ตอนที่ 622 เทวานุภาพในดวงตาทั้งสาม

ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods

พุทธบุตรเจี้ยนคงติดตามพุทธเจ้ายามาเทวราชออกไปจากสวรรค์ชั้นพรหม และพุทธบุตรนี้ก็ฉงนฉงายเป็นอย่างยิ่ง “เกิดอะไรขึ้นตอนที่ฆราวาสฉินยังเป็นทารกกันแน่ ทำไมพุทธเจ้าข้าถึงไปพบเขาในแดนใต้พิภพ ทำไมฆราวาสฉินถึงจำอะไรไม่ได้”

เขามีคำถามมากมาย แต่พุทธเจ้ายามาเทวราชไม่ปริปากเพิ่มสักคำ เขาไม่ต้องการที่จะพูดอะไรมากไปกว่านี้

ยิ่งไปกว่านั้น การที่พุทธเจ้ายามาเทวราชออกจากที่นี่ไปด้วยความรีบร้อน ดูไม่เหมือนว่าเป็นเพราะเขาไม่อาจทนดูภาพการฆ่าล้างเหล่าพุทธบุตรของฉินมู่ หากแต่ดูเหมือนกับว่าเขาหมายที่จะหลบหนีไปจากสวรรค์ชั้นพรหมให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เพื่อจะได้ไม่เข้าไปพัวพันและโดนหางเลข

พุทธเจ้าข้ารู้ความลับมากมาย แต่เขาไม่ต้องการจะบอกข้า ฆราวาสฉินน่ากลัวขนาดนั้นเชียวหรือ เขาคิดในใจ

ตรงหน้าวัดซอมซ่อบนสวรรค์ชั้นพรหม ร่างของฉินมู่ยากที่จะมองเห็นด้วยตาเปล่า ดังนั้นพุทธบุตรทั้งหลายจึงขับเคลื่อนเนตรเทวะอย่างเช่นเนตรพุทธาและเนตรสวรรค์ มีแต่แบบนั้นพวกเขาจึงมองตามเงาร่างทัน

ความเร็วของเขานั้นเร็วจนเกินไป เขาเหมือนกับแสงวูบไหวและเงาที่พริบพราย เขาจับเคลื่อนเพลงกระบี่ ทักษะเทวะ เพลงมีด เพลงทวน และเพลงหมัดทุกชนิด ยิ่งไปกว่านั้น เขายังช่วงใช้วิชาเหล่านี้ขณะที่วิ่งตะบึงไปด้วยความเร็วยิ่งยวด ทำให้พวกเขาทั้งหลายไม่อาจรับมือทัน

พุทธบุตรคงเสี่ยงคำรามลั่น และร่างทองของเขาก็ราวกับพุทธเจ้าสี่หน้าอันมีสี่เศียรแปดกร เขาเหาะขึ้นไปบนอากาศเพื่อต่อสู้กับฉินมู่ผู้ซึ่งกำลังพุ่งทะยานมายังเขา

ทั้งสองคนโฉบฉวัดผ่านกันและกันอย่างรวดเร็วกลางอากาศ และต่อสู้กันด้วยความเร็วอันเหลือแสน พุทธบุตรคงเสี่ยงสูงยี่สิบหกคืบ และร่างของเขาก็กำยำอย่างหาที่สุดไม่ได้ แต่กลับเป็นฉินมู่ที่มีชัยได้เปรียบเขาระหว่างเหาะเหินขึ้นไปบนอากาศ

ที่กลางเวหานั้น การปะทะกันของหมัดและกำปั้นราวกับเสียงเปรี้ยงปร้างของฟ้าผ่า พุทธบุตรคนอื่นๆ เหาะเหินขึ้นไปบนท้องฟ้า พร้อมที่จะกรูเข้ารุมล้อมฉินมู่ และทันใดก็มีโลหิตทองคำร่วงกราวลงมาจากท้องฟ้าราวห่าฝน

ปราณและโลหิตของพุทธบุตรคงเสี่ยงระเบิดปะทุ เสียงระเบิดดังออกมาจากทั่วร่างของเขา ผิวของเขาปริออก และโลหิตสดก็พวยพุ่งออกมา เมื่อเขาปะทะกับฉินมู่ ปราณและโลหิตของเขาก็เดือดพล่านจากการโจมตี และในเมื่อกายเนื้อของเขาไม่อาจรองรับปราณและโลหิตมากมายขนาดนั้นได้ ปราณและโลหิตอันคลุ้มคลั่งนั้นก็เกินขีดจำกัดของร่างกายเขา เขาตายจากร่างที่ระเบิดออกเป็นส่วนๆ

