ตอนที่ 168 ผมอยากจีบคุณ

เดิมพันเสน่หา

หนานกงเยี่ยคลี่ยิ้มบางๆ รอยยิ้มของเขาอบอุ่นเหมือนลมในฤดูใบไม้ผลิ เสียงทุ้มต่ำของเขาน่าฟังมาก “นี่เป็นครั้งแรกที่ผมเอาน้ำมาให้ผู้หญิงที่เพิ่งรู้จักกัน คุณจะไม่ให้เกียรติผมหน่อยเหรอครับ”

เหลิ่งรั่วปิงลังเลอยู่สองวินาที วางหนังสือลงเบาๆ รับแก้วน้ำมาจากเขา ยิ้มบางๆ “ขอบคุณค่ะ”

บางทีคนเราอาจจะเปลี่ยนแปลงกันได้ บางทีหนานกงเยี่ยคนเดิมที่เธอรู้จัก ยังมีด้านที่เธอไม่เคยเห็น การที่ยกน้ำมาให้ผู้หญิงคนหนึ่งก็ไม่ได้เป็นเรื่องใหญ่อะไร เธอไม่จำเป็นต้องตื่นตกใจ

หนานกงเยี่ยกระตุกมุมปากด้วยความพอใจ เขานั่งลงตรงโซฟาด้านซ้ายของเหลิ่งรั่วปิง ทำให้เห็นหน้าด้านข้างของเธอพอดี แววตาลุ่มลึก น้ำเสียงเต็มไปด้วยความอ่อนโยน “คุณฉู่หนิงซยา พวกเราคุยกันหน่อยได้ไหมครับ”

“?” เหลิ่งรั่วปิงแปลกใจอีกครั้ง ไม่รู้จะกลืนน้ำที่อยู่ในปากอย่างไร นี่คือเสียงของหนานกงเยี่ย?? เสียงที่เต็มไปด้วยการขอร้องอย่างอ่อนโยน การร้องขอด้วยคำพูดหวานหยดย้อย ไม่ว่าจะฟังอย่างไรยังไงก็ไม่เหมือนหนานกงเยี่ยเลยสักนิด เมื่อก่อนตอนที่เธอกับเขารักกัน มีหลายครั้งหลายเวลาที่เขาอ่อนโยนกับเธอ แต่ความอบอุ่นของเขาเคล้าไปด้วยความเอาแต่ใจ เผด็จการ เป็นสิ่งที่ไม่ยอมให้เธอปฏิเสธ ความอบอุ่นของเขา เธอจำเป็นต้องรับมันเอาไว้ แต่เขาไม่เคยขอร้องเธอแบบนี้

สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ ตอนนี้เธอไม่ใช่เหลิ่งรั่วปิง สำหรับเขาแล้ว เธอเป็นคนที่ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับเขา แล้วทำไมเขาถึงทำแบบนี้ เขาควรที่จะเย็นชา ทำตัวหยิ่งยโสอยู่เหนือทุกคนไม่ใช่หรือ แบบนั้นต่างหากที่เป็นตัวเขา

เวลานี้ เขานั่งใกล้กับเธอมาก กลิ่นที่คุ้นเคยของเขาโอบล้อมเธอเอาไว้ ทำให้เธอกระวนกระวายขึ้นมา ถึงแม้สมองของเธอจะสั่งให้เธอปฏิเสธเขา แต่เพราะเธอกับเขามีวันเวลาดีๆ ด้วยกันมากมาย ร่างกายของเธอกลับจดจำกลิ่นของเขาเอาไว้ตามสัญชาตญาณ กลิ่นของเขา เพียงแค่สูดเข้าไปก็ปลุกทุกเซลล์ในร่างกายของเธอจนตื่น

ความจริงแล้วความเป็นจริง เธอไม่เคยลืมเขาเลยมาก่อน

ขณะที่เธอกำลังเหม่อลอย เหลิ่งรั่วปิงพยายามปรับอารมณ์ของตนเอง พยายามฉีกยิ้มออกมา “คุณหนานกงอยากพูดเรื่องอะไรคะ”

“คุณชอบไซ่ตี้จวิ้นจริงๆ เหรอ” หนานกงเยี่ยมองหน้าเหลิ่งรั่วปิงตาไม่กระพริบ เหมือนคุณครูที่กำลังรอคำตอบจากนักเรียน

