก และเริ่มพูดต่อว่า “พวกเราอาจจะต้องพยายามค้นหาวิธีแก้ อย่างเช่นการลดระดับเกาะลอยฟ้าลง ให้เข้าไปใกล้ชิดกับอาณาเขตของมารโลกาสักเล็กน้อย บางทีหากทำเช่นนั้น หวังหงษ์เต๋าก็อาจจะหวาดกลัว และไม่กล้าที่จะกลับมาที่เกาะแห่งนี้ก็เป็นได้”
กู่ฉิงซานอดไม่ได้ที่จะเอามือกุมหน้าผาก และเอ่ยอะไรไม่ออกไปสักพัก
“ใช่สิ เขาจะไม่กลับมาที่เกาะหรอก แต่จะทำตรงกันข้าม โดยการแค่ผลักมันเบาๆลงไปหามารโลกาเลยต่างหาก-” ฉานนู่เอ่ยเสียงกระซิบ
ฉินรั่วพอได้ยินก็หน้าแดงขึ้นมาทันที ดูเหมือนว่าเธอจะเขินที่ดันแนะนำความคิดไม่เข้าท่าออกมา
“ฉานนู่ แล้วเจ้าเล่าคิดเห็นเช่นไร?” กู่ฉิงซานเอ่ยถามอีกครั้ง
“นายน้อย ข้าได้ลองขบคิดอย่างจริงจังมาสักครู่หนึ่งแล้ว” ฉานนู่กล่าว
“แล้วเป็นยังไง? ไหนลองว่ากลยุทธ์ที่เจ้าคิดได้มาดูซิ”
อย่างไรก็ตาม ฉานนู่กลับเบี่ยงประเด็นออกไป และเอ่ยถามด้วยความเคารพลึก “นายน้อย ท่านคิดว่าบทบาทหน้าที่ของดาบคืออะไร?”
“ตัดสะบั้นใช่หรือไม่?”
“ใช่ ดังนั้นแล้ว นั่นหมายความว่าในเรื่องใช้หัวคิด มันไม่ใช่หน้าที่ของข้า”
“ก็ได้ๆ เข้าใจแล้ว …”
กู่ฉิงซานถอนหายใจ
ดูเหมือนว่าการระดมสมองในครั้งนี้ เขาจะไม่ได้อะไรเพิ่มเติมเท่าไหร่เลย
แต่แล้วฉินรั่วก็เอ่ยถามขึ้นทันใด “นายน้อย แล้วท่านเล่ามีความคิดอะไรดีๆบ้างหรือไม่?”
กู่ฉิงซานคิด แล้วลังเลอยู่สักพักก่อนจะเอ่ยออกไป “ความคิดของข้ามันไม่ค่อยจะดีเท่าใดนัก ดังนั้นข้าจึงต้องการฟังมุมมองความคิดของพวกเจ้าก่อนเป็นอันดับแรก ว่ามันจะสามารถนำมาทดแทนความคิดของข้าได้หรือไม่”
“ความคิดอันใดกัน? พอจะลองอธิบายให้ฟังจะได้หรือไม่?” ว่านเอ๋อเอ่ยถามด้วยความสนใจ
แล้วกู่ฉิงซานก็เฉลยออกไปเพียงไม่กี่คำ
แต่มันกลับทำให้สามสาวนิ่งงัน เงียบไปสักพักเลยทีเดียว
หลังจากนั้นผ่านไปครู่หนึ่ง ฉินรั่วก็ได้สติกลับคืน ปากเอ่ยกล่าวว่า “นายน้อยนี่ท่าน … ไม่น่าจะใช่คนที่คิดอะไรแบบนี้เลย”
ขณะที่ว่านเอ๋อจ้องมองเขา ปากขยับงึมงำ “นี่เจ้า ไม่มีความคิดที่มันดีกว่าความคิดโง่ๆนี่อีกแล้วหรือ?”