เมื่อพุทธบุตรคนอื่นๆ เข้าไปล้อมรอบฉินมู่ในอากาศ พวกเขาก็เห็นชิ้นส่วนร่างกายของพุทธบุตรคงเสี่ยงกระเซ็นซ่านจากท้องฟ้า

พุทธบุตรเหล่านั้นเห็นแสงกระบี่วูบวาบกลางเวหน และแตกตื่นอย่างหนัก พวกเขารีบขับเคลื่อนทักษะเทวะของตนเพื่อยิงถล่มเข้าใส่ฟ้าเบื้องบน

แต่ทว่า แสงกระบี่โถมซัดลงมาราวกับทะเลโลหิตที่ซัดท่วมพวกเขา กระบี่จักรพรรดิก่อตั้งทะเลโลหิต!

ปราณและโลหิตอันคลุ้มคลั่งถูกกวาดซัดไปด้วยแสงกระบี่ และกระบี่ทั้งหลายก็ราวกับมังกรในทะเลเลือด แหวกว่ายไปมาโดยไร้ผู้กีดขวาง พุทธบุตรบางคนกุมคอของพวกเขา และบางคนก็กุมหว่างคิ้วของตนเองขณะที่ร่างกายของพวกเขาจมลงไปในทะเลโลหิต

บนทะเลโลหิต รัชทายาทโม่จี่เหยียบไปบนคลื่นด้วยมีดอกบัวผุดขึ้นมารองรับใต้เท้าของเขา เขาถือดอกบัวดอกหนึ่งใช้มันปัดป้องการโจมตีของฉินมู่

ฟิ้ววว

ฉินมู่หันหลังให้แก่เขาขณะที่กวัดแกว่งกระบี่ เสื้อผ้าของเขาสะบัดพึ่บพั่บ ในสายลม

รัชทายาทโม่จี่เห็นช่องโหว่ และกำลังจะโจมตี แต่ทันใดนั้น ทะเลโลหิตก็แยกออกจากกัน ประตูมืดดำประตูหนึ่งกวาดผ่านร่างของเขา

รัชทายาทโม่จี่ตะลึงงัน และร่างกายของเขาก็ค่อยๆ จมลงไปในทะเลเลือด จิตวิญญาณดั้งเดิมของเขาถูกประตูน้อมสวรรค์ลากเข้าไปในแดนใต้พิภพเรียบร้อยแล้ว

เมื่อทะเลโลหิตกระจัดกระจายไป ซากศพก็ร่วงกราวลงมาจากฟากฟ้า

เมื่อเทียบกับพุทธบุตรทั้งหลายที่สภาสวรรค์ส่งมา ฉินมู่นั้นเหนือล้ำกว่าพวกเขาไปมากทั้งในด้านประสบการณ์การต่อสู้และวิชาฝึกปรือ พุทธบุตรจากสภาสวรรค์ทั้งหลายได้อาศัยอยู่ในพุทธเกษตรเป็นเวลาเนิ่นนาน และในพุทธเกษตรก็แทบจะไม่มีการต่อสู้เกิดขึ้นเลย มันสงบนิ่งจนเหมือนกับน้ำในบ่อเก่าแก่

อาศัยอยู่ในสถานที่เช่นนี้ ผู้คนย่อมสำราญและรุ่มรวย พวกเขาไม่มีความปรารถนาและความทะเยอทะยานใด ในขณะเดียวกันนั้น สันติสุขก็ได้ทำให้มรรคา วิชา และทักษะเทวะของพวกเขาถดถอยลงไป

เมื่อมรรคา วิชา และทักษะเทวะกลายเป็นไร้ประโยชน์ ก็จะไม่มีใครเสียเวลามาฝึกปรือหรือเรียนรู้

พวกเขาอยู่ในสันติภาพมานานเกินไป และไม่มีแรงขับดันให้พวกเขาต่อสู้ฝ่าฟันไปข้างหน้า มันแตกต่างโดยสิ้นเชิงกับฉินมู่ เมื่อเด็กๆ เขาอาศัยอยู่ในแดนโบราณวินาศที่แสนอันตรายอย่างสุดขั้ว เมื่อเขายังเด็ก เขาก็ได้ท่องไปในแดนโบราณวินาศอันมีภยันตรายทุกหนแห่งแล้ว

