บทที่ 184 พลังสีเทา

หลังจากอธิบายออกมาแล้ว เว่ยหยวนตี้ได้ถามออกมาด้วยรอยยิ้มแหย่ๆออกมา “ว่าไง รู้สึกเสียดายแล้วล่ะซี้”

เฉินเฉียงได้ส่ายหน้าไปมาในทันทีและพูดออกมา “ข้าไม่นึกเสียใจกับสิ่งที่ข้าได้ตัดสินใจไปแล้วหรอกครับ ยิ่งไปกว่านั้นคือ เจิ้งยี่นั้นสมควรไปถึงระดับกึ่งราชานี้ก่อนข้าอย่างแน่นอน ข้าเองยังไม่ก้าวเข้าสู่ระดับกลางเลยด้วยซ้ำ”

“กว่าจะถึงเวลานั้น ข้ายังต้องผ่านอะไรอีกมากมายนัก เมื่อถึงเวลาแล้วค่อยว่ากันอีกทีก็แล้วกัน”

ไม่ใช่ว่าเฉินเฉียงนั้นจะไม่ได้อยากได้เคล็ดวิชานี้ แต่ยังไงซะ เขาเชื่อว่าเมื่อถึงเวลานั้น เจิ้งยี่ย่อมไม่หวงแหนเขาอย่างแน่นอน

ท่าทางของเฉินเฉียงนั้นอยู่เหนือกว่าที่เว่ยหยวนตี้และเว่ยฉิงเชินคิดไว้มากนัก อย่างไรก็ตาม เขาเองก็ไม่คิดจะแกล้งเฉินเฉียงเรื่องนี้อีกต่อไป เขาเปลี่ยนเป็นถามเรื่องของหยานเสวี่ย

เรื่องนี้ค้างคาใจของเขาเป็นอย่างมาก ในฐานะที่เขาเป็นผู้นำกองกำลังเพียงหนึ่งเดียวแห่งเขตกันหนัน เขาย่อมต้องรู้ความจริงทั้งหมดถึงจะรายงานให้กับผู้บัญชาการสูงสุดได้ หลังจากนั้นจึงค่อยช่วยกันคิดตัดสินใจต่อไปในอนาคต

อย่างไรก็ตาม เขานั้นก็ยังไม่ได้ข้อมูลอะไรที่เป็นประโยชน์จากเฉินเฉียงมากมายนัก

“เฉินเฉียง เจ้ารู้รึเปล่าว่าองครักษ์หยานคนนั้นแม้จะเป็นเพียงระดับนายพลวิญญาณขั้นสูง แต่เธอนั้นกลับสามารถทำลายมิติประลองนั่นได้ด้วยการลงดาบเพียงไม่กี่ทีเท่านั้น”

“แม้แต่ระดับกึ่งราชาที่ข้ารู้จักก็ยังไม่อาจทำได้แบบนั้น”

“แถมเธอนั้นยังเปิดจุดชีพจรได้เพียงแค่สามสิบห้าจุดเพียงเท่านั้นเป็นอย่างมาก”

“หากเธอไม่ใช่พวกมนุษย์กลายพันธุ์ล่ะก็ เธอก็คงเป็นคนจากฮุยตู๋ (ฮุยตู่)เป็นแน่”

“ฮุยตู๋เหรอ ลุงเว่ย นั่นคือสถานที่ที่ลุงเคยพูดออกมาก่อนหน้านี้ใช่รึเปล่า”

นี่เป็นครั้งที่สองแล้วที่เฉินเฉียงได้ยินคำนี้จากปากของเว่ยหยวนตี้ แต่เขาก็ยังคิดว่านี่เป็นเพียงเรื่องลวงเพียงเท่านั้นซะอีก

หยานเสวี่ยนั้นคือคนใต้บังคับบัญชาของราชาสวรรค์ และราชาสวรรค์เองก็เป็นมนุษย์กลายพันธุ์ แล้วเธอจะเป็นคนของฮุยตู๋ได้ยังไงกัน

“ฮุยตู๋นั้นไม่ใช่สถานที่หรือชื่อผู้คน แต่มันคือชื่อเรียกขานขององค์กรปริศนา”

