บทที่ 183
การปฏิเสธของท่านประมุขหอ
เจียงหวายเย่ไม่ได้พูดอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่หากพวกเขาไม่ได้ตาบอด พวกเขาก็จะเห็นว่าท่านประมุขหอนั้นรู้สึกไม่ยินดีอย่างมาก ถึงแม้ว่าพวกเขาจะกลัว แต่พอนึกถึงนิสัยของลูกสาวของพ่อบ้านฮัวแล้ว พวกเขาต่างก็คิดว่าคุ้มค่าที่จะเสี่ยง
มองไปที่ตาและจมูกจนไปถึงหัวใจของผู้อาวุโสเหล่านี้แล้ว เขาก็ได้กระแอมขึ้นมา “เราประมุขหอนั้นไปไหนมาอยู่ตลอด พวกเจ้าคิดจะให้เราพาเด็กสาวที่ปกป้องตัวเองได้ไปกับเราด้วยจริงๆเหรอ?”
ถึงแม้ว่าเหล่าหัวหน้าตึกเหล่านี้จะรู้สึกละอายแก่ใจ แต่เพื่อความสงบสุขของหอพันกลแล้ว เหล่าหัวหน้าตึกเหล่านี้ก็ได้พากันกล่าวร่วมกัน “หากว่านางอยู่เคียงข้างท่านประมุขหอแล้ว ไม่ว่านางนั้นจะได้ประสบการณ์มากเพียงใด ท่านประมุขหอก็จะต้องปกป้องนางเอาไว้ได้อย่างแน่นอน”
“ดูเหมือนว่าพวกเจ้าจะมุ่งมั่นเสียเหลือเกินนะที่จะมอบนางให้กับเรา พวกเจ้าไม่กลัวบ้างเหรอว่าเราอาจจะจับโยนนางทิ้งเอาไว้ที่ไหนสักแห่งก็ได้น่ะ?”
เจียงหวายเย่กล่าวด้วยน้ำเสียงที่เยือกเย็น แต่หาไม่ได้มีความล้อเล่นเจือปนอยู่เลยแม้แต่น้อย เหล่าหัวหน้าตึกต่างก็รู้สึกชะงักไปพักหนึ่งก่อนที่จะผงกหัวอย่างรวดเร็ว “ตราบเท่าที่นางไม่ตายก็ได้ขอรับ”
หลินซีเหยียนที่ได้ฟังบทสนทนาของพวกเขาแล้ว หลินซีเหยียนก็ได้รู้สึกนึกอยากที่จะพบหญิงสาวที่ถูกทิ้งโดยทุกคนขึ้นมา ต้องเป็นคนแบบไหนกันถึงได้ทำให้ผู้คนรู้สึกไม่ชอบหน้าได้มากขนาดนี้
เมื่อทั้งคู่ได้ขึ้นบนรถม้า เจียงหวายเย่กับหลินซีเหยียนก็ได้จ้องหน้ากัน แต่ไม่นานนักทั้งคู่ก็ได้หันหน้าหลบ เพราะในเวลานี้จู่ๆมีเสียงอันน่าหลงใหลที่คุ้นหูดังออกมาจากข้างนอกรถ
“นี่น้องชาย เจ้าจะให้คนสวยอย่างข้าขี่ม้าจริงๆเหรอ ต้องมาโดนลม, โดนแดด, โดนฝนแบบนี้ ผิวสวยๆของข้าก็เสียหมดน่ะสิ!”
