บทที่ 137 ฉือจวี้กับเจินจวิ้น

กุนซือหญิงยอดอัจฉริยะ

“เรื่องนี้ไว้คุยกันวันหลัง คุยเหตุการณ์ตรงหน้าก่อนเถิด” ซ่งชูอีเดินเข้าไปในบ้าน

จี้ฮ่วนกับฉือจวี้ก็เดินตามเข้าไปในบ้าน

หลังจากทุกคนนั่งลงแล้ว ซ่งชูอีก็ให้หนิงยากับเจียนเฝ้าหน้าประตู

“คนขององค์ชายเฉียนถูกองค์จวินตัดหัวจนเหลือเพียงน้อยนิด ฝ่ายตระกูลภายในก็เริ่มกระจายตัว นี่เป็นโอกาสที่ดีในการซื้อที่ จวี้ ข้าจะให้เจ้าสองร้อยตำลึงทอง ไปซื้อที่ดินใกล้เสียนหยางและลี่หยางเถิด” ซ่งชูอีเอ่ย

“ท่าน เงินที่ท่านให้ก่อนหน้านี้ยังเหลืออยู่อีกมากนะขอรับ!” ฉือจวี้กล่าว

ซ่งชูอีเอ่ยขึ้น “เกรงว่าจะไม่พอ ที่ดินละแวกเสียนหยางมีราคาสูง ส่วนลี่หยางทางนั้นก็ซื้อได้มากหน่อย”

นับตั้งแต่กฎหมายใหม่ถูกปรับใช้ ที่ดินพระราชทานของเหล่าชนชั้นสูงต่างถูกริบคืน ทว่าในฐานะที่

ลี่หยางเคยเป็นนครหลวงเก่า ชนชั้นสูงมากมายทำการเพาะปลูกที่นั่น หลังจากย้ายนครหลวงแล้วก็แทบจะรกร้าง ดังนั้นหากคิดจะซื้อที่ดินผืนใหญ่ก็น่าจะมิใช่เรื่องยุ่งยาก ไม่จำเป็นต้องใช้เงินและพลังงานมากนัก

อย่างไรก็ดีหากต้องการจะซื้อที่ดินผืนเล็กใกล้เสียนหยาง เกรงว่าจำต้องใช้พลังงานอย่างมาก ซ่งชูอีก็ไม่สะดวกออกหน้า จึงได้แต่พึ่งพาฉือจวี้

ฉือจวี้มองดูซ่งชูอี ถ้าหากมิได้ประสบด้วยตัวเองมาก่อน เขาก็ไม่สามารถรู้ได้เลยว่าเด็กหนุ่มผู้นี้ได้เตรียมการล่วงหน้ามาถึงขั้นนี้! ก่อนหน้านี้เขาไม่เข้าใจว่าเหตุใดถึงจะต้องไปแพร่ข่าวลือในรัฐฉีว่าฉีจวินปรารถนาจะใช้งานหมิ่นฉือ ทว่าครั้นเขากลับมายังรัฐเว่ยจึงรู้ว่าจังหวะเวลานั้นเหมาะสมแล้ว ซ่งชูอีสามารถปลุกระดมคลื่นลูกใหญ่แล้วถอนตัวออกมาอย่างหมดจดด้วยวาจาเพียงไม่กี่คำ

อีกอย่างขณะที่เขายังมิได้ออกไปจากรัฐฉิน องค์ชายเฉียนก็ถูกจำคุกแล้ว ไปรัฐฉีคราหนึ่งกลับก็มาใช้ระยะเวลาสามถึงห้าเดือน เดิมทีเขาเกรงว่าจะทำให้การซื้อที่ดินล่าช้าออกไป ใครจะรู้ว่าครั้นกลับมาก็ได้ยินว่าองค์ชายเฉียนเพิ่งจะถูกตัดหัวไปเมื่อสองวันก่อน!

ด้วยสองเรื่องนี้ ทำให้ภาพลักษณ์ของซ่งชูอีที่อยู่ในใจของฉือจวี้นั้นยกระดับไปถึงขั้นเทพ

“ขณะที่ข้าน้อยจากรัฐฉินมา ก็ได้ให้พี่น้องสองคนรีบไปซื้อที่ดินที่ลี่หยางแล้ว เมื่อวานเพิ่งจะได้ข่าวว่าบัดนี้ซื้อมาแล้วเจ็ดสิบหมู่” ฉือจวี้กล่าว

“เจ็ดสิบหมู่?” ซ่งชูอีประหลาดใจเล็กน้อย เมื่อครู่ฉือจวี้กล่าวว่าเงินยังเหลืออีกเยอะ แม้นที่ดินที่ลี่หยางมีราคาถูก แต่ก็ไม่น่าถูกถึงขั้นนี้กระมัง!

ฉือจวี้เอ่ย “ที่ดินผืนนี้อยู่ห่างจากลี่หยางหลายสิบลี้ ระหว่างทางก็มีภูเขาที่ครอบครองพื้นที่นับสิบหมู่ เพราะว่าพื้นที่ตรงนั้นนอกจากต้นสนแล้วก็ไม่มีสิ่งใดงอกเงยเลย บนภูเขาก็มีแต่ก้อนหินเสียส่วนใหญ่ ไม่อาจทำนาแต่ก็ไม่มีสัตว์ร้าย ไม่คุ้มค่าเงินเท่าใด ฉะนั้นผู้ขายจึงขายให้ในราคาถูกมาก”

“เยี่ยมมาก!” ซ่งชูอีชอบสิ่งที่ได้มาโดยเปล่าที่สุด อีกทั้งต้นสนก็ใช่ว่าจะใช้ประโยชน์ไม่ได้เสียทีเดียว “ข้ารู้สูตรต้มสุราจากต้นสน ประเดี๋ยวข้าจะเขียนไว้ให้ เจ้านำกลับไปให้พวกเขาได้ลองดู รอจนข้าจัดการเรื่องในตอนนี้สำเร็จแล้ว จะหาเวลาไปดูต้นสนเหล่านั้นที่ลี่หยาง”

ฉือจวี้พยักหน้า เอ่ยด้วยความเขินอาย “ท่าน ข้าน้อยคิดว่าที่ดินที่เชิงเขาผืนนั้นก็ไม่ค่อยดีนัก รกร้างมานานแล้ว แม้แต่ต้นไม้ใบหญ้าก็ดูไม่เขียวชอุ่ม”

แม้แต่ต้นไม้ใบหญ้าก็ยังไม่เขียวชอุ่ม สามารถจินตนาการได้ว่าดินแดนแห่งนี้ไม่อุดมสมบูรณ์เลย

“วางใจเถิด แม้จะเป็นก้อนหินข้าก็ปลูกดอกไม้ให้ออกมาได้” ซ่งชูอีกลับไม่เป็นกังวล ภูเขาสนลูกนั้นอาจเป็นเพียงป่าในสายตาของผู้อื่น ทว่าซ่งชูอีกลับมองเห็นโอกาสทางการค้าอันไม่มีที่สิ้นสุด ฉะนั้นที่ดินผืนนั้นจะสมบูรณ์หรือไม่ก็มิได้มีความสำคัญมาก

ฉือจวี้เชื่อคำพูดของซ่งชูอี ทว่าก็ซาบซึ้งกับความใจกว้างของนาง เขาเห็นนางเดินมาถึงวันนี้ในแต่ละย่างก้าว ในใจรู้สึกว่าตนมิได้มองคนผิด อนาคตของซ่งชูอีจะไม่หยุดเพียงแค่ตำแหน่งอวี้สื่อ

