ตอนที่ 110: การเดินทางสู่เทือกเขาสัตว์อสูร
” ตั้งรับได้ดีมาก ! ” ชายวัยกลางคนอายุ 40 ปีตะโกน ในขณะที่กวัดแกว่งอาวุธเซียนของเขาโดยไม่มีร่องรอยของความกลัวแม้แต่น้อย ใบหน้าของเขาก็ขึงขังขึ้นขณะที่เขาพยายามฟันเจี้ยนเฉิน
” ปัง, ปัง, ปัง !”
ตรอกซอยที่เงียบสงบก่อนหน้านี้ก็ดังขึ้นพร้อมกับเสียงของอาวุธเซียนที่ปะทะกันในขณะที่เจี้ยนเฉินและชายวัยกลางคนยังคงต่อสู้กันอย่างดุเดือด แม้ว่าเขาจะเป็นเซียนระดับสูงขั้นกลางที่กำลังต่อสู้กับเซียนผู้เชี่ยวชาญระดับกลาง แต่เขาก็ยังไม่ได้ตกเป็นรองแม้จะเป็นการต่อสู้ที่รุนแรง
เจี้ยนเฉินว่องไวเป็นพิเศษในขณะที่เขาเคลื่อนไหวไปรอบ ๆ คู่ต่อสู้เหมือนปีศาจ กระบี่วายุโปรยในมือของเขาพุ่งเข้าหากล่องเสียงของชายคนนั้นอย่างไม่หยุดยั้งและทุกครั้งขวานของชายคนนั้นก็เข้ามาปิดกั้นการโจมตี ตั้งแต่เริ่มต้น การโจมตีของเจี้ยนเฉินก็เหมือนกับพายุคลื่นที่แทบไม่เหลือโอกาสให้ชายคนนั้นตอบโต้ แต่พายุคลื่นก็ค่อย ๆ พัฒนาจนกลายเป็นพายุกระบี่ที่รุนแรงที่ทำให้ชายคนนั้นไม่มีโอกาสตอบโต้
พูดให้ถูกกว่านั้นก็คือ ไม่ใช่ว่าชายคนนั้นไม่สามารถตอบโต้ได้ ในความเป็นจริงก็คือถ้าเขาพยายามที่จะโต้กลับ เขาก็กลัวว่าเขาจะโจมตีพลาดและกระบี่จะทะลุผ่านลำคอของเขาเอง
หน้าผากของชายคนนั้นเต็มไปด้วยเหงื่อขณะที่เขายังต่อสู้อยู่ เขาไม่คิดว่าเด็กหนุ่มอายุ 20 ปีที่ดูเหมือนว่าจะมีความแข็งแกร่งเป็นเซียนขั้นกลาง ไม่เพียงแต่เขาจะหลบการตีอย่างหวุดหวิด แต่สิ่งที่ทำให้ผู้ชายกลัวที่สุดคือการใช้กระบี่ของเด็กหนุ่มคนนี้รวดเร็วเกินไป ทุกคนยังประหลาดใจกับจำนวนครั้งที่เขาสามารถโจมตีได้อย่างน่ากลัวเช่นกัน
ตอนนี้ในใจของชายวัยกลางคนที่อายุ 40 ปีเต็มไปด้วยความโศกเศร้า ถ้าเขารู้เรื่องพลังของเจี้ยนเฉินมาก่อน เขาจะไม่มาลองปล้นเจี้ยนเฉิน
ที่ด้านข้างของตรอก คนอื่นจ้องมองการต่อสู้ที่ดุเดือดระหว่างเจี้ยนเฉินและเจ้านายของพวกเขา เช่นเดียวกับคนอื่น ๆ ไม่มีใครคิดว่าเจี้ยนเฉินคนที่ดูอ่อนวัยกว่าพวกเขามาก จะสามารถต่อสู้กับหัวหน้าของพวกเขาได้ในแง่ของความแข็งแกร่ง แม้จะมีคนเป็นโหล แต่เมื่อพวกเขาดูการต่อสู้ครั้งนี้ ทุกคนก็รู้ว่าพวกเขาจะไม่สามารถเข้าร่วมได้ หากพวกเขาเข้าไปสุ่มสี่สุ่มห้า สิ่งที่จะได้รับก็คือความตายที่ไร้ประโยชน์ แม้ว่าพวกเขาจะมีเซียนระดับสูง 3 คน แต่แม้จะมีความแข็งแกร่งของเซียนระดับสูง แต่พวกเขาก็รู้ตัวว่าเจ้านายของพวกเขาอยู่ในสถานะเสียเปรียบเพราะพลังของเจี้ยนเฉิน เนื่องจากเขาทำได้เพียงรับมือในตอนนี้ อาจกล่าวได้ว่าเจ้านายของพวกเขาอาจถูกปลิดชีพได้ตลอดเวลา แม้ว่าพวกเขาจะเข้าไปช่วยมันก็จะไม่มีประโยชน์อะไร พวกเขาทุกคนรู้ว่าความตายจะเป็นสิ่งเดียวที่รอคอยพวกเขา เพราะพวกเขารู้ว่าความเร็วของพวกเขานั้นไม่เพียงพอที่จะหลบดาบสายฟ้าอันรวดเร็วของเจี้ยนเฉิน