คนที่นางคนนั้นพูดด้วยก็คือเชียนอี้จากหน่วยพันกล เชียนอี้นั้นเป็นหัวหน้าหน่วยพันกล และเพราะว่าเขานั้นได้สังหารคนมามากมายแล้ว ต่อให้เขาไม่พูดอะไร ร่างกายของเขาก็ยังแผ่จิตสังหารออกมาได้อยู่ดี
แต่หญิงสาวที่พูดอยู่ตรงหน้าเขานั้นกลับไม่กลัวเขาเลยแม้แต่น้อย และยังสร้างปัญหาให้เชียนอี้อีกต่างหาก
ถึงแม้ว่าเชียนอี้นั้นมักจะคอยติดตามเจียงหวายเย่เพื่อทำหน้าที่คุ้มกันอยู่ตลอด แต่เขาก็พอจะได้ยินเรื่องของลูกสาวพ่อบ้านฮัวที่ชื่อฮัวหย่าอยู่บ้าง เขาได้ยินมาว่านางนั้นเคยป่วยหนักตอนยังเด็ก เลยทำให้สมองของนางมีอาการผิดปกติไป และทำให้นางชอบเข้าไปพูดคุยกับคนหน้าตาดีอยู่ตลอด
เดิมทีเขานั้นก็อยากจะเมินนาง แต่ก็กลัวว่าด้วยนิสัยของฮัวหย่าแล้วนางอาจจะเข้าไปรบกวนการพักผ่อนของนายท่านได้ เขาจึงได้กล่าวเสียงแข็ง “เป็นเพราะเห็นแก่หน้าพ่อบ้านฮัวหรอกนะ ถึงได้อนุญาตให้เจ้าขี่ม้าได้น่ะ”
ยิ่งไปกว่านั้นรถม้าก็ได้เตรียมไว้คันเดียว ซึ่งมีไว้สำหรับนายท่านกับพระชายา
แต่ฮัวหย่ากลับไม่สนใจ นางแสดงออกอย่างชัดเจนว่านางนั้นไม่เชื่อที่เชียนอี้พูดแล้วรีบกล่าวออกมา “พ่อบ้านฮัวนั้นเป็นถึงท่านพ่อของข้า ทำไมท่านถึงต้องทำให้ข้าลำบากด้วยล่ะ”
เชียนอี้ก็ได้หันหน้าหนีทันที โดยที่ไม่มองไปที่นางหรือพูดตอบอะไรนางอีก
ฮัวหย่านั้นแม้จะถูกเมินแต่ก็ไม่ได้ทำให้นางหวาดกลัวเลยแม้แต่น้อย กลับกันนางก็ได้ยักคิ้วขึ้นมาแล้วกล่าว “ฮึ่ม เมินข้าก็ไม่เป็นไร ข้าไปหาที่เหมาะๆเองก็ได้”
พูดจบฮัวหย่าก็ได้มุ่งไปที่รถม้า เชียนอี้ที่หันมาเห็นเข้าก็ได้รีบลงจากแล้วรีบที่จะมาหยุดนาง แต่ด้วยฮัวหย่าที่หน้ามึนโดยพื้นฐานนั้นก็ได้วิ่งไปถึงรถม้าเรียบร้อยแล้ว
ในตอนที่มีเสียงเอะอะดังมาจากข้างนอกนั้น ก็ได้ดึงดูดความสนใจของเจียงหวายเย่และหลินซีเหยียนด้วย หลังจากที่นางได้บุกเข้ามายังรถม้า เจียงหวายเย่ก็ได้เขย่ารถม้าด้วยกำลังภายในของเขา เพราะเจียงหวายเย่นั้นรู้ดีว่าคนที่กำลังจะมานั้น คือหญิงสาวที่ดื้อรั้นเมื่อคืนนี้
ไม่เพียงแค่เขา แต่หลินซีเหยียนเองก็รู้เช่นกัน ซึ่งทำให้นางถึงกับต้องบิดริมฝีปากของนาง
ส่วนฮัวหย่าที่ตกลงไปที่พื้น ก็ได้ลุกขึ้นยืนแล้วปัดฝุ่นที่ก้นของนาง แล้วจากนั้นก็กะพริบตาให้แล้วกล่าวอย่างอ่อนโยน “ขอบคุณคุณชายที่ช่วยข้าเมื่อคืนด้วยนะเจ้าคะ ซึ่งข้าเองก็ไม่เข้าว่าทำไมทำพ่อถึงได้ให้ข้าตามท่านมาด้วยเช่นนี้ หรืออาจจะเป็นเพราะคุณชายเปลี่ยนใจแล้วตกลงที่จะรับข้อเสนอของข้าแล้วใช่ไหมเจ้าคะ?”