“จริงสิ” ซ่งชูอีหันไปกล่าว “ข้ามิต้องการให้ใครรู้ความเคลื่อนไหวเหล่านี้ในรัฐฉิน ต่อไปหากมิได้มีเรื่องคอขาดบาดตาย ไม่จำเป็นต้องมาพบข้าด้วยตนเอง เจ้าต้องจำไว้ว่าสิ่งเหล่านี้คือทรัพย์สินที่ข้ามอบให้พวกเจ้า เพื่อขอบคุณความจงรักภักดีของพวกเจ้าและเพื่อช่วยข้าแซ่ซ่งหาเงิน”

“ไม่ได้เป็นอันขาด!” ฉือจวี้เอ่ยด้วยความประหลาดใจ

ซ่งชูอีหัวเราะเบาๆ “มีเป็นไปได้หรือไม่ได้ด้วยหรือ? ในสายตาของข้าคำว่าจงรักภักดีและกล้าหาญสองคำนี้คู่ควรมากกว่าสิ่งของเหล่านี้นัก”

ฉือจวี้เข้าใจในทันที สีหน้าอันอบอุ่นของซ่งชูอีที่กล่าวคำอ่อนโยนออกมาเช่นนี้ ในความเป็นจริงแล้วมันคือคำขู่ที่ไม่อาจต่อรองได้ สาเหตุที่นางให้พวกเขาทั้งหมดนี้ก็เพราะความจงรักภักดี หากวันหนึ่งไร้ความจงรักภักดีนั้นแล้ว ไม่ต้องจินตนาการก็รู้ว่าผลจะเป็นเยี่ยงไร รู้จักกันมานานเพียงนี้ ฉือจวี้มีเหตุผลที่จะเชื่อว่าซ่งชูอีคิดที่จะปกครองพวกเขา เพียงแค่กำลังอยู่ในช่วงดำเนินการ

“ข้าน้อยเข้าใจแล้ว” การที่ฉือจวี้รับทุกสิ่งจากซ่งชูอีก็เท่ากับว่าเป็นการให้คำมั่นสัญญาว่าจะไม่มีวันทรยศหักหลัง

ฉือจวี้มีความคล้ายกับจี๋อวี่ในบางมุม พวกเขาล้วนเป็นลูกผู้ชายที่มีความซื่อสัตย์และศีลธรรม และจะไม่มีวันผิดคำพูด

ซ่งชูอีพึงพอใจกับคำตอบของฉือจวี้ หลังจากปล่อยให้เขากินข้าวเสร็จแล้ว ก็พูดคุยถึงแผนการอย่างละเอียด หลังจากเขียนสูตรสุราต้นสนให้เขาแล้วจึงให้เขาจากไป

ในที่สุดเจินจวิ้นก็มาในเวลาพลบค่ำ เขาถึงรัฐฉินก่อนซ่งชูอีหนึ่งวัน ทว่าเขามีหลายร้อยคนที่ต้องปักหลัก หาเวลาว่างได้อย่างยากลำบาก ครั้นได้รู้ข่าวจวนของซ่งชูอีก็รีบมาทันที

ในเวลานี้ซ่งชูอีกำลังลากตะกร้าเก็บผลซิ่งสุกที่ร่วงหล่นอยู่บนพื้น เมื่อได้ยินว่าเจินจวิ้นมาแล้วก็เรียกให้เขามาช่วย

“จวนแห่งนี้คับแคบจนหมุนตัวไม่ได้ ข้ามีจวนหลังใหญ่ในนครเสียนหยาง ท่านสะดวกที่จะย้ายไปหรือไม่?” เจินจวิ้นพลางเก็บผลซิ่งพลางวิพากย์วิจารณ์ ฉินจวินช่างตระหนี่จริงๆ ดีเลวอย่างไรก็เป็นถึงอวี้สื่อผู้มีเกียรติ จวนหลังนี้เสื่อมโทรมเกินไปแล้ว

ซ่งชูอีหัวเราะเอ่ย “นั่นเป็นเพราะว่าท่านอ้วน หากท่านเป็นเหมือนข้าแล้วมองดูอีกทีก็จะพบว่าจวนหลังนี้ใหญ่มากแล้ว”

“ข้าก็มิได้อ้วนมาก หนากว่าท่านเพียงสามรอบก็เท่านั้น” เจินจวิ้นโต้กลับอย่างจริงจัง

“ฮาๆ” ซ่งชูอีหัวเราะร่วน สาเหตุที่นางยอมรับการสวามิภักดิ์ของเจินจวิ้นนั้น ครึ่งหนึ่งเพราะรู้สึกว่าเจ้าอ้วนคนนี้ตลกและน่าสนใจมาก แม้นจะมีเล่ห์เหลี่ยมและการแสวงหาผลกำไรของพ่อค้า ทว่าก็ยังมีความจริงใจ

เจินจวิ้นเก็บผลซิ่งด้วยความระมัดระวังมาก นำผลไม้เน่าครึ่งหนึ่งมากองไว้ต่างหาก พฤติกรรมกระเหม็ดกระแหม่เช่นนี้ถูกใจซ่งชูอีนัก ทั้งสองคนหาหัวข้อสนทนาร่วมกัน เริ่มหารือกันว่าพอจะใช้ประโยชน์อะไรจากผลซิ่งเน่าเหล่านี้ได้บ้าง

หลังจากจัดการผลไม้เหล่านี้เรียบร้อยแล้ว ซ่งชูอีก็เปลี่ยนหัวข้อ “ท่านทำการค้าขายกระไร?”

เจินจวิ้นหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดๆ มือ เอ่ยขึ้น “ค้าม้า ค้ามนุษย์ ค้าทองเถื่อน เครื่องเคลือบดินเผา แล้วก็โรงเตี๊ยม”

“กิจการเยอะเพียงนี้ ท่านสามารถดูแลคนเดียวได้หรือ?” ซ่งชูอีเอ่ยถาม

เจินจวิ้นมีบ้านและกิจการใหญ่โต ธุรกิจเหล่านี้ส่วนใหญ่ล้วนมีความมั่นคง มิใช่เป็นการหาเงินไปวันๆ

“เรียนท่านตามตรง บรรพบุรุษของข้าเคยเป็นผู้เลี้ยงม้า ท่านปู่ก็เคยเป็นเจ้านครเจินแห่งรัฐเว่ย แม้ว่าต่อไปจะสูญเสียที่ดินพระราชทาน ตระกูลเริ่มถดถอย ทว่าขณะที่ข้ารับช่วงต่อนั้นกิจการใหญ่ๆ ยังคงอยู่ ในครอบครัวก็มีท่านอาวุโสที่เข้าใจการค้าขายอยู่หลายคน สามารถช่วยข้าดูแลกิจการได้” เจินจวิ้นกล่าว

ซ่งชูอีพยักหน้า ในใจเข้าใจเป็นอย่างดี ถ้าหากรากเหง้าของตระกูลยังอยู่ เจินจวิ้นก็สามารถละทิ้งที่เก่าได้ที่อย่างง่าย นี่แสดงให้เห็นว่าเขามีบารมีสูงมากในบรรดาสกุลเจิน และยังมีตำแหน่งที่เรียกได้ว่าไม่เหมือนผู้ใด

“ทุกอย่างเข้าร่องเข้ารอยแล้วหรือ?” ซ่งชูเอ่ยถาม

หลังจากรัฐฉินมีการปฏิวัติกฎหมายใหม่ หากจะอยู่ในรัฐฉินจำเป็นต้องไปเข้าทะเบียนราษฎร์ที่ทางการ ประชากรเป็นหนึ่งในทรัพยากรที่แต่ละรัฐต่างแย่งชิงเสมอมา หากโยกย้ายสํามะโนครัว รัฐฉินจะมีแต่ต้อนรับ ส่วนการทำเรื่องเข้าทะเบียนเป็นเพียงเรื่องของเวลาเท่านั้น