ส่วนสันตินิรันดร์นั้น มันเป็นจักรวรรดิที่เปี่ยมไปด้วยชีวิตชีวา อำนาจของจักรวรรดิเพิ่มพูนขึ้นอย่างก้าวกระโดด ทำให้ก่อศัตรูมากมายอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่พวกเขามีการสนับสนุนจากแนวหลังที่ดีพร้อม มรรคา วิชา และทักษะเทวะก็เลยเปลี่ยนแปลงรุดหน้าไปทุกเมื่อเชื่อวัน

ด้วยมีทหารสู้ศึกอยู่ที่แนวหน้า และมีผู้ฝึกวิชาเทวะที่ใช้มรรคา วิชา และทักษะเทวะของตนเพื่อผู้คนในแนวหลัง พวกเขาก็ได้เปลี่ยนแปลงชีวิตประจำวันของผู้คน

ด้วยการปรากฏของเรือเหาะ รถเหาะ ปืนใหญ่ และสิ่งใหม่ๆ พิสดารทั้งหลาย ความคิดสร้างสรรค์ของสันตินิรันดร์ก็ยิ่งเข้มแข็งขึ้นทุกทีๆ มรรคา วิชา และทักษะเทวะทุกประเภทจึงถูกพัฒนาขึ้นมาอย่างเร็วจี๋

ส่วนที่สวรรค์ไท่หวงนั้น เพราะว่าสงครามขมขื่นและสูญเสียมากจนเกินไป พวกเขาจึงไม่มีแนวหลังที่แข็งแกร่ง ดังนั้นโครงสร้างทางสังคมจึงไม่ครบสมบูรณ์ โดยปราศจากดินอุดมแห่งความคิดสร้างสรรค์ มรรคา วิชา และทักษะเทวะของพวกเขาก็เลยไม่มีวันได้พัฒนา

ฉินมู่ถือกำเนิดในแดนโบราณวินาศ และตั้งแต่เมื่อเขายังเล็ก เขาได้รับการสั่งสอนอย่างเอาใจใส่จากผู้เฒ่าทั้งเก้า เขามาทันยุคสมัยแห่งการขยายตัวของจักรวรรดิสันตินิรันดร์ และยุคสมัยที่ราชครูสันตินิรันดร์กำลังผลักดันการปฏิรูป นำมาซึ่งความสำเร็จในปัจจุบันนี้

ยิ่งไปกว่านั้น เขายังเป็นหนึ่งในชนชั้นผู้นำของการปฏิรูป และยังเป็นผู้ที่ก่อตั้งท่วงท่ากระบี่ที่สิบแปดและนำทางจิตวิญญาณดั้งเดิม เขานั้นเป็นตัวตนที่ได้ย่างก้าวเข้าไปสู่การบรรลุเต๋าด้วยมรรคากระบี่

พุทธบุตรเหล่านี้ไม่เคยผ่านพายุเลยสักลูกก็เพราะว่าพวกเขาอยู่แต่ในพุทธเกษตร พวกเขาไม่ได้อยู่ในระดับเดียวกับฉินมู่

ฉินมู่เงยหน้าขึ้นและเห็นพุทธบุตรผู่จ้าวบุกตะลุยเข้ามาหาเขาอย่างเกรี้ยวกราด พุทธบุตรนี้เป็นยอดฝีมือแกร่งแห่งขั้นชาวสวรรค์ และเขาก็เกือบจะตายจากการที่ลิงยักษ์อสูรป้องตาบังแสงของเขา

การโต้วาทีของเขาไม่อาจเอาชนะลิงยักษ์อสูรได้ แต่กำลังฝีมือของเขาลึกล้ำ วิชามุทราของเขาซ้อนทับกันหลายชั้นระหว่างที่เขาวิ่งตะบึงมา ทุกการเคลื่อนไหว ท่วงท่า หมัด และลูกเตะ ล้วนแต่ยิ่งใหญ่ไร้ประมาณและน่าเกรงขาม

เขาขับเคลื่อนวิชามุทราที่เขาเชี่ยวชาญมากที่สุด และแต่ละมุทราที่เขาปลดปล่อยออกไปนั้นมีรอยประทับของพุทธเจ้าแต่ละประเภท ข้างหลังเขา จิตวิญญาณดั้งเดิมของเขา ราวกับพุทธเจ้าผู้ยิ่งยงนั่งอยู่พร้อมกับมีพุทธเจ้าเล็กๆ มากมายมาชุมนุมรอบๆ พวกพุทธเจ้าเหล่านั้นทั้งหมดขับเคลื่อนมุทราทุกประเภทไปพร้อมๆ กับวิชามุทราของเขา!

พุทธบุตรผู่จ้าววิ่งตะบึง และสายฟ้าก็กลิ้งม้วนอยู่ในชั้นเมฆ ไม่ทันที่ฟ้าร้องจะมาถึง ฟ้าแลบก็ฟาดเปรี้ยง

วิชามุทราที่เขากำลังช่วงใช้คือมหาทักษะเทวะแห่งสวรรค์ชั้นลักษมี อาบอาภาสู่สรรพสิ่ง!

พุทธบุตรที่สามารถฝึกปรือมหาทักษะเทวะเช่นนี้ได้มีน้อยยิ่งกว่าน้อย!

รัศมีของเขาแข็งแกร่งขึ้นทุกที และจิตวิญญาณดั้งเดิมของเขาก็เพิ่มพูนความแข็งแกร่งขึ้นจนกระทั่งเขาเหมือนกับลูกธนูอันหลุดจากแล่ง

ในตอนนั้นเอง ฉินมู่ก็คีบนิ้วชี้และนิ้วกลางเข้าด้วยกัน แปรเปลี่ยนเป็นนิ้วกระบี่เพื่อแตะไปที่หว่างคิ้วของตน จากนั้นนิ้วกระบี่ของเขาก็แทงไปข้างหน้า!

กระบวนท่าแรกของกระบี่ภัยพิบัติ ริเริ่มภัยพิบัติ!

พุทธบุตรผู่จ้าวได้สะสมพลานุภาพของเขาจนถึงขีดจำกัด และตะโกนออกมาอย่างช่วยไม่ได้เมื่อเขาเห็นแสงกระบี่พุ่งใส่หน้าเขา รูปเงาของพุทธเจ้ามากมายข้างหลังเขาพวยพุ่งพลานุภาพ และฟาดมุทรานับพันออกไปข้างหน้า

ฉินมู่หันหลังกลับและจากไป ลงมาจากท้องฟ้าเหยียบกับพื้นดิน เขานั้นยังฉงนฉงายอยู่เล็กน้อย “แปลกจริงๆ หลังจากที่ข้าขับเคลื่อนทักษะเทวะแห่งมรรคากระบี่นี้ ปกติแล้วปราณชีวิตของข้าก็จะแห้งเหือดไปไม่มากก็น้อย แต่ทำไมข้ากลับรู้สึกว่าปราณชีวิตของข้ายังเต็มเปี่ยมราวกับน้ำที่ปริ่มบ่อ มันดูเหมือนไม่มีที่สิ้นสุด…”

เขารู้สึกว่าปราณชีวิตของเขาปริ่มเต็มอยู่ตลอดเวลา ไม่อาจแห้งเหือดไป หลังจากต่อสู้มานานขนาดนั้น เขาก็แทบจะได้ช่วงใช้ทักษะเทวะและวิชาบู๊ทั้งหมดที่เขารู้อย่างน้อยหนึ่งครั้ง เขาถึงกับขับเคลื่อนมหาทักษะเทวะที่ต้องใช้พลังวัตรจำนวนมหาศาลไปหลายครั้ง แต่ปราณชีวิตของเขาก็ยังเต็มปริ่มอยู่ดี

ที่น่าแปลกไปกว่านั้น ก็คือเขารู้สึกได้ว่า การสั่งสมพลังวัตรปราณชีวิตของเขายิ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว

มันเป็นสิ่งที่ขัดแย้งกับหลักเหตุผลโดยสิ้นเชิง

ทันใด เขาก็ค้นพบว่าต้นตอของปัญหาอยู่ที่ไหน

มันคือดวงตาที่สามที่หว่างคิ้วของเขา

ทุกครั้งที่เขาสังหารผู้คนหนึ่งคน ปราณชีวิตก็จะไหลออกมาจากดวงตาของเขาไปยังทั่วสรรพางค์กาย มันเหมือนจะเป็นรางวัล ยิ่งเขาสังหารคนมากเท่าไร ก็ยิ่งได้รับรางวัลอันเอื้อเฟื้อมากเท่านั้น

