ตอนที่ 93-3 วางแผนการรบ

ชายาเคียงหทัย

“ธิดาเทพแห่งหนานเจียง เมื่ออายุเกินยี่สิบห้าปี จะต้องเข้าสู่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ แต่เอาเข้าจริง โดยมากธิดาเทพที่อายุยี่สิบเอ็ดยี่สิบสองปี หรืออายุน้อยที่สุดคือสิบเก้าปี ก็เป็นช่วงหน้าที่ของธิดาเทพเริ่มเข้าสู่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์กันแล้ว ธิดาเทพที่ว่าเหล่านี้ มิมีผู้ใดรู้ว่าพวกนางหน้าตาเป็นเช่นไร มิมีผู้ใดรู้ฐานะครอบครัวของพวกนาง และยิ่งมิมีผู้ใดรู้ว่าเมื่อเข้าสู่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์แล้ว พวกนางไปทำอันใด เพียงแต่หญิงสาวเหลานี้จะต้องได้รับการศึกษาสารพัดประเภทมาตั้งแต่เล็กๆ เมื่อได้ขึ้นเป็นธิดาเทพแล้ว อย่างน้อยก็มีอิทธิพลต่อการปกครองของหนานจ้าว การจะสั่งสอนคนเช่นนี้ออกมาได้หนึ่งคนนั้น ต้องเสียเวลาและทรัพย์สินและพละกำลังไปเท่าไร หรือจะเพียงเพื่อเป็นธิดาเทพให้คนเคารพบูชาอยู่ไม่กี่ปีจากนั้นก็จับโยนเข้าดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไปเพื่อรอวันตายอย่างนั้นหรือ” ม่อซิวเหยาเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

 

 

เหลิ่งเฮ่าอวี่ท่าทางคิดหนัก “ท่านอ๋องตรัสมีเหตุผล กฎสำหรับธิดาเทพของหนานจ้าวนี้ฟังดูแปลกประหลาดมากจริงๆ ข้าจำได้ว่าธิดาเทพคนที่อยู่ในตำแหน่งชั่วเวลาสั้นที่สุดนั้น ดูเหมือนจะเพียงสองปีเท่านั้น เป็นธิดาเทพเมื่ออายุได้สิบห้าปี พออายุสิบเจ็ดปีก็สละตำแหน่งแล้ว”

 

 

           “ข้านึกว่าพวกเรากำลังคุยเรื่องที่ว่าดินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งหนานเจียงนั้นมีอันตรายเช่นไรเสียอีก” เยี่ยหลีเอ่ยเตือนขึ้น

 

 

           ม่อซิวเหยากล่าวต่อว่า “ดินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งหนานเจียงนั้นไม่เคยมีมาตั้งแต่ต้น อาจมีสถานที่เช่นนั้นอยู่จริง แต่ไม่มีทางที่จะมีสมบัติล้ำค้าของหนานเจียงหรือเลี้ยงดูธิดาเทพอย่างแน่นอน นั่นน่าจะเป็นความลับที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของราชวงศ์หนานจ้าว ดังนั้นเมื่อใดก็ตามที่มีคนเข้าใกล้าสถานที่แห่งนั้น ก็จะถูกราชวงศ์หนานจ้าวสั่งให้สังหารไม่ว่าจะต้องแลกมาด้วยสิ่งใดก็ตาม ดังนั้นถึงได้มีเรื่องเล่าขานต่อกันว่า ผู้ใดก็ตามที่ล่วงล้ำเข้าไปยังดินแดนศักดิ์สิทธิ์ ไม่มีผู้ใดรอดชีวิตกลับมาได้แม้แต่คนเดียว”

 

 

           เยี่ยหลีผิดหวังเล็กน้อย หากกล่าวเช่นนี้ ดินแดนศักดิ์สิทธิ์นั่นก็ไม่มีดอกโยวหลัวหมิงอยู่จริงน่ะสิ

 

 

           เหลิ่งเฮ่าอวี่เอ่ยขึ้นว่า “เรื่องนี้กับเรื่องที่จู่ๆ หลีอ๋องยกทัพไม่มีความเกี่ยวข้องกันกระมัง”

 

 

           เฟิ่งจือเหยานั่งยิ้มเอนหลังพิงพนักเก้าอี้อย่างเกียจคร้าน “ไม่เกี่ยวกันหรือ เกี่ยวกันมากทีเดียวต่างหาก ก่อนหน้านี้พวกเราคิดว่าม่อจิ่งหลีคิดใช้ประโยชน์จากธิดาเทพแห่งหนานเจียงกับหนานจ้าว แต่ตอนนี้ดูท่าว่าเจ้างั่งนั่นจะถูกหลอกใช้เสียมากกว่า ดังนั้นถึงได้ยกทัพอย่างรีบร้อนเช่นนี้ ข้ายังคิดว่าเขาฉลาดขึ้นแล้วเสียอีก แต่อย่างไรเจ้างั่งก็คือเจ้างั่ง!”

 

 

เยี่ยหลียังสงสัยอีกเล็กน้อย “หนานจ้าวใช้หมากอันใดในการชักจูงม่อจิ่งหลีหรือ”

 

 

           เฟิ่งจือเหยาหัวเราะ “เช่นว่า ร่วมปกครองใต้หล้ากับธิดาเทพแห่งหนานเจียงอย่างไรเล่า หากมีหนานจ้าวคอยช่วยเหลือ ที่ม่อจิ่งหลีคิดอยากครอบครองใต้หล้าย่อมเป็นเรื่องง่ายขึ้น ถึงตอนนั้นจะได้ทั้งแผ่นดินและหญิงงาม บุรุษใดต่างก็กินเบ็ดนี้ทั้งนั้น”

 

 

เยี่ยหลีมิอาจเข้าใจได้ เพื่อที่จะได้ยึดครองแผ่นดินของบรรพบุรุษคืนมาแล้ว หนานจ้าวถึงขั้นวางแผนเรื่องราวมาเป็นร้อยปี แผ่นดินของใต้หล้าทำให้คนเมามายได้ถึงเพียงนี้เชียวหรือ “หึ พวกเขาวางแผนกันได้ไม่เลวทีเดียว เมื่อตีด่านซุ่ยเสวี่ยให้แตกจากด้านนอกไม่ได้ จึงไปตีจากด้านใน หากว่าครานี้ไม่ได้พระชายา เกรงว่าตอนที่พวกเรามาถึงที่นี่วันนี้ อย่าว่าแต่ด่านซุ่ยเสวี่ยเลย แม้แต่เขตหลิ่งโจว หย่งโจวคงไม่มีแม้แต่ที่ยืนให้กองหนุนอย่างพวกเรา”

 

 

           เหลิ่งเฮ่าอวี่ขมวดคิ้วถามว่า “ท่านอ๋องวางแผนไว้ว่าอย่างไรพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

           ม่อซิวเหยาเอ่ยเรียบๆ ว่า “ไม่มีแผน ตอนนี้อันตรายหากเจ้ายังอยู่ที่หนานเจียง รีบเดินทางกลับเมืองหลวงไปเสีย”

 

 

เหลิ่งเฮ่าอวี่ขยับปากอยากเอ่ยค้าน ม่อซิวเหยาเหลือบมองเขาแล้วพูดขึ้นว่า “ข้าจะพูดกับท่านแม่ทัพมู่หรงให้ ให้เจ้ากับมู่หรงถิงแต่งงานกันโดยเร็ว เฮ่าอวี่…”

 

 

เหลิ่งเฮ่าอวี่หัวไว รีบเอ่ยว่า “ข้าน้อยเข้าใจแล้ว ขอบพระทัยท่านอ๋องที่ช่วยเหลือพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

           เฟิ่งจือเหยาพูดด้วยความไม่สบอารมณ์ว่า “นานๆ ทีจะได้ออกจากเมืองหลวง แต่กลับต้องมาเก็บกวาดสนามรบ ฮ่องเต้มีพระประสงค์ที่จะขวางเราเช่นนี้หรือ เสียเวลาข้ายิ่งนัก”

 

 

 ม่อซิวเหยาเอ่ยเรียบๆ ว่า “ในตอนที่หนานจ้าวยังทำอันใดไม่ได้นี้ เราอย่าเพิ่งไปสนใจ เจ้าวางใจได้ ครานี้จะไม่ให้เจ้ามาเสียเที่ยวหรอก”

 

 

เฟิ่งจือเหยาเลิกคิ้ว “คงมีแต่เจ้าที่พูดว่าหนานจ้าวทำอันใดไม่ได้ ข้าว่าคนหนานจ้าวเจ้าแผนการพอตัวทีเดียวนะ ถึงขั้นใช้เวลามากถึงเพียงนี้ในการปกปิดและสร้างเรื่องขึ้น…”

 

 

ม่อซิวเหยายิ้มเย็น “ช่วงเวลาหนึ่งร้อยกว่าปี ผ่านมารุ่นแล้วรุ่นเล่าก็ยังทำไม่สำเร็จ แล้วจะทำอันใดได้หรือ สิ่งที่ควรค่าแก่การพูดถึงเพียงอย่างเดียวก็คงเป็นความดื้อรั้นของพวกเขา”

 

 

เฟิ่งจือเหยาหัวเราะ “ข้าเดาว่าคนที่คนหนานจ้าวเกรงกลัวที่สุดน่าจะเป็นตำหนักติ้งอ๋องนี่ล่ะ” หนึ่งร้อยกว่าปีนี้ที่ทำไม่สำเร็จ ย่อมมีส่วนที่เป็นผลงานของตำหนักติ้งอ๋องอย่างไม่ต้องสงสัย เช่นว่าสงครามเมื่อสิบกว่าปีก่อน หากไม่ใช่เพราะต้องด่วนถอนทัพกลับในช่วงเวลาสุดท้าย คนหนานจ้าวคงไม่ต้องคิดหนักว่าจะกลับเข้าไปยึดครองแผ่นดินจงหยวนอย่างไรแล้ว “เช่นนั้นที่ท่านอ๋องว่าจะไม่ให้พวกเรามาเสียเที่ยวนั้นหมายความว่าอย่างไรหรือพ่ะย่ะค่ะ พวกเราจะบุกหนานจ้าวหรือ”

 

 

           ม่อซิวเหยายิ้มเต็มสองตา “พวกเราจะไม่ทำสงคราม พวกเราจะใช้โจรปราบ”

 

 

           “โจรปราบหรือ” อีกสามคนที่อยู่ในห้องหนังสืออุทานขึ้นพร้อมกัน

 

 

           เฟิ่งจือเหยาแววตาเปลี่ยนไป ถามขึ้นว่า “ข้าไม่ยักจำได้ว่าเขตหย่งโจวที่โจรป่าที่เก่งกาจ”

 

 

           ม่อซิวเหยาเอ่ยเสียงเรียบว่า “ก่อนหน้านี้ไม่มี มิได้หมายความว่าตอนนี้ไม่มี มิเช่นนั้น จะเกิดเรื่องกับกองหนุนจากเขตยงโจวได้อย่างไร”

 

 

           “มิใช่ว่าม่อซิวเหยาส่งคนไปจัดการหรือ” เฟิ่งจือเหยาเอ่ยถาม

 

 

           ม่อซิวเหยายิ้มเย็น “ยังไม่ต้องว่ากันเรื่องที่เขาไม่น่ามีหัวคิดเช่นนั้นเลย ต่อให้เขามีก็เถิด ทหารสองหมื่นนายของทั้งกองทัพตายเรียบไม่มีเหลือ ด้วยความสามารถของกองทัพกบฏเขตหลิ่งโจวแล้วต้องใช้กำลังทหารมากเพียงใด ในตอนนั้นกองทัพกบฏของม่อจิ่งหลียังอยู่แถวๆ เขตหย่งหลิน เขาจะให้กองทัพอย่างน้อยสามหมื่นนายเดินทางหลายร้อยลี้ไปลอบโจมตีกองหนุนที่เขตหย่งโจวได้อย่างไร”

 

 

           เฟิ่งจือเหยานิ่งคิดไปครู่หนึ่ง แล้วกล่าวว่า “อย่างน้อยก็ต้องให้ทหารรีบเดินทางไปลอบโจมตีกองหนุนเมืองยงโจวในวันเดียวกับที่เขาเริ่มเคลื่อนพล และอย่างน้อยต้องรู้ก่อนว่า เขตยงโจวจะต้องส่งกองหนุนออกมาช่วยเหลือด่านซุ่ยเสวี่ยถึงจะได้ คนที่รู้ว่าอู๋เฉิงเหลียงเป็นคนของพวกเรานั้นมีน้อยเสียยิ่งกว่านั้น อย่างน้อยๆ ม่อจิ่งหลีไม่มีทางรู้ข้อนี้ หากเขาไม่รู้ ยิ่งไม่น่าที่จะส่งทหารไปลอบโจมตีกองหนุนจากเขตยงโจวได้ เพราะเขตยงโจวอาจไม่ยกทัพมาช่วยเหมือนอย่างเขตอื่นๆ ก็เป็นได้ เช่นเดียวกัน เขตอื่นๆ ก็มีโอกาสยกทัพมาช่วยด่ายซุ่ยเสวี่ยได้”

 

 

           “คนที่ลอบโจมตีใต้เท้าอู๋มิใช่คนของม่อจิ่งหลีหรือ” เยี่ยหลีเลิกคิ้วถาม

 

 

           “คนที่หมายตาเนื้อติดมันอย่างต้าฉู่มิได้มีเพียงหนานเจียงเท่านั้น” ม่อซิวเหยาเอ่ยเรียบๆ

 

 

           “ชีหลิง” เหลิ่งเฮ่าอวี่เอ่ยขึ้นด้วยความมั่นใจ เป่ยหรงอยู่ห่างจากหนานเจียงมากเกินไป อีกทั้งรูปลักษณ์ของคนเป่ยหรงก็แตกต่างกับคนต้าฉู่มากเกินไป หากคิดจะให้คนจำนวนมากเช่นนั้นลักลอบเข้ามาในต้าฉู่ย่อมเป็นไปไม่ได้ เพียงแต่ซีหลิงไม่เหมือนกัน ถึงแม้จะมีความแตกต่างอยู่เล็กน้อย แต่นั้นก็เป็นเพียงราชนิกุลแคว้นซีหลิงที่แต่งงานกับคนต่างเผ่าเท่านั้น คนซีหลิงทั่วไปโดยมากรูปลักษณ์จะไม่ต่างกับคนต้าฉู่มากนัก เมื่อคิดว่ามีคนจำนวนมากขนาดที่เพียงพอจะทำลายกองทัพขนาดสองหมื่นนายลักลอบเข้ามาในต้าฉู่ได้แล้ว เหลิ่งเฮ่าอวี่ก็อดรู้สึกเย็นวาบขึ้นมาไม่ได้

 

 

           สายตาม่อซิวเหยาลุ่มลึก “พวกแม่ทัพต้าฉู่ที่คอยรักษาชายแดนอยู่นี้ ควรไปเคาะเรียกให้ตื่นตัวสักหน่อยเสียนานแล้ว”

 

 

           เฟิ่งจือเหยายักไหล่ หลายปีมานี้ แม่ทัพที่รักษาการอยู่ตามด่านชายแดนต่างๆ ถูกฮ่องเต้เปลี่ยนตัวไปพอสมควร พวกเขาเองก็ทำอันใดไม่ได้ โจรปราบ…ฟังดูไม่เลว

 

 

           “ท่านอ๋อง พวกเราจะออกเดินทางเมื่อไรหรือ” ในเมื่อมีศึกที่ต้องทำ จะมามัวสนใจว่าเป็นหนานเจียงหรือซีหลิงไปไย เฟิ่งจือเหยาจึงเอ่ยถามขึ้นด้วยความตื่นเต้นยินดี

 

 

ม่อซิวเหยาก้มลงมองนิ้วที่เรียวยาวของคตน แล้วเอ่ยเสียงต่ำขึ้นว่า “รอให้คนของฝ่าบาทมารับช่วงเมืองหย่งหลินไปก่อน เจ้าให้คนไปเตรียมตัวไว้ก่อนเถิด จำไว้ให้ดี…หากปล่อยให้ใครรอดจากต้าฉู่ไปได้แม้แต่คนเดียว ชั่วชีวิตนี้เจ้าอย่าได้มาพูดกับข้าว่าอยากออกไปทำศึกอีกเลย”

 

 

           “พ่ะย่ะค่ะ ท่านอ๋อง!” เฟิ่งจือเหยายืดตัวขึ้นขานรับเสียงก้อง เขาลังเลเล็กน้อยแต่ก็อดไม่ได้ที่จะถามขึ้นว่า “ทางฟากด่านซุ่ยเสวี่ย…”

 

 

           “ยังไม่ต้องสนใจ พวกเขาคงไม่ถึงกับรู้แพ้รู้ชนะไม่ได้ภายในสองสามเดือนหรอก พวกเราเองก็ไม่มีเวลาไปสนใจพวกเขาแล้ว” ม่อซิวเหยาเอ่ยเสียงขรึม

 

 

           “เข้าใจแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

           เยี่ยหลีมองชายหนุ่มทั้งสองที่โต้ตอบกันไปมาอยู่เงียบๆ นางขมวดคิ้วเล็กน้อย เกิดความหวั่นเกรงในใจขึ้นอย่างประหลาด…