เว่ยหยวนตี้ได้พูดออกมาด้วยท่าทีที่จริงจัง “แม้ว่าบนโลกนี้คนส่วนใหญ่จะรับรู้กันว่ากองกำลังบนโลกนี้มีเผ่าพันธุ์มนุษย์ สัตว์ประหลาด และมนุษย์กลายพันธุ์”

“แต่ในความเป็นจริงนั้น ยังมีอีกหนึ่งองค์กรปริศนาที่ยังลอบเคลื่อนไหวอยู่ พวกเราเรียกองค์กรนี้ว่า ฮุยตู๋”

“และองค์กรนี้เป็นสิ่งที่ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์ สัตว์ประหลาด และมนุษย์กลายพันธุ์ ต่างก็ไม่อยากที่จะได้พบเจอ”

“นั่นก็เพราะ พวกเขานั้นไม่ใช่องค์กรที่ทั้งสามเผ่าพันธุ์จะสามารถต่อกรด้วยได้ ยิ่งไปกว่านั้นคือ พวกเขาในบางครั้งจะร่วมมือกับเผ่าพันธุ์ใดเผ่าพันธุ์หนึ่งในการต่อกรกับเผ่าพันธุ์อื่น”

“และด้วยเหตุนี้ทำให้ทุกเผ่าพันธุ์ต่างก็ระวังที่จะต้องพบเจอกับองค์กรนี้ แต่ถึงกระนั้น ทั้งสามเผ่าพันธุ์ก็ไม่อาจทำอะไรฮุยตู๋ได้”

“แต่จะให้พูดอีกอย่างได้ก็คือการที่ทั้งสามเผ่าพันธุ์ยังคงรักษาความแข็งแกร่งให้อยู่ในระดับใกล้เคียงกันได้นั้น เหตุผลหลักแล้วก็มาจากองค์กรฮุยตู๋นี้”

“เฉินเฉียงเอ๊ย หากว่าอาจารย์ของเจ้าหรือองครักษ์หยานคนนั้นเป็นสมาชิกของฮุยตู๋จริงๆล่ะก็ เจ้าต้องจดจำไว้ว่าจะต้องรักษาสายสัมพันธ์กับพวกเขาเอาไว้ให้เหนียวแน่น”

“แต่ในขณะเดียวกัน ก็อย่าได้ประมาทเชื่อใจพวกเขาให้มากนัก”

“โดยเฉพาะอย่างยิ่งเจ้านั้นเป็นเผ่าพันธุ์มนุษย์ แถมยังเป็นทายาทของเฉินเทียนเว่ย ตราบใดที่เจ้าไม่ท้อถอย ลุงเชื่อว่าธงพลของกองกำลังจะนำความหวังให้กับเผ่าพันธุ์ของเราได้อีกครั้ง”

เฉินเฉียงพยักหน้ารับ

ถึงแม้เขาจะแน่ใจว่าราชาสวรรค์นั้นไม่เกี่ยวกับองค์กรฮุยตู๋ที่ว่า อย่างไรก็ตาม ด้วยคำพูดนี้มีความนัยอยู่ นั่นก็คือเขานั้นสามารถติดต่อกับหยานเสวี่ยได้อีกในอนาคต และเขานั้นจะไม่ต้องกังวลเรื่องที่ว่าคนอื่นจะคิดว่าเขาเป็นมนุษย์กลายพันธุ์แต่อย่างใด

ที่ดีที่สุดคือเขาสามารถโยนเรื่องทุกอย่างไปที่องค์กรฮุยตู๋นี้

หลังจากผ่านไปครึ่งวัน เว่ยหยวนตี้ก็ได้นำเจิ้งยี่ เฉินเฉียง และศิษย์คนอื่นที่ได้คะแนนสิบอันดับแรกตรงไปยังลานฝึกของตึกจอมพลกันหนัน

นี่คือสถานที่บ่มเพาะที่ดีที่สุดในเขตกันหนันแห่งนี้ เอาจริงๆจะให้พูดล่ะก็ดีกว่าห้องบ่มเพาะของทั้งสี่สำนักเลยทีเดียว

ยังไงซะที่นี่ก็คือหนึ่งในตึกจอมพลทั้งสามของภาคกลาง ที่นี่นั้นได้สร้างนักรบสายเลือดระดับนายพลวิญญาณขั้นสูงมามากมายหลายคนแล้ว

ตราบใดที่นักรบที่อยู่ต่ำกว่าระดับราชาสร้างผลงานในการต่อสู้กับมนุษย์กลายพันธุ์และสัตว์ประหลาด พวกเขาเหล่านั้นจะมีสิทธิได้เข้ามาใช้ที่นี่และมีโอกาสได้เข้าสู่ระดับราชาได้นะที่แห่งนี้

เว่ยหยวนตี้ได้นำพาคนทั้งสิบไปยังห้องบ่มเพาะทั้งสิบห้อง และจัดลำดับพวกเขาตามอันดับที่ได้รับ

“ห้องบ่มเพาะนี้มีระดับพลังงานสายเลือดที่เข้มข้นเทียบเท่ากับแก่นโลหิตสัตว์ประหลาด พวกเจ้าทั้งสิบมีเวลาบ่มเพาะข้างในเป็นเวลาหนึ่งเดือน ขอให้พวกเจ้าจงตั้งใจบ่มเพาะให้ดี”

“เมื่อถึงเวลานั้น จะมีใครบางคนมาพาเจ้าออกไป”

“ข้าหวังเป็นอย่างยิ่งว่าพวกเจ้าทุกคนจะยกระดับการบ่มเพาะของตนให้ดีพร้อมในช่วงหนึ่งเดือนนี้”

“นอกจากเฉินเฉียงที่มีระดับการบ่มเพาะอยู่ในระดับนายพลวิญญาณขั้นต้นช่วงปลายและเว่ยฉิงเชินเองก็พึ่งจะเปิดจุดชีพจรลับได้เพียงยี่สิบห้าจุดและอยู่ในระดับนายพลวิญญาณขั้นสูงแล้ว”

“ส่วนพวกเจ้าอีกแปดคนนั้น หากทุกอย่างเป็นไปได้ด้วยดี เป็นไปได้ว่าพวกเจ้าบางคนอาจจะไปถึงระดับนายพลวิญญาณขั้นสูงได้”

“เฉินเฉียง นี่คือรางวัลของอันดับหนึ่ง พวกมันควรจะเป็นของเจ้านะ ลองดูสิ”

ก่อนที่จะเข้าห้องบ่มเพาะ เจิ้งยี่ได้ส่งหนังสือที่ตัวอักษรเขียนไว้ว่าบทสวดเสียงสวรรค์มาให้เฉินเฉียง

เฉินเฉียงได้มองมันเพียงเท่านั้นแต่ไม่ได้ยื่นมือไปรับแต่อย่างใด “ศิษย์พี่เจิ้ง ท่านเองช่างดีกับข้านัก”

“แต่ในตอนนี้ข้านั้นยังไม่แม้แต่จะขึ้นระดับนายพลวิญญาณขั้นกลางเลย ข้าได้มาก็เปล่าประโยชน์อยู่ดี”

“เคล็ดวิชานี้จะฝึกได้ก็ต่อเมื่อข้านั้นเปิดจุดชีพจรลับที่สามสิบหกได้แล้ว”

“ดังนั้น ข้าคิดว่าท่านเองในตอนนี้สมควรจะสนใจการบ่มเพาะหนึ่งเดือนให้ดี ข้าเชื่อว่ายังไงซะ ท่านจะต้องได้ใช้มันก่อนข้าเป็นแน่ และเมื่อถึงคราวของข้าข้าค่อยรับมันไปก็แล้วกัน”

หลังจากพูดจบ เฉินเฉียงได้หันหลังและเข้าไปยังห่องบ่มเพาะที่สอง

ห้องบ่มเพาะของตึกจอมพลนี้ช่างแตกต่างจากที่เขาเคยใช้มามากนัก ไม่เพียงพลังสายเลือดที่พวยพุ่งอยู่นี้จะเข้มข้นอย่างมาก แม้แต่ขนาดของห้องก็ยังใหญ่กว่าห้องบ่มเพาะที่ดีที่สุดของสำนักมังกรอาชูร่าถึงสองเท่าเห็นจะได้

และด้วยการที่มีเวลาเพียงเดือนเดียว เฉินเฉียงไม่ต้องการจะเสียเวลาอีก เขาได้นั่งขัดสมาธิลงกับพื้นและทำการผ่อนคลายจิตใจแล้วทำการใช้เคล็ดวิชาหลอมเลือดทำลายล้างในทันที

ในระหว่างการต่อสู้กับหลินฟานนั้น เขาได้ก้าวเข้าสู่ขอบเขตเจตจำนงแห่งการต่อสู้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว และนี่ถือได้ว่าเขานั้นได้อยู่ในระดับนายพลวิญญาณขั้นต้นตอนปลายที่สมบูรณ์อย่างที่สุด เมื่อเป็นแบบนี้แล้ว ด้วยเคล็ดวิชาหลอมเลือดทำลายล้างของเฉินเฉียงในตอนนี้ได้เร่งการไหลเวียนของพลังสายเลือดของจุดชีพจรลับทั้งสิบสองจุด พร้อมทั้งจุดชีพจรหลักที่ในตอนนี้กำลังสูบฉีดพลังสายเลือดเข้ายังจุดชีพจรลับราวกับไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย หลังจากนั้นเขาจึงได้เริ่มทำการเปิดจุดชีพจรลับที่สิบสามหรือก็คือจุดฮัวหลูที่อยู่ช่วงล่างของอกเขา

เรียกได้ว่ากระบวนการนี้เป็นไปได้อย่างไม่ติดขัด

ตอนที่เฉินเฉียงออกจากมิติประลองนั้น จุดชีพจรที่สิบสามของเขาเองก็พร้อมที่จะเปิดให้เขาได้ทุกเมื่อหากเขาต้องการ

แต่ด้วยคำกล่าวของราชาสวรรค์นั้นทำให้เฉินเฉียงทำการสะกดกั้นไม่ยอมยกระดับขั้นตัวเขาอย่างเต็มความสามารถ และนี่ก็ถึงเวลาที่เขาจะเปิดมันออก

และเป็นตอนนี้ที่เขานั้นได้พบกับผลประโยชน์ที่เกิดจากความอดทนของเขาอย่างสุดชีวิต

และด้วยการที่เฉินเฉียงนั้นทำตามคำแนะนำของฮู่ต้าไฮ่ได้เป็นอย่างดี นั่นก็คือยามที่เปิดจุดชีพจรได้นั้นจะต้องขัดเกลาพวกมันให้แข็งแกร่งเสียก่อน หรือก็คือในตอนนี้เขาได้เติมเต็มพลังสายเลือดทุกจุดชีพจรลับของเขาจนแทบจะล้นก็ว่าได้

รวมถึงการที่เขานั้นไม่แยแสถึงความห่างชั้นของระดับการบ่มเพาะที่ต่างกันมากราวกับฟ้าและเหว และผ่านการต่อสู้แบบนี้มามากมายหลายครั้งโดยไม่เคยแม้แต่พ่ายแพ้

เช่นเดียวกับครั้งก่อนๆ หลังจากที่เขานั้นเปิดจุดชีพจรได้ เขาก็ยังไม่ได้ทะลวงเปิดจุดชีพจรต่อแต่อย่างใด กลับกัน เขารีบเติมเต็มจุดชีพจรของเขาพร้อมทั้งฝึกเพลงดาบสายฟ้าทำลายวิญญาณของเขาไปด้วยในห้องที่กว้างใหญ่นี้

ถึงแม้ว่าเขานั้นจะได้เห็นท่าทางที่มาจากความทรงจำบางส่วนของราชาสวรรค์ แต่เขาในตอนนี้ก็สามารถเชี่ยวชาญกระบวนท่าที่หกของเพลงดาบสายฟ้าทำลายวิญญาณจนได้

เขาเชื่อว่าเมื่อใดก็ตามที่เขาเรียนรู้กระบวนท่าที่เจ็ดได้ เพลงดาบของเขาก็จะอยู่ในระดับสูงเป็นอย่างน้อยในทันที