สีหน้าของเจียงหวายเย่ก็ได้มืดดำทันทีและไม่ตอบอะไร
เชียนอี้ที่รู้ได้ถึงความไม่พอใจของนายท่านของเขา จึงได้รีบวิ่งไปหาแล้วทำท่าคารวะแล้วกล่าว “มันเป็นความผิดของข้าน้อยเองที่ดูแลไม่ดี ที่ปล่อยให้แม่นางฮัวไปรบกวนท่านประมุขหอ ขอให้ท่านได้โปรดให้อภัยนางด้วย ข้าน้อยจีบพานางไปเดี๋ยวนี้ขอรับ”
ในขณะที่พูดอยู่ฮัวหย่าก็ได้ถูกปิดปากแล้วลากออกไป
เมื่อรู้สึกได้ว่าบรรยากาศเงียบลงแล้ว เจียงหวายเย่ก็ได้เริ่มหลับตาแล้วสงบอารมณ์ลง
หลินซีเหยียนก็ได้มองไปที่เจียงหวายเย่ที่พยายามสงบสติอารมณ์นั้น เมื่อนางคิดว่าเจียงหวายเย่นั้นโมโหเพราะเรื่องเมื่อสักครู่แล้ว นางก็ได้รู้สึกสนใจขึ้นมา
แล้วรถม้าก็ได้เริ่มเคลื่อนไปอย่างช้าๆ แล้วพอผ่านไปได้ครึ่งวัน หลินซีเหยียนก็ได้เริ่มรู้สึกง่วงเหงาหาวนอนขึ้นมา ในขณะที่เจียงหวายที่หลับตาพักผ่อนอยู่นั้นก็ได้ลืมตาขึ้นมาเมื่อไรไม่รู้ แล้วดวงตาสีดำคู่นั้นก็ได้จับจ้องไปที่หลินซีเหยียนอย่างจริงจัง
รถม้านั้นก็ได้วิ่งไปตามถนนที่ขรุขระทำให้รถเกิดการสั่นสะเทือนอย่างมาก เมื่อเห็นว่าหลินซีเหยียนคิ้วขมวดที่ดูหลับไม่สบายแล้ว เจียงหวายเย่ก็ได้เอนตัวมาหาเพื่อให้หัว หลินซีเหยียนมาอิงกับไหล่ของเขา
ซึ่งไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไร รถม้าก็ได้หยุดวิ่งแล้วเชียนอี้ก็ได้เดินมาหาแล้วกล่าวพร้อมทำท่าคารวะ “ที่นี่มีโรงเตี๊ยมอยู่ ไม่ทราบว่าท่านประมุขหอจะเข้าพักที่นี่ไหมขอรับ?”
หลินซีเหยียนที่ดูเหมือนจะตื่นอย่างสะลึมสะลือเพราะเสียงของเชียนอี้นั้น เจียงหวายเย่ที่เห็นเช่นนั้นจึงรู้ว่า หลินซีเหยียนนั้นคงจะเหนื่อยแล้ว เขาจึงได้กล่าวด้วยเสียงทุ้มต่ำ “เข้าพักที่นี่เถอะ!”
จากนั้นโดยที่ไม่รอให้หลินซีเหยียนได้ตื่นเต็มที่ เจียงหวายเย่ก็ได้อุ้มพานางลงมาจากรถม้า
ถูกอุ้มโดยท่าเจ้าหญิงต่อหน้าทุกคนนั้น ถ้าหาก หลินซีเหยียนไม่หลับอยู่ก็คงจะดูแปลกๆ เมื่อรู้สึกได้ถึงสายตาคนรอบด้านแล้ว นางจึงได้ตัดสินใจแกล้งทำเป็นหลับต่อ!