เหลิ่งรั่วปิงขมวดคิ้ว “คุณหนานกงให้ความสำคัญกับความสัมพันธ์ของลูกน้องมากขนาดนี้เลยเหรอคะ”

“เปล่า คุณพิเศษกว่าคนอื่น”

“ทำไมคะ”

“เพราะ…เพราะผมอยากจะจีบคุณ” คำพูดนี้ออกมาจากปากหนานกงเยี่ย แม้แต่หนานกงเยี่ยก็ยังไม่อยากจะเชื่อว่านี่เป็นเสียงของตน

เหลิ่งรั่วปิงเกือบจะสำลักน้ำ เขาบอกว่าเขาจะจีบเธอ หึ ตลก!

สิ่งที่เขาปฏิบัติกับผู้หญิง คือต้องเป็นฝ่ายควบคุมทุกอย่าง ถ้าต้องการก็จะเอามาให้ได้ ถ้าเบื่อก็จะสะบัดทิ้งทันที ถึงแม้ตอนนั้นเขาจะพูดว่าชอบเธอ แต่เขาก็ใช้กำลังในการบีบบังคับให้เธออยู่กับเขา ทำให้เธอไม่สามารถขัดขืนไม่ได้ ตอนนี้เธอเป็นฉู่หนิงซยา เธอมีดีอะไร ที่ทำให้เขาต้องทำแบบนี้?? หรือว่าเป็นเพราะชีวิตเงียบเหงาเกินไป อยากใช้วิธีใหม่ ไม่อยากบีบบังคับให้ใครมาเป็นนางบำเรอแล้ว เปลี่ยนเป็นหลอกให้รักแทน??

“หึ คุณหนานกง คุณให้เหตุผลฉันสักข้อได้ไหมคะ” เหลิ่งรั่วปิงหัวเราะในลำคอ “คุณก็รู้ ฉันเพิ่งหมั้นกับไซ่ตี้จวิ้น ฉันไม่อยากเป็นนางบำเรอของพวกคนรวย”

หนานกงเยี่ยเพิ่งรู้ว่าเธอเข้าใจความหมายของเขาผิดไป อดไม่ได้ที่จะเป็นกังวล “ผมจริงจังมากนะครับ คุณฉู่หนิงซยา ถ้าคุณยินดีที่จะคบกับผม ผมแต่งงานกับคุณได้”

เหลิ่งรั่วปิงรู้สึกเหมือนได้ยินเรื่องตลก เธอแสยะยิ้ม “งานแต่งงานของคุณหนานกงกลายเป็นของไร้ค่าแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่คะ” เธอหัวเราะเย้ยหยัน “ถ้าฉันจำไม่ผิด เมื่อครึ่งเดือนก่อน คุณเพิ่งบอกว่าคุณมีผู้หญิงที่คุณรักมากที่สุด”

ตอนนั้น เขาบอกว่ารักเธอ แต่ไม่เคยคิดจะแต่งงานกับเธอ เขาแค่ยอมรับว่าเธอเป็นผู้หญิงของเขา ตอนนี้พอได้เจอกับฉู่หนิงซยา เขากลับกล้าให้คำสัญญาว่าจะแต่งงานกับฉู่หนิงซยา หึ เขาหมั้นกับอวี้หลานซีไปแล้วไม่ใช่หรือไง

มือที่วางไว้บนแขนโซฟาของหนานกงเยี่ยเกร็งเล็กน้อย เขารู้สึกเหนื่อยใจ เขารู้ว่าระหว่างเขากับเหลิ่งรั่วปิงมีเรื่องเข้าใจผิดมากมาย ใช่ไม่สามารถที่จะเข้าใจกันได้ง่ายๆ และไม่สามารถเปลี่ยนความคิดของเธอที่มีต่อเขาไม่ได้

“ครับ คุณพูดถูก ผมรักผู้หญิงคนหนึ่งมาก สิ่งที่ทำให้ผมสนใจในตัวคุณก็เพราะคุณเหมือนเธอมาก แต่เป็นเพราะผมตามหาเธอไม่เจอ ผมเลยเลือกที่จะชอบคุณแทน”

“พูดแบบนี้ คุณหนานกงเยี่ยเห็นฉันเป็นตัวแทนของผู้หญิงคนนั้นเหรอคะ”

“ถ้าคุณโอเค คุณก็คือเธอ”

“ฉันไม่โอเคค่ะ คุณหนานกง ฉันรู้สึกว่าบทสนทนานี้ไม่ดีเลยสักนิด สาเหตุที่ฉันไปเมืองหลง เป็นเพราะเรื่องเดียว ซึ่งก็คือแลนด์มาร์คเมืองหลง หลังจากจบโปรเจคนี้ ฉันจะกลับประเทศเอ้าตู คู่หมั้นของฉันรอฉันอยู่ ดังนั้น รบกวนคุณหนานกงมองฉันเป็นแค่พนักงานทั่วไป ฉันจะขอบคุณคุณมาก”

คู่หมั้นของเธอ? !

หนานกงเยี่ยเงียบ เขากัดฟันกรอด ถ้ารู้ว่าเป็นแบบนี้แต่แรก เขาคงยิงไซ่ตี้จวิ้นให้ตายที่เมืองเฟิ่งไปแล้ว!

เหลิ่งรั่วปิงไม่สนใจอารมณ์ที่เปลี่ยนไปมาของหนานกงเยี่ย และไม่ใส่ใจแคร์ว่าตนเองจะทำให้เขาเสียหน้าหรือรึเปล่า หลังจากที่เธอพูดในสิ่งที่อยากจะพูดจบก็ก้มหน้าอ่านหนังสือ ทำเหมือนเขาไม่มีตัวตน

บรรยากาศภายในห้องโดยสารเข้าสู่ความเงียบ

ความเป็นจริงหนานกงเยี่ยไม่ได้โมโห และไม่ได้รู้สึกว่าตนเองเสียหน้า แต่เขากำลังเศร้า ยิ่งเธอเย็นชากับเขาเท่าไรหร่ เขาก็เจ็บปวดมากเท่านั้น ครั้งหนึ่งเธอเคยยกหัวใจให้เขา แต่เขากลับทำลายมันด้วยมือตนเอง ภายในใจของเขาเจ็บปวดมาก เขาเคยเฉียดเข้าใกล้กับความสุข แต่วินาทีสุดท้ายเขากลับปล่อยให้ความสุขหลุดลอยไป ตอนนี้อยากกลับมาชนะใจเธออีกครั้ง เขาไม่เคยคิดว่ามันจะราบรื่นไม่เคยคิดว่าจะได้มาง่ายๆ ดังนั้นเขาจึงมีความอดทนสูงมาก

หลังจากผ่านไปนานครู่หนึ่ง หนานกงเยี่ยยิ้มบางๆ “ครับ ทำตามที่คุณพูด”

คำตอบที่มาช้า ดังขึ้นหลังจากเงียบอยู่นาน ถึงแม้เขาจะพูดเสียงเบา ทว่ากลับพูดขึ้นกะทันหัน มือของเหลิ่งรั่วปิงที่กำลังพลิกหน้าหนังสือหยุดชะงัก แต่เธอไม่ได้แสดงสีหน้าอะไรมากมาย เธอไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้น ยังคงตั้งใจอ่านหนังสือต่อ

การเจอกันอีกครั้ง เธอรู้สึกว่าหนานกงเยี่ยเปลี่ยนไป เธองุนงงกับการกระทำของเขา แต่ว่า เธอก็ขี้คร้านจะทำความเข้าใจ การมาเจอเขาครั้งนี้เป็นแค่ระยะเวลาสั้นๆ หลังจากจบงานแล้วเธอกับเขาก็เป็นแค่คนแปลกหน้าของกันและกัน เธอไม่จำเป็นต้องทำความเข้าใจในตัวเขา

หนานกงเยี่ยเองก็ไม่ได้เป็นฝ่ายชวนคุย เขาหยิบแล็ปท็อปมาวางไว้บนตักแล้วนั่งทำงาน บรรยากาศในห้องโดยสารกลับมาเงียบอีกครั้ง

มื้อเที่ยง ก่วนอวี้เดินเข้ามาเงียบๆ “คุณชายเยี่ยครับ อาหารเที่ยงเตรียมพร้อมแล้วครับ รับประทานตอนนี้เลยไหมครับ”

หนานกงเยี่ยเงยหน้าขึ้นมาจากหน้อจอคอมพิวเตอร์จอแล็ปท็อป “อื้ม เสิร์ริฟได้เลย” หันไปมองเหลิ่งรั่วปิง “คุณหิวหรือรึยัง กินข้าวกันเถอะ”

“ค่ะ” เหลิ่งรั่วปิงพับปิดหนังสืออย่างเป็นธรรมชาติ เดินไปที่โต๊ะอาหาร คล้ายกับว่าก่อนหน้านี้ไม่ได้เกิดเรื่องอะไรขึ้น

มองดูท่าทีผ่อนคลายของเธอ หนานกงเยี่ยโล่งใจเล็กน้อย เขานั่งอยู่ด้านข้างเธอ จัดเรียงช้อนส้อมให้เธอด้วยตนเอง เหมือนกับเมื่อก่อน อุปกรณ์บนโต๊ะอาหารทุกอย่างล้วนจัดเรียงตามที่เธอถนัด

เหลิ่งรั่วปิงรู้สึกเศร้าขึ้นมาทันที เธอนึกถึงภาพวันเวลาเก่าๆ ตอนที่กินข้าวด้วยกัน ตอนนั้นเขาดูแลเธอเป็นอย่างดี คอยจัดเรียงอุปกรณ์บนโต๊ะอาหารให้เธอทุกมื้อ ทั้งยังคอยตักอาหารให้เธอ มองดูเธอกินข้าว หลังจากที่เธอกินเสร็จเขาก็จะกินอาหารที่เธอกินเหลือทั้งหมด คิดๆ ดูแล้ว เขาเองก็ดีกับเธอมาก เพียงแต่ความเจ็บปวดที่เขาทำให้เธอในตอนสุดท้าย ทำให้หัวใจของเธอลืมความดีทั้งหมดของเขา

“คุณหนานกง คุณเป็นคนสูงศักดิ์ การที่คุณทำเรื่องพวกนี้ให้ฉัน มันทำให้ฉันรู้สึกกลัวจริงๆ ค่ะ”

หนานกงเยี่ยกระตุกมุมปากเล็กน้อย “เมื่อก่อนผมทำแบบนี้ให้เธอคนนั้นบ่อยๆ ไม่มีอะไรหรอกครับ คุณคิดว่าคุณเป็นเธอก็พอแล้ว”

เหลิ่งรั่วปิงเงียบ ไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรดี เรื่องในอดีตเป็นแค่ความทรงจำ ไม่อยากพูดถึงมันอีก

หลังจากพนักงานยกอาหารมาเสิร์ริฟครบสองจาน หนานกงเยี่ยยิ้มแล้วพูดขึ้น “กินทานกันเถอะครับ”

เหลิ่งรั่วปิงไม่ได้กระมิดกระเมี้ยน เธอก้มหน้าลงแล้วกินอาหารในจานตนเอง โดยไม่พูดอะไรเลย หนานกงเยี่ยมองดูเธอเงียบๆ กว่าสิบวินาที ภาพนี้เป็นอะไรที่สวยงามมาก งดงามจนทำให้เขารู้สึกว่ามันไม่ใช่ความจริง เธอกลับมาอยู่กับเขาอีกครั้งแล้วจริงๆ ทั้งยังกินข้าวร่วมกับเขา เธอและดวงตาคู่สวยกลับมาอยู่ตรงหน้าเขา กลิ่นหอมอ่อนๆ ของดอกเบญจมาศโอบล้อมความรู้สึกของเขา

“คุณหนานกง ขืนคุณมองฉันไม่หยุดแบบนี้ ฉันคงกินข้าวไม่ลงแล้วค่ะ” เหลิ่งรั่วปิงพูดขึ้นเสียงเรียบ ไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้น และไม่หยุดกิน

หนานกงเยี่ยยิ้มอย่างมีความสุข “ครับ ไม่มองคุณแล้วครับ”

“คุณชายเยี่ยครับ ได้เวลากินยาแล้วครับ ยานี้ต้องกินก่อนมื้ออาหาร” ก่วนอวี้เดินถือถาดเข้ามา บนถาดมียาสองสามเม็ดและน้ำหนึ่งแก้ว