แปลก แปลก ดวงตานี้จะต้องมีปัญหาใหญ่เป็นแน่…

ฉึก

แสงกระบี่ยาวสิบลี้ทะลวงทะลุศีรษะของพุทธบุตรผู่จ้าว แสงนั้นละลานตาเป็นที่สุด และจุดให้ฟ้าสว่างไสวไปครึ่งฟ้า

แม้ว่า อาบอาภาสู่สรรพสิ่ง ของพุทธบุตรผู่จ้าวจะมีพลานุภาพอันไพศาล แต่มันก็โจมตีใส่ความว่างเปล่าเพราะว่าฉินมู่ได้ใช้ขาเทวะขโมยสวรรค์เคลื่อนหนีไปไกลแล้ว

พุทธบุตรผู่จ้าวมีสายตาว่างเปล่า และล้มครืนลงไป

ข้างหลังเขา แสงกระบี่พลันรั้งกลับมา และแปรเปลี่ยนเป็นไจกระบี่เล็กจิ๋ว อันหมุนวนและเหาะลงมาจากท้องฟ้า ไม่ทันที่มันจะลงมาถึงพื้น ไจกระบี่ก็ขยายตัวและแปรเปลี่ยนเป็นมังกรยาวเก้าตัว ด้วยหัวมังกรที่ห้อยลงมา หัวของพวกมันกระหวัดเข้าด้วยกัน และพวกมันก็ครอบลงมายังพุทธบุตรคนหนึ่งราวกับฝาชีขนาดยักษ์

ข้างในครอบอัคคีเทวะเก้ามังกร เพลิงไฟและแสงกระบี่ระเบิดออกไปและบดขยี้พุทธบุตรคนนั้นแล้วแผดเผาเขาให้เป็นผงขี้เถ้า

ในเวลาเดียวกัน ฉินมู่ก็เหยียบลงพื้น เขายกมือขึ้นและครอบอัคคีเทวะเก้ามังกรก็ลอยเข้ามาพลางย่อหดลงไปอย่างรวดเร็ว เมื่อมันตกลงมาในมือของเขา มันก็แปรเปลี่ยนเป็นค้อนใหญ่เรียบร้อยแล้ว

ฉินมู่คำรามอย่างเกรี้ยวกราด และเพลิงไฟก็พวยพุ่งขึ้นสู่ฟากฟ้าข้างหลังเขาราวกับภูเขาไฟระเบิด ค้อนในมือฉินมู่เหวี่ยงทุบไปข้างหน้า และเขาฟาดหน้าอกของพุทธบุตรที่ถลันเข้ามาด้วยกำลังทั้งหมดในร่างของเขา

ในเสี้ยวพริบตาที่เขาฟาดค้อนออกไป กล้ามเนื้อในขาทั้งสองข้างก็เกร็งเขม็งและเขาก็พลันถีบตัวพุ่งไปข้างหน้า

หน้าอกของพุทธบุตรผู้นั้นยุบเข้าไปข้างในจากการฟาดทุบ และเขาซัดกระเด็นไปด้วยค้อนใหญ่ ต้นไม้สองข้างทางนั้นผ่านเขาไปราวกับแสงเงาอันพร่าพราย ขณะที่ต้นไม้ข้างหลังเขาระเบิดเสียงสนั่นเมื่อเขาพุ่งเข้าไปชน

ในพริบตาถัดไป ฉินมู่ปรากฏตัวข้างหน้าเขา และยื่นมือคว้าด้ามค้อน

ค้อนยักษ์แปรเปลี่ยนเป็นทวนยาวอันราวกับสายน้ำไหล และเขางัดพุทธบุตรคนนี้ขึ้นมาด้วยปลายทวน ด้วยการบิดเขย่าข้อมือ พุทธบุตรผู้นี้ก็ถูกฉีกเป็นเสี่ยงๆ!

“อย่าเข้าไปสู้โดยลำพัง!”

รัชทายาทฝูอวิ๋นตะโกนไปอย่างเฉียบขาด “ทุกคน เข้ามารวมตัวกัน และมาที่ข้างๆ ข้า ช่วยกันใช้ทักษะเทวะเนตรพุทธเพื่อแผดเผาเขาให้ตาย!”