เจี้ยนเฉินและชายวัยกลางคนเริ่มต่อสู้กันอีกครั้ง แต่ชายวัยกลางคนยังอยู่ในตำแหน่งที่ไม่ดี เจี้ยนเฉินจ้องชายคนนั้นอย่างไม่สะทกสะท้านขณะที่แขนขวาของเขาพุ่งออกไปเปลี่ยนกระบี่วายุโปรยเป็นแสงสีเงินที่พุ่งเข้าหาลำคอของผู้ชายอีกครั้ง ในพริบตา กระบี่พุ่งเข้าหาคอของชายคนนั้น – ในการต่อสู้ของพวกเขาจนถึงตอนนี้ มันเป็นจังหวะการใช้กระบี่ที่เร็วที่สุดที่เขาแสดง
ใบหน้าของชายวัยกลางคนไร้สีเลือดอย่างน่ากลัว กระบี่ที่เร็วดุจสายฟ้าทำให้เขาสูญเสียโอกาสในการหลบหลีกหรือขัดขวางการเคลื่อนไหวนี้ ในสายตาของชายวัยกลางคนอายุ 40 ปี กระบี่เล่มนี้มีความเร็วเกินความหมาย และคนอย่างเขาคงไม่สามารถหลบมันได้อีกต่อไป
ใบหน้าของชายนั้นซีดเซียวทันที แต่ในขณะที่การตายของเขากำลังจะย่างเข้ามา กระบี่ก็มาถึงผิวของลำคอของเขาและหยุดอยู่แค่นั้น ในช่วงเวลาที่สำคัญเช่นนี้กระบี่วายุโปรยได้หยุดพลัง ปล่อยให้เพียงปลายของใบมีดแตะที่คอของชายคนนั้น
แม้ปลายกระบี่วายุโปรยจะหยุดอยู่ที่ผิวลำคอของเขา แต่ทันใดนั้นชายก็รู้สึกว่ามันหายใจลำบากมาก ในเวลาเดียวกันเขารู้สึกถึงความเจ็บปวดที่แหลมคมมากจากปลายกระบี่สัมผัสกับคอของเขา ราวกับว่ากระบี่แทงคอของเขาทะลุไปแล้ว
ชายวัยกลางคนยืนตาเหลือกตาพองอยู่ที่เดิม เมื่อมาถึงจุดนี้เขากลัวไม่กล้าที่จะเคลื่อนไหว เขากลัวว่าถ้าเขาขยับแม้แต่เพียงนิดเดียว เจี้ยนเฉินก็จะใช้กระบี่แทงคอของเขาในทันที ดังนั้นในตอนนี้ใบหน้าของชายผู้นั้นจึงเปียกโชกไปด้วยเหงื่อเย็น
” ท่าน .. ท่าน.. จอมยุทธ์..ได้โปรด..โปรดไว้ชีวิตข้าด้วย ! .. ต่อไปคนที่ต่ำต้อยคนนี้จะไม่รังควานท่านอีกต่อไป ! ” คำพูดของชายนั้นเต็มไปด้วยความหวาดกลัว เขาไม่กล้าจะพูดออกมาจนแต่ละคำเป็นคำพูดติดอ่าง ตอนนี้ชีวิตของเขาอยู่ภายใต้ความเมตตาของเจี้ยนเฉิน ดังนั้นความคิดที่จะไม่ยอมก้มหัวให้กับคนที่เด็กกว่าอย่างเจี้ยนเฉินจึงไม่ใช่ปัญหาสำหรับเขา สำหรับเขาตราบใดที่เขาสามารถรักษาชีวิตของตัวเองไว้ได้ แม้แต่การคุกเข่าอ้อนวอนต่อเจี้ยนเฉินก็ไม่ใช่งานที่เป็นไปไม่ได้