เหลิ่งรั่วปิงไม่ได้เงยหน้าขึ้น แต่มือของเธอหยุดชะงักอย่างเห็นได้ชัด เขากินยาอะไร เขาป่วย? เธอจำได้ว่าเขาไม่เคยป่วยมาก่อน ร่างกายของเขาแข็งแรงมาโดยตลอด

หนานกงเยี่ยชำเลืองมองไปบนถาด พูดปฏิเสธ “ไม่กิน”

ก่วนอวี้รีบพูดเกลี้ยกล่อมทันที “คุณชายเยี่ย ถ้าไม่กินยาแล้วจะหายปวดกระเพาะได้ยังไงครับ คุณหมอกำชับมาแล้ว ต้องกินยาให้ครบ”

หนานกงเยี่ยขมวดคิ้วแน่นด้วยความหงุดหงิด “ไม่อยากกิน” เขารู้สึกว่าตัวนเองเป็นคนแข็งแรงที่ไม่มีอะไรมาทำให้เขาแพ้ได้ การกินยาทำให้เขารู้สึกแย่

เหลิ่งรั่วปิงเงยหน้าขึ้น ก่วนอวี้ส่งสายตาร้องขอความช่วยเหลือไปให้เหลิ่งรั่วปิง เธอจึงวางช้อนส้อมลง มองหน้าหนานกงเยี่ย “กระเพาะของคุณเป็นอะไรไปคะ”

“คุณฉู่ครับ” ก่วนอวี้เป็นฝ่ายตอบ “ตั้งแต่คุณเหลิ่งไปจากคุณชายเยี่ย คุณชายเยี่ยก็ไม่ยอมกินข้าวตรงเวลาเลยสักวัน พอทำร้ายสุขภาพตัวนเองเป็นเวลานาน ทำให้มีแผลในกระเพาะอาหารขั้นรุนแรง คุณหมอบอกว่าถ้าไม่ยอมกินยา กระเพาะอาจจะทะลุได้ครับ”

“ใครใช้ให้นายพูด!” หนานกงเยี่ยหันไปมองก่วนอวี้ด้วยแววตาตักเตือน พร้อมกับสั่งให้เขาหุบปาก

ก่วนอวี้ไม่กล้าพูดอะไรอีก ทว่าเหลิ่งรั่วปิงกลับไม่สบายใจ เขาทรมานตนเองเพื่อเธอ?? ในเมื่อเธอสำคัญกับเขามากขนาดนี้ ทำไมตอนนั้นถึงต้องทำร้ายจิตใจเธอ หึ ไม่ย้อนแย้ง ไม่ตลกไปหน่อยหรือ?

หลังจากเงียบไปหลายวินาที เหลิ่งรั่วปิงยกมุมปากขึ้นอย่างสวยสง่า พูดด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน “หึ คุณหนานกงเป็นคนที่รักใครรักจริงมากเลยนะคะ แต่ฉันได้ยินมาว่าตอนนั้นคุณถึงกับจัดงานงานเลี้ยงอำลาให้เธอ ทำให้เธออับอดาย เรื่องนี้ดังกระฉ่อนไปทั้งเมือง ในเมื่อคุณรักเธอขนาดนี้ ทำไมต้องทำแบบนี้ด้วย”

“คุณฉู่ครับ อันที่จริงงานเลี้ยงในคืนนั้น…”

“ออกไปซะ!” หนานกงเยี่ยพูดแทรกก่วนอวี้

ก่วนอวี้ไม่เข้าใจว่าทำไมหนานกงเยี่ยถึงไม่อธิบายเรื่องทุกอย่างให้ชัดเจน แต่เขาก็ไม่กล้าขัดคำสั่งเจ้านาย ทำได้เพียงพูดด้วยน้ำเสียงขอร้อง “คุณชายเยี่ยครับ คุณกินยาเยอะเถอะนะครับ”

หนานกงเยี่ยรำคาญความพูดมากของก่วนอวี้ จึงยอมกินยา หลังจากก่วนอวี้เดินออกไป เขาพูดกับเหลิ่งรั่วปิงด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “กินข้าวเถอะครับ”

เหลิ่งรั่วปิงไม่แตะช้อนส้อมอีก เธอมองหน้าหนานกงเยี่ยเงียบๆ สิ่งที่เธอคิดเมื่อครึ่งเดือนก่อนตอนที่เจอเขาครั้งแรกเป็นความจริง เธอไม่ได้คิดไปเอง