พุทธบุตรเกือบทั้งหมดที่ยังรอดชีวิตนั้นกำลังไล่ล่าฉินมู่ พวกเขาเขวี้ยงทักษะเทวะและอาวุธวิญญาณทุกชนิดไปยังฉินมู่ แต่ยากที่พวกเขาจะตามทันรอยเงาของเด็กหนุ่ม เมื่อพวกเขาได้ยินเสียงตะโกนบอก พวกเขาก็ตระหนักขึ้นมา และรีบไปรวมตัวกันยังรัชทายาทฝูอวิ๋น

พุทธบุตรทั้งหลายก่อตัวกันเป็นกำแพงมนุษย์ เมื่อพวกเขาเหยียบขึ้นไปบนบ่ากันและกันเพื่อยืนเป็นชั้นๆ มีพวกเขาทั้งหมดหกสิบสี่คน

“เนตรพุทธ ปลุกพลัง!”

พุทธบุตรทั้งหกสิบสี่คนประนมมือเข้าด้วยกัน บางคนก็มีสามเศียรหกกร บ้างก็มีร่างสองด้าน บ้างก็มีร่างแท้ของปัญญาเทวราช และบ้างก็มีร่างอรหันต์ และพวกเขาทั้งหมดล้วนแต่ขับเคลื่อนเนตรพุทธ

“กวาดล้างหมอกพิษของปีศาจ สยบมารกำราบอสูร!”

เสียงของพวกเขาก้องสะท้อนไปอย่างเกรียงไกร และรัศมีของทุกๆ คนก็เชื่อมต่อเข้าด้วยกัน พวกเขาเหมือนกับป้อมปราการเหล็ก และรัศมีอันยิ่งใหญ่ของพวกเขาก็ราวกับเมืองทั้งเมือง

ฟิ้ววว

แสงพุทธรวมเข้าด้วยกันเป็นมหาอุทกภัยที่เขย่าขุนเขา พวกมันทำให้ห้วงอวกาศสั่นสะเทือนอย่างไม่หยุดยั้ง ระหว่างที่ยิงเข้าใส่ฉินมู่ในคราวเดียว!

ในเสี้ยวพริบตา แสงพุทธธรรมเข้มข้นอย่างเหลือแสน และเสียงพุทธก็ดังมากึกก้องอึงอล ไม่ว่าเสียงพุทธจะผ่านไปยังที่ใด ก็จะป่นทุกสิ่งให้เป็นผุยผงจากแรงสั่นสะเทือน

หลังจากที่ฉินมู่ดีดหอกพลิกพุทธบุตรให้ถึงแก่ความตายไป เขาก็เขย่าหอกเพื่อแปรเปลี่ยนมันให้เป็นโล่กระดองเต่าขนาดยักษ์อันเข้ามาปกป้องข้างหน้าเขา

ตูม

ร่างของเขาสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง และเขากระเด็นขึ้นไปบนอากาศกับโล่ กระบี่แปดพันเล่มก่อรูปขึ้นมาเป็นโล่ตรงหน้าเขา แต่พวกมันไม่อาจรักษารูปทรงโล่ได้อีกต่อไป แสงพุทธธรรมได้เขย่ากระบี่บินให้สะท้านไปหมด ทำให้พวกมันพังทลายหลังจากนั้น

ฉินมู่ครางเสียงหนักและกระอักเลือดออกมากำหนึ่ง ร่างของเขาถูกซัดกระเด็นออกมาจากเกาะบนทะเลทองคำแห่งแสงพุทธ ฟาดเขาไปยังยอดเขายอดหนึ่งอันปรากฏอยู่บนทะเลทอง

รัชทายาทฝูอวิ๋นและพุทธบุตรหกสิบสี่คนเหาะขึ้นไปบนท้องฟ้า และพวกเขาขึ้นไปยังห้วงเวหาเหนือทะเลทองคำ ที่กลางอากาศนั้น ทั้งหมดทุกคนตะโกนอย่างพร้อมเพรียงเป็นเสียงเดียว “ธรรมมะไร้ประมาณ อรหันต์ลงไปโปรดแดนต่ำใต้!”

ชิ้ง

แสงพุทธธรรมในดวงตาของพวกฉายส่องอย่างเข้มข้นอีกครั้ง และแสงพุทธธรรมทั้งหมดก็เข้ามารวมตัวกัน ก่อนจะซัดถล่มลงไปยังจุดที่ฉินมู่ตก

“พวกเจ้ามีแต่กล้าใช้จำนวนคนเข้าข่มเหง เจ้าคิดว่าข้ากลัวพวกเจ้าหรืออย่างไร”

ไม่ทันที่แสงพุทธธรรมจะมาถึงยอดเขา หินภูเขาก็ระเบิดออกจากยอด ฉินมู่พุ่งทะยานไปบนอากาศ ด้วยเส้นผมของเขาก็หลุดลุ่ยลงเลยบ่า เขายกสองมือขึ้นมาข้างหน้า ผนึกมุทราแปลกประหลาด

เมื่อมุทรายิงออกไป ดวงตาทั้งสามของเขาก็กลายเป็นกระจ่างจ้าขึ้น ดวงตาขวาของเขามีไฟแท้หยางพิสุทธิ์ และดวงตาซ้ายของเขามีไฟแท้หยินพิสุทธิ์ แต่ไม่มีดวงไหนที่ทัดเทียมได้กับดวงตาที่สามตรงหว่างคิ้วของเขา

ในดวงตาที่สามตรงหว่างคิ้ว วงจรพยุหะรูปปีกผีเสื้อได้ค่อยๆ ลอยออกมา มันกางปีกออกราวกับผีเสื้อกำลังปริตัวจากดักแด้

ดวงตาตั้งนี้กลายเป็นมารร้ายอย่างเหลือแสน ทันใดนั้น ฉินมู่ก็ผนึกมุทราเสร็จ มือของเขาสะบัดแกว่งไปข้างหลังและชะโงกศีรษะไปข้างหลัง ด้วยเสียงครึนครัน ลำแสงสามลำยิงออกมาจากดวงตาทั้งสาม

แสงพุทธธรรมเข้าไปปะทะกับแสงเทวะจากดวงตาสามดวง และกำแพงมนุษย์อันก่อขึ้นมาจากพุทธบุตรหกสิบสี่คนกลางอากาศก็พังทลาย แขนขาขาดวิ่นเริ่มโปรยปรายลงจากท้องฟ้า!

“ซ่า ถู โม๋ เฮอ ปา เฮ่อ…”

ฉินมู่หมายที่จะเอาชนะพวกเขาทั้งหมดในคราวเดียวกัน แต่ทันใดนั้นภาษาแดนใต้พิภพอันซับซ้อนซ่อนเงื่อนก็หลุดออกมาจากปากเขา ทำให้เขาสะดุ้งตกใจ เกิดอะไรขึ้น ทำไมจู่ๆ ข้าก็พูดภาษาแดนใต้พิภพ

แม้ว่าเขาจะพูดเช่นนั้น แต่เขาก็หัวเราะคิกคักและกล่าว “ฮี่ๆ เครื่องสังเวยมากพอแล้ว ดวงวิญญาณของไอ้พวกหัวโล้นนี่ไม่เลวเลยทีเดียว…”

ฉินมู่แลบลิ้นออกมาและเลียริมฝีปาก และเขาก็พลันแตกตื่น นี่มันไม่ถูกต้อง! ข้าไม่ได้คิดจะทำแบบนั้น! เกิดอะไรขึ้นกับตัวข้า

“มารร้ายใจบาป!”

ทันใดนั้น เสียงกึกก้องก็ดังออกมา เมื่อพุทธเจ้าตนหนึ่งเหาะแหวกอากาศมาพร้อมกับฝ่ามือของเขาที่ซัดกดจากเบื้องบน “เจ้านั้นเป็นมารชั่วช้าไม่อาจกลับตัว พุทธเจ้านี้มีโทสะแล้ว และข้าก็จะลบล้างเจ้าให้หายไปจากโลก!”

“เจ้าเอาชนะไม่ได้ ใช่ไหมล่ะ”

ฉินมู่กล่าวด้วยรอยยิ้ม “หากว่าเจ้าเอาชนะไม่ได้ ก็คืนร่างกายให้กับข้า ให้ข้าแสดงให้เจ้าดูว่าจะฉีกเขาเป็นชิ้นๆ ได้อย่างไร”

เมื่อเขากล่าวเช่นนี้ เขาก็รู้สึกหนาวเยือกถึงสันหลัง เขากล่าวคำพูดพวกนี้ออกจากปากชัดๆ แต่กระนั้นมันก็ไม่ใช่สิ่งที่เขากำลังคิดอยู่!