เจียงหวายเย่ที่พบว่าคนในอ้อมแขนของเขานั้นกำลังแกล้งทำเป็นหลับอยู่ จึงได้มีรอยยิ้มเล็กๆที่มุมปากของเขาแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา
หลังจากที่เชียงอี้ทำการเข้าพักเรียบร้อย เจียงหวายเย่ก็ได้อุ้มนางขึ้นชั้นบน ซึ่งทันทีที่ทั้งคู่ถึงหน้าห้อง หลินซีเหยียนก็ได้ทำทีเหมือนกับว่าเพิ่งตื่น
“ท่านประมุขหอ ปล่อยข้าได้แล้วล่ะ!”
เจียงหวายเย่จึงได้วางนางลงแล้วมองไปที่นางด้วยรอยยิ้มในดวงตาของเขา ราวกับกำลังสงสัยว่านางนั้นจะทำเช่นไรต่อ
หลินซีเหยียนที่รู้สึกได้ถึงความไม่ชอบมาพากลเมื่อเขาจ้องมาที่นาง นางจึงได้กัดฟันแล้วฝืนถามไป “ท่านประมุขหอ แล้วห้องของข้าอยู่ที่ไหน?
เจียงหวายเย่จึงได้คว้ามือของนางแล้วดึงหลินซีเหยียนเข้ามาในห้องหมายเลข 1 แล้วก็มีเสียงที่เยือกเย็นเช่นเคยดังเข้ามาในหูของนาง “นี่ที่มีห้องพักเหลือไม่มากนัก เปิ่นหวางจึงได้จองห้องพักของแม่นางหลินอยู่ร่วมกับเปิ่นหวาง”
หลินซีเหยียนก็ได้จ้องมาราวกับพยายามจะพูดอะไรบางอย่าง แต่นางก็ไม่ได้พูดออกมา
เมื่อเห็นหลินซีเหยียนที่ยังยืนอยู่ที่หน้าประตู และไม่ขยับอยู่พักใหญ่ เจียงหวายเย่จึงได้คิดว่าอีกฝ่ายนั้นคงไม่อยากที่จะอยู่ร่วมห้องเดียวกับตัวเขา ทำให้เกิดความเย็นยะเยือกขึ้นมาในดวงตาของเขา “ไม่ต้องกังวลหรอก เปิ่นหวางไม่ทำอะไรเจ้าหรอก”
แล้วจากนั้นเขาก็ได้เดินออกไปจากห้อง หลินซีเหยียนนั้นแค่อยากจะอธิบายว่า พอนางพบว่าในห้องนั้นมีเตียงอยู่เพียงเตียงเดียว แต่นางก็รู้สึกอายเกินกว่าที่จะพูดออกไป
แต่พอมองดูคนที่จากไปอย่างฉุนเฉียวแล้ว นางก็ได้เอามือลูกจมูกของนางแล้วตัดสินใจที่จะลงไปข้างล่างเพื่อถามว่ามีห้องอื่นเหลือหรือไม่ ต่อให้เป็นห้องเก็บฟืนนางก็ไม่เกี่ยง
เดิมทีนางคิดว่าที่บอกว่าโรงเตี๊ยมไม่มีห้องพักเหลือนั้นเป็นเพียงข้ออ้างของเจียงหวายเย่ แต่นางไม่คิดว่าจะเป็นเรื่องจริง
แล้วเถ้าแก่โรงเตี๊ยมที่มีสีหน้าย่นยู่ยี่แต่ยังมีรอยยิ้มปรากฏตรงหน้านางแล้วกล่าว “ข้าขออภัยแม่นางด้วย เพราะว่ามีงานเทศกาลบุปผาสะพรั่งจัดใกล้ๆกับหวายซาง จึงได้มีผู้คนมากมายแห่กันมาที่นี่เพื่อมางานนั้น แล้วในละแวกนี้มีโรงเตี๊ยมแค่ที่นี่ที่เดียว จึงได้ไม่มีห้องว่างๆเหลือจริงๆ แม้แต่ห้องเก็บฟืนก็ยังมีคนเช่าไปแล้วเลยขอรับ”