ตอนที่ 149 มีไมตรีเกินไปแล้ว

บรรลุอรหันต์กับระบบพุทธองค์

“อมิตพุทธ ถ้าให้โอกาสท่านมีชีวิตอีกครั้งจะว่ายังไง?” ฟางเจิ้งถาม

“ยังไง? ถ้ามีชีวิตฉันจะไม่เป็นนักบวชแล้ว ฉันจะกลับบ้าน สอนลูก ดูแลเมีย ฟ้าถล่มก็จะเป็นเสาหลักให้พวกเขา กันลมกันฝน” อู้หมิงกล่าว

“อมิตาพุทธ” ฟางเจิ้งประนมสองมือสวดไปบทหนึ่ง

ตอนนี้เองทุกอย่างตรงหน้าอู้หมิงพลันเป็นมายา แสงธรรมะสว่างขึ้นเรื่อยๆ แสบตาจนลืมตาไม่ขึ้น เขาใช้มือปิดตาโดยจิตใต้สำนึก หลังปรับสภาพได้แล้วถึงพบสิ่งที่น่าตกใจคือเขายังอยู่บนหน้าผามองภูมิลำเนา!

และพวกฟางเจิ้งก็เพิ่งจะเดินขึ้นมาบนผามองภูมิลำเนาเท่านั้น ยังอยู่ไกลๆ เขาเห็นว่าฟางเจิ้งมองเขา ซ้ำยังประนมสองมือยิ้มให้เขาเล็กน้อย

อู้หมิงมึนงง ไม่แน่ใจว่าเรื่องราวเมื่อครู่เป็นภาพมายาหรือความจริง ถ้าเป็นความจริง เช่นนั้นตอนนี้เกิดอะไรขึ้น? เวลาย้อนกลับ? ถ้าเป็นภาพมายา หรือจะความฝัน? แต่ไม่ว่ายังไงอู้หมิงก็เข้าใจแล้วว่าทุกอย่างเป็นเพราะฟางเจิ้ง! เณรที่ดูเหมือนไม่มีภัยอะไร!

ต้นกกข้ามฟาก ความฝันยามต้มข้าวฟ่าง สองเรื่องราวทำให้อู้หมิงเข้าใจหลักการอย่างหนึ่ง เณรตรงหน้าไม่ใช่คนธรรมดา ไม่ใช่พระพุทธองค์จริงๆ ก็เป็นพระอาจารย์! จะล่วงเกินไม่ได้!

ในเมื่อล่วงเกินฟางเจิ้งไม่ได้ ในใจเขากลับไปยังปัญหาเรื่องครอบครัวอีกครั้ง นึกถึงบ้าน นึกถึงทุกอย่างในความฝัน ดวงตาอู้หมิงพลันแดงเรื่อ ไม่ว่าจริงหรือปลอมเขารู้ดีว่าฟางเจิ้งให้เขาเห็นเจตนาเดิม ไม่หลงทางอีก นี่คือบุญกุศลครั้งใหญ่! คิดได้ดังนั้นอู้หมิงก็ก้าวยาวเดินไปหาฟางเจิ้ง

“อู้หมิง ท่านจะทำอะไร? ยังยึดมั่นในความลุ่มหลงไม่ตระหนักอีกหรือ?” หลวงจีนหงเหยียนเห็นอู้หมิงปรี่เข้ามาหาฟางเจิ้งก็โกรธ ด่าทอเสียงดัง! เรื่องราวมาถึงขนาดนี้แล้ว แม้จะไม่มีใครพูด แต่หลวงจีนหงเหยียนเข้าใจทุกอย่างแล้ว ทุกอย่างนี้เป็นฝีมือของอู้หมิง

ทว่าอู้หมิงไม่มีทีท่าว่าจะหยุด ดวงตาเขาแดงเล็กน้อย มีสีหน้าร้อนรนบ้าง ราวกับกำลังกังวลบางอย่าง

อู้หมิงเดินมาเร็วมาก นักบวชทุกรูปเห็นส่วนใหญ่เกิดลางสังหรณ์ไม่ดี คิดในใจ ‘หรือว่าอู้หมิงจะโกรธจนลงมือทำร้ายคนอื่น?’

ทุกรูปต่างมองฟางเจิ้งด้วยความกังวล ตู้เหล่า หงเสียงเดินหน้าหนึ่งก้าวขวางอู้หมิงไว้ ตอนนี้เองฟางเจิ้งพลันขวางหงเสียงไว้ ประนมสองมือยิ้มเล็กน้อย “โยมคิดดีแล้วใช่ไหมว่าจะเลือกทางไหน?”

อู้หมิงตัวสั่นสะท้าน ก่อนคุกเข่าลงตรงหน้าฟางเจิ้งต่อสายตาตื่นตะลึงของทุกคน เอาหัวโขกพื้นสามครั้ง ทุกคนมองมาอย่างประหลาดใจ ไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น อู้หมิงไม่หาเรื่องฟางเจิ้ง แต่ทำไมต้องคุกเข่าเอาหัวโขกพื้น?

แล้วก็ฟางเจิ้ง อู้หมิงก็เป็นนักบวชเหมือนกัน ทำไมถึงเรียกอู้หมิงว่าโยม? นี่มันไม่ถูกต้อง!

อู้หมิงเอ่ยขึ้นทันใด “ขอบคุณหลวงพี่ฟางเจิ้งมากที่ชี้แนะแนวทางให้มากครับ อู้หมิงพลาดพลั้งมาตลอดชีวิต แบกภูเขาเดินหน้า เดินหลงทางภายใต้แรงกดดัน ในที่สุดวันนี้ก็เข้าใจแล้วว่าต้องการอะไร ผมคิดดีแล้ว ผมจะสึก ผมจะกลับบ้าน!”

สิ้นเสียงทุกคนต่างมึนงง นี่มันเรื่องอะไร? อู้หมิงที่เมื่อครู่สนทนาธรรมกับพวกเขาทำไมจู่ๆ ถึงจะสึก? แล้วก็เรื่องนี้เกี่ยวอะไรยังไงกับฟางเจิ้ง? ไม่เห็นเขาทำอะไรเลย?

ทุกคนต่างงุนงง หลวงจีนหงเหยียนกับหลวงจีนไป๋อวิ๋นก็งง มองฟางเจิ้งก่อนมองอู้หมิง ไต้ซือแห่งยุคเพิ่งรู้ตัวเป็นครั้งแรกว่ามันสมองไม่เพียงพอ!

การตัดสินใจของอู้หมิงเหนือการคาดเดาของฟางเจิ้ง ฟางเจิ้งไม่ตกใจ แต่เอ่ยนิ่งๆ “ถ้าอย่างนั้น มาทางไหนก็ไปทางนั้นเถอะ”

อู้หมิงพยักหน้าแล้วไหว้อีกครั้ง! ก่อนจะมาคุกเข่าไหว้อยู่ตรงหน้าหลวงจีนหงเหยียน

หลวงจีนหงเหยียนอดใจไม่ไหวถามขึ้น “อู้หมิง นี่มันเรื่องอะไรกัน?”

“อาจารย์ อู้หมิงผิดไปแล้ว ตอนนั้นล้มละลาย ผมเลยหนีหนี้ไปวัดต่างๆ มากมาย แต่ไม่มีใครรับผม เป็นท่านที่รับผมเข้าวัดผาแดง ศิษย์สำนึกในบุญคุณ! แต่หลายปีมานี้ศิษย์กลับไม่ตอบแทนคุณ แต่ทำเพื่อความต้องการของตัวเอง…” อู้หมิงเล่าความคิดในตอนแรก ความขัดแย้งกับฟางเจิ้งและการใส่ร้ายฟางเจิ้งทั้งหมด อีกทั้งยังแสดงท่าทีอย่างชัดเจนว่าในใจคิดถึงคนในครอบครัว ไม่มีใจออกบวชแล้ว แค่อยากสึกกลับบ้าน ยอมรับความรับผิดชอบและหน้าที่ที่ควรจะแบกรับ

พูดถึงช่วงท้าย อู้หมิงแทบจะกล่าวไปพร้อมกับเอาหัวโขกพื้น โขกจนหน้าผากมีเลือดแล้วก็ยังไม่ยอมหยุด เขาพูดมาจนหมดถึงหยุดรอหลวงจีