บทที่ 161 ตระกูลจี้

คู่ชะตาบันดาลรัก

“คุณหนูเจ้าคะ” ตัวฝูอาศัยจังหวะที่พี่สะใภ้อยู่ในครัวถามเสียงเบา “บ้านเล็กเช่นนี้ พวกเราอาศัยอยู่ที่นี่ได้หรือเจ้าคะ”

หมิงเวยตอบ “เดิมทีบ้านท่านลุงมีพี่หญิงอีกสองคนอาศัยอยู่ต้องมีที่ให้เราอยู่อยู่แล้ว”

“แต่ว่า…” หมิงเวยโบกมือ “เจ้าอย่าพูดเรื่องนี้อีก”

นางรู้ว่าตัวฝูต้องการพูดอะไร จวนตระกูลหมิงที่ตงหนิงนั้นกว้างขวาง สวนอวี๋ฟางใหญ่ขนาดนั้นมีแค่พวกนางสองคนแม่ลูก จวนตระกูลจี้เล็กเพียงนี้เกรงว่าจะต้องแบ่งหนึ่งหรือสองห้องให้

ตัวฝูกังวลว่านางจะมีชีวิตอยู่อย่างไม่สะดวกสบาย แต่หมิงเวยกลับไม่คิดอย่างนั้น เดิมทีนางเป็นคนท่องยุทธจักร พื้นที่เพียงสามฉื่อนางก็อยู่ได้ นางไม่ได้ต้องการอยู่พื้นที่กว้างขวางขนาดนั้น

แต่แม่นมถง ปิงซิน และซู่เจี๋ยยังเดินทางมาไม่ถึง เมื่อพวกนางมาถึงแล้วก็คงอยู่ที่ตระกูลจี้ไม่ได้…ถึงตอนนั้นค่อยว่ากันอีกที

ไม่นานจี้ฮูหยินก็กลับมา นางเป็นหญิงวัยกลางคนที่ธรรมดา แม้จะดูมีอายุไปหน่อย

เมื่อนางเห็นหมิงเวย ดวงตากลมของนางก็แดงระเรื่อก่อนจะเข้ามากอดหมิงเวยแล้วร้องไห้ “อาอวี๋ อาอวี๋ที่น่าสงสาร! ไม่เจอกันมานานหลายปี แต่ตอนนี้กลับไม่มีโอกาสได้เจอหน้ากันอีกแล้ว เด็กคนนี้โตมาได้เหมือนเจ้ามาก!”

หมิงเวยไม่ชอบอยู่ใกล้ผู้คนมากเกินไป แต่เมื่อเห็นนางร้องไห้อย่างจริงใจทำให้หัวใจของนางอ่อนยวบลง แม่นมถงบอกว่าเมื่อตอนที่ท่านแม่ยังไม่ออกเรือน ก็ได้พี่สะใภ้คอยช่วยดูแลที่บอกว่าท่านป้าเป็นคนดีมากดูท่าจะเป็นเรื่องจริง

หลังจากร้องไห้สักพักจี้ฮูหยินก็เช็ดน้ำตาและพูดกับนางด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “ป้าไม่ได้ทำให้หลานตกใจใช่หรือไม่ ที่จริงแล้วป้าไม่ได้พบท่านแม่ของหลานมาหลายปี ป้าคิดถึงนางมาก แต่คงไม่ได้พบกันอีกแล้ว…เด็กดี เรื่องในครอบครัวของหลาน พี่ใหญ่ของเจ้าได้เขียนจดหมายมาบอกแล้วหลังจากนี้เจ้าก็อยู่ที่นี่อย่างสบายใจเถอะ ถึงในเรือนจะคับแคบไปหน่อย เทียบกับเรือนที่หลานเคยอยู่ไม่ได้ แต่อย่าได้รังเกียจกันเลย…”

หมิงเวยยิ้ม “ตอนนี้หลานไม่มีบ้านให้กลับ ท่านป้าเต็มใจรับหลานมาอยู่ด้วย หลานซาบซึ้งใจมากจะรังเกียจได้อย่างไรกันเจ้าคะ”

“ดีๆ” จี้ฮูหยินตบมือนางเบาๆ “หลานเดินทางมาเหนื่อยๆ ไปนั่งพักก่อนเถิด ป้าจะทำอาหารอร่อยๆ ให้หลานทาน” พูดจบนางก็รีบเดินออกไป

ตัวฝูแปลกใจเล็กน้อย “คุณหนูเจ้าคะ”

“หืม…”

“เรือนของนายท่านจี้ดูแตกต่างมากเลยเจ้าค่ะ!”

หมิงเวยยิ้ม “ไม่เหมือนกันแล้วไม่ดีหรือ”

ตัวฝูคิด “ดูเหมือนว่า…จะดีนะเจ้าคะ จี้ฮูหยินใจดีมาก ฮูหยินน้อยเองก็เข้ากันได้ดี”

เมื่อถึงตอนเย็นนายท่านจี้ก็กลับมา ท่าทางของเขาไม่ต่างจากที่หมิงเวยคิดไว้ เป็นชายอายุสี่สิบ ร่างกายผอมบางไม่ต่างจากจี้หลิง ใบหน้าของเขาค่อนข้างคล้ายกับฮูหยินสามจึงดูค่อนข้างน่ามอง ยามเดินแขนเสื้อของเขาพลิ้วไหว ช่างดูสง่างามยิ่งนัก

เมื่อเขาเห็นหมิงเวยถึงแม้จะไม่ตื่นเต้นเท่าจี้ฮูหยิน แต่ดวงตาของเขาแดงก่ำ ไม่พูดอะไรอยู่เป็นเวลานาน หลังจากนั้นไม่นานเขาก็อดกลั้นน้ำตาเอาไว้แล้วพูดคุยกับนาง ถามเกี่ยวกับชีวิตของฮูหยินสามในช่วงที่ยังมีชีวิตอยู่ จากนั้นก็ถามเกี่ยวกับสถานการณ์ของตระกูลหมิง

หมิงเวยตอบทีละคำถาม

นายท่านจี้พูดด้วยน้ำเสียงอบอุ่น “หลานอยู่ที่นี่อย่างสบายใจเถอะ ส่วนเรื่องครอบครัวของหลาน ลุงจะเรียกพี่ใหญ่ของหลานมาสอบถามเอง ด้วยพระมหากรุณาธิคุณของฝ่าบาท มีโอกาสที่ฝ่าบาทจะเมตตาเด็กและสตรี ไม่ต้องกังวลไป”

หมิงเวยตอบรับ

นายท่านจี้เงียบไปครู่หนึ่งจากนั้นก็พูดว่า “จำได้ว่าตอนที่หลานยังเด็ก หลานแตกต่างจากเด็กทั่วไปไม่คิดว่าหลานจะมีโชคชะตาที่ดี อาการป่วยในหลายปีที่ผ่านมาหายเป็นปลิดทิ้ง นี่เป็นรางวัลสำหรับคนดีต่อไปจุดธูปไหว้มารดาเยอะๆ ให้นางอวยพรให้หลานมีชีวิตที่ราบรื่นด้วยนะ” เมื่อเขาพูดเช่นนี้ดวงตาหมิงเวยก็แดงก่ำ

นายท่านจี้พูดอีกว่า “ได้ยินว่าหลานนำขี้เถ้าของมารดากลับมาด้วย เช่นนั้นก็ดี ในเมื่อตระกูลหมิงปฏิบัติไม่ดีต่อนางก็ให้นางกลับมาเถิด ในอนาคตหลานกับเสียวอู่ต้องแต่งงานกันก็ให้เขาได้จุดธูปไหว้นางด้วย”

หมิงเวยตอบรับ ที่จริงนางไม่ต้องการแต่งงานแต่บรรยากาศในตอนนี้ไม่สมควรที่จะนำเรื่องนี้มาพูด

เมื่อเห็นว่าฟ้าเริ่มมืดแล้วนายท่านจี้มองไปที่ประตูหลายครั้งและถามลูกสะใภ้ของเขา “เสียวอู่อยู่ไหน เย็นขนาดนี้แล้วทำไมยังไม่กลับมา”

พี่สะใภ้ไม่มีทางเลือกจึงตอบไปว่า “สะใภ้ให้คนไปตามเขาแล้วเจ้าค่ะ แต่เขา…”

นายท่านจี้เลิกคิ้ว “ไม่ใช่ว่าบอกไปแล้วหรือว่าวันนี้ลูกพี่ลูกน้องของเขามา ต้องกลับเร็วมิใช่หรือ”

พี่สะใภ้ไม่รู้จะตอบอย่างไรดีได้แต่อ้ำอึ้ง

จี้หลิงอุ้มบุตรสาวเข้ามา “ท่านพ่อ ท่านไม่รู้นิสัยของเสียวอู่หรือ อย่าไปสนใจเขาเลย พวกเรามาทานข้าวกันเถอะ!” พูดจบเขาก็บอกให้บุตรสาวเดินไปหาท่านปู่

นายท่านจี้ถูกหลานสาวร้องเรียกจึงบอกออกไปว่า “งั้นไปทานข้าวกันเถอะ”

อาหารมื้อนี้หมิงเวยมีความสุขมาก ไม่ต้องแยกที่นั่ง แต่กินข้าวด้วยกันทั้งครอบครัว ฝีมือทำอาหารของจี้ฮูหยินดีมาก รู้สึกถึงรสชาติดั้งเดิมของตงหนิง

หลังรับประทานอาหารเสร็จพี่สะใภ้ก็พานางไปยังห้องพัก

“ห้องนี้เดิมทีเป็นของพี่หญิงทั้งสองคนของเจ้าตอนที่ยังไม่ออกเรือน ทั้งสองห้องเชื่อมต่อกัน ถูกใจหรือไม่ รู้สึกไม่ค่อยเป็นธรรมต่อสาวใช้ของเจ้าเท่าไร แต่ที่นี่ไม่มีห้องอื่นแล้วจริงๆ”

ตัวฝูรีบตอบ “ฮูหยินน้อยเกรงใจเกินไปแล้วเจ้าค่ะ บ่าวอยู่กับคุณหนูตลอดเวลา ไม่ต้องการห้องอื่นหรอกเจ้าค่ะ”

พี่สะใภ้ยิ้ม “เช่นนั้นก็ดีแล้ว” หมิงเวยยืนอยู่ในห้อง นางมองไปที่เครื่องเรือนแล้วรู้สึกประทับใจ

เรือนตระกูลจี้เล็กแค่ไหนนางเห็นด้วยตาตนเองแล้ว จี้หลิงเองก็แต่งงานแล้วแต่อาศัยอยู่ที่ห้องเซียงฝาง[1]ห้องเดียว แต่ห้องที่ยกให้นางกลับเป็นห้องที่เชื่อมติดกันสองห้อง

ของตกแต่งในห้องไม่สวยหรู แต่มีรายละเอียดมาก ตั้งแต่สีของมุ้งไปจนถึงลวดลายของโต๊ะเครื่องแป้งล้วนคัดสรรมาอย่างดี

ส่วนห้องหนังสือที่แยกตัวออกมาด้านนอก พู่กัน แท่งหมึก กระดาษ ที่ฝนหมึก พิณกู่ฉิน หมากล้อม พู่กันจีน ภาพวาดจีนล้วนมีเตรียมพร้อมไว้หมดแล้ว

พี่สะใภ้เห็นนางมองกู่ฉินและของอื่นๆ จึงบอกไปว่า “กู่ฉินนี้เดิมทีเป็นของพี่หญิงของเจ้า อาจดูเก่าไปเสียหน่อยแต่ได้รับการดูแลมาเป็นอย่างดี เลยถือโอกาสนำมาตกแต่งในห้องของเจ้าเสียเลย พี่ใหญ่ของเจ้าเป็นคนซื้อกระดานหมากรุกนี้ บอกว่ามันเป็นของเก่าจากราชวงศ์ก่อน แต่ข้าคิดว่าเขาถูกโกงล่ะ” พูดแล้วก็ยกมือปิดปากหัวเราะ

หมิงเวยยื่นมือออกไปเคาะกระดานหมากรุกแล้วยิ้ม “แน่นอนว่าไม่ได้เป็นของจากราชวงศ์ก่อน แต่ทำมาจากไม้ถงชั้นดีเลยทีเดียวเจ้าค่ะ”

พี่สะใภ้มองนางด้วยความแปลกใจ “เจ้ารู้เรื่องนี้ด้วยหรือ”

หมิงเวยตอบ “แค่เคยเห็นเจ้าค่ะ”

ดวงตาของพี่สะใภ้มองมาอย่างชื่นชมโดยไม่ปิดบัง “ตอนที่ยังไม่พบหน้ากัน ข้าคิดหลายพันครั้งว่าเจ้าเป็นคนเช่นไร ตอนนี้ได้พบกันแล้วที่ข้าคิดไปเองก่อนหน้านี้เทียบไม่ได้กับความจริงเลย พอเห็นเจ้าแล้วจินตนาการได้ไม่ยากเลยว่าก่อนหน้านี้ท่านอาสะใภ้โดดเด่นเพียงใด ช่างน่าเสียดายที่ไม่ได้พบกัน…”

หมิงเวยรู้สึกเศร้าใจเล็กน้อยและมองไปที่กระดานหมากรุกเงียบๆ

พี่สะใภ้รีบพูดออกมา “ดูข้าสิ พูดอะไรออกมาก็ไม่รู้ เจ้าในตอนนี้สบายดีเช่นนี้ วิญญาณของท่านอาสะใภ้ที่อยู่บนสวรรค์คงมีความสุขมาก”

หมิงเวยยิ้มแล้วพยักหน้า

เมื่อเห็นตระกูลจี้เป็นเช่นนี้หมิงเวยก็อดคิดไม่ได้ว่าถ้าฮูหยินสามยังมีชีวิตอยู่ ถ้านางได้กลับมายังตระกูลจี้คงจะดีมาก!

น่าเสียดายที่เรื่องราวไม่เป็นอย่างที่เราต้องการ พี่สะใภ้พูดอะไรบางอย่างกับนางอีกเล็กน้อย เมื่อเห็นว่านางง่วงแล้วจึงเอ่ยลากลับไป

คืนแรกที่มาถึงเมืองหลวงหมิงเวยรู้สึกสงบและเศร้าไม่มีใจมองสิ่งใดอีกจึงรีบเก็บของกับตัวฝูจากนั้นก็เข้านอน จนกระทั่งเข้านอนแล้วนางก็ยังไม่ได้ยินข่าวการกลับมาของพี่ห้าเลย

ค่ำคืนที่เงียบสงัด

ประตูเรือนตระกูลจี้ถูกลงกลอนแล้วมีคนปีนขึ้นมาบนสันกำแพงอย่างไม่มั่นคงนัก เขาเงยหน้ามองดวงจันทร์ที่สว่างไสวแล้วก็คิดว่าไม่อยากลงจากกำแพงไปจึงนั่งท่องกวีอยู่บนนั้น

“พระจันทร์ที่ลอยเด่นเหนือทะเล…”

หมิงเวยที่หลับไปได้พักหนึ่งจู่ๆ ก็รู้สึกตัวตื่นขึ้นมา นางสวมเสื้อผ้าแล้วเดินออกไปจากห้อง พอดีกับที่เห็นใครบางคนนั่งบ้าอยู่ใต้แสงจันทร์…

…………………

[1] ห้องเซียงฝาง : เป็นห้องที่อยู่ด้านทิศตะวันตกและทิศตะวันออกของเรือนสี่ประสาน จะอยู่ด้านข้างห้องโถงใหญ่และห้องสำคัญ