เจี้ยนเฉินจ้องชายวัยกลางคนด้วยการหัวเราะเยาะ เขาดึงกระบี่ของเขากลับมาอย่างช้า ๆ และพูดอย่างไร้อารมณ์ว่า “วันนี้ข้าอารมณ์ดี ข้าจึงไม่มีความปรารถนาที่จะฆ่าใคร เจ้าควรประพฤติตัวให้ดีในอนาคตและอย่าให้ข้าจับได้ว่าเจ้าทำอะไรแบบนี้อีก เทือกเขาสัตว์อสูรนั้นอยู่ใกล้นิดเดียว และความแข็งแกร่งของเจ้าก็เพียงพอที่จะล่าสัตว์อสูรระดับต่ำ เจ้าก็น่าจะสามารถสร้างรายได้ให้กับตัวเองได้” หลังจากพูดจบ เจี้ยนเฉินก็ออกจากตรอก
“ใช่แล้ว เราจะทำตามคำสั่งของท่านจอมยุทธ์ เราจะไม่ทำแบบนี้อีก” ชายวัยกลางคนพูดอย่างตื่นตระหนก ราวกับว่าชายคนนี้ปฏิบัติตามคำสั่งของเจี้ยนเฉินอย่างว่านอนสอนง่าย
ในขณะที่เงาของเจี้ยนเฉินออกจากตรอกซอย ชายวัยกลางคนปล่อยลมหายใจยาว ๆ และเช็ดหน้าผากให้สะอาดจากเหงื่อที่ไหลชุ่มโชก เมื่อคิดย้อนกลับไปถึงการต่อสู้เพื่อชีวิตหรือความตาย ชายผู้นั้นก็หวาดกลัวอย่างมาก ในช่วงเวลาที่ผ่านมาทั้งชีวิตของเขาถูกแขวนไว้บนเส้นด้ายพร้อมที่จะถูกตัดออก
……..
เจี้ยนเฉินออกจากตรอกซอยกลับไปที่ถนนที่วุ่นวายก่อนที่จะเดินเข้าไปในโรงเตี๊ยมใกล้เคียง ในตอนกลางคืนเจี้ยนเฉินนั่งลงบนเตียงของเขาและเริ่มศึกษาหินสีขาวที่เขาครอบครอง
“ของสิ่งนี้มันคืออะไร? มันดูเหมือนว่าเป็นหิน แต่ภายนอกนั้นไม่เหมือนหินเลย สามารถพูดได้ว่ามันทำจากเหล็ก แต่ในเวลาเดียวกันก็ไม่มีใครสามารถพูดได้เช่นนั้น” เจี้ยนเฉินมองก้อนหินสีขาวในมือ เขาเต็มไปด้วยความสงสัยและความวิตกกังวล
จากจุดเริ่มต้นเป็นเพราะแสงสีฟ้าและสีม่วงในจุดตันเถียนที่ทำให้เขาสนใจในหินสีขาว ในตอนแรกมันเป็นแสงสีฟ้าและสีม่วงซึ่งในตอนแรกมันเริ่มรู้สึกมีความสุขและตื่นเต้น แต่ไม่นานหลังจากที่เขาซื้อหินสีขาวมาแล้ว จุดตันเถียนเขาก็กลับคืนสู่สภาพที่เงียบสงบอีกครั้ง แม้ว่าจะมีหินสีขาวในฝ่ามือแต่มันก็ไม่ได้ดึงดูดความสนใจจากแสงทั้งสอง
เจี้ยนเฉินเองก็ไม่เข้าใจประวัติที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังหินสีขาวนี้แม้แต่น้อย แม้ว่าเขาจะมีหอหนังสือที่กว้างขวางจากสำนักคากัตเป็นแหล่งความรู้ แต่เขาก็ยังไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับมันแม้แต่น้อย
เจี้ยนเฉินยังศึกษาหินสีขาวต่อไปตลอดทั้งวัน นอกเหนือจากการรู้ว่าหินก้อนนี้แข็งเป็นพิเศษ ไม่มีข้อมูลอื่นใดที่เขาสามารถรวบรวมได้จากมัน ไม่ว่าเขาจะใช้น้ำต้มหรือไฟเผามัน หินสีขาวไม่มีปฏิกิริยาหรือการเปลี่ยนแปลงเลย เมื่อไม่มีตัวเลือกอื่น เจี้ยนเฉินก็ยัดหินสีขาวกลับเข้าไปในเข็มขัดมิติ
เมื่อเห็นแสงไฟในจุดตันเถียนอีกครั้ง เขาสังเกตเห็นว่ามันสงบสุขอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน มันไม่แสดงความตื่นเต้นเหมือนในวันก่อน ในขณะที่แสงทั้งสองอยู่ในพื้นที่จุดตันเถียนของตัวเขาเอง เขาก็ไม่สามารถทำอะไรเกี่ยวกับทั้งสองได้อย่างสมบูรณ์ เขาไม่สามารถเข้าใกล้กับจุดตันเถียนได้และได้แต่สังเกตสิ่งลึกลับเหล่านี้จากระยะไกล หากเขาเข้าไปใกล้ เขาจะได้เจอกับการตอบโต้ที่แข็งแกร่งซึ่งเขาคงไม่สามารถผ่านไปได้ ดังนั้นด้วยเหตุผลดังกล่าวเจี้ยนเฉินจึงตัดสินใจว่าการพยายามเข้าใกล้แสงทั้งสองในจุดตันเถียนของเขาจะเป็นการกระทำที่ต้องห้าม
เห้อ ! เจี้ยนเฉินถอนหายใจ เมื่อเขามาถึงข้อสรุปนี้ เขาไม่รู้ว่านี่เป็นคำอวยพรหรือคำสาป
คืนนั้นเป็นคืนแรกที่เจี้ยนเฉินไม่ได้ทำการบ่มเพาะ เขานอนบนเตียงแทน เป็นครั้งแรกในรอบ 3 เดือนนับตั้งแต่เขาออกจากอาณาจักรเกอซุน นี่เป็นคืนแรกที่เขาสามารถหลับได้
การนอนหลับเป็นวิธีที่ดีในการฟื้นฟูจิตวิญญาณของเขา และด้วยจิตวิญญาณมหาศาล หากเขาต้องงดการใช้จิตวิญญาณกระบี่หรือควบคุมพลังเซียน ก็เป็นไปได้ที่เขาจะทำงานสักสองสามวันโดยไม่ต้องนอน ไม่เพียงเท่านั้น แต่ถ้าเขาต้องบ่มเพาะ จิตวิญญาณของเขาก็จะหายดี ดังนั้นด้วยเหตุผลนั้น เจี้ยนเฉินจึงไม่ได้นอนเลยเพราะเขาไม่จำเป็นต้องนอน
เช้าวันรุ่งขึ้นเจี้ยนเฉินตื่นขึ้นและมองออกไปข้างนอกเพื่อดูทิวทัศน์ยามเช้า เขาสูดอากาศบริสุทธิ์ในตอนเช้าและถอนหายใจ “ข้าไม่ได้นอนมาเป็นเวลาหลายเดือนจนข้าเกือบลืมไปว่าการนอนหลับนั้นรู้สึกดีอย่างไร ตอนนี้ข้าได้นอนหลับอีกครั้ง มันสบายมากจริง ๆ ! “
ไม่นานหลังจากนั้นเจี้ยนเฉินออกจากโรงเตี๊ยมและขี่ม้าไปยังที่ซึ่งเคนดัลกำลังรอทุกคน
กลุ่มทหารรับจ้างอัคนีกลับมาพักที่บ้านเดิมเหมือนเดิมอีกครั้ง ในขณะนั้น สมาชิก 8 คนของกลุ่มทหารรับจ้างอัคนียังคงพักอยู่ข้างใน แม้ว่าพวกเขาจะเป็นกลุ่มทหารรับจ้างขนาดเล็ก พวกเขาไม่มีเงินทุนในการสร้างบ้านหลังใหญ่ ดังนั้นอย่างน้อยที่สุดพวกเขาสามารถซื้อบ้านหลังเล็กได้
เมื่อมาถึงที่บ้าน เจี้ยนเฉินผูกม้าของเขาไว้กับเสารั้วและเตรียมพร้อมที่จะเคาะประตู ก่อนที่เขาจะเคาะประตู เด็กหนุ่มคนหนึ่งก็เปิดประตูทันที ทันทีที่เขาเห็นเจี้ยนเฉินดวงตาของเขาเผยให้เห็นถึงความโล่งใจทันที เขาถอยห่างออกไปจากประตู นี่เป็นสมาชิกคนที่อายุน้อยที่สุดของกลุ่มทหารรับจ้างรองจากเจี้ยนเฉิน – เสี่ยวเต๋า
เจี้ยนเฉินยิ้มเล็กน้อยและพูดว่า “เสี่ยวเต๋า เจ้ากำลังจะออกไปข้างนอกหรือเปล่า ? “
เสี่ยวเต๋าหัวเราะเบา ๆ ” ข้าแค่ได้ยินเสียงม้าเท่านั้น ข้าก็เลยคิดว่าเป็นเจ้าแน่นอน พอเปิดประตู ข้าก็คิดถูก มาสิ เจี้ยนเฉิน ทุกคนกำลังรอเจ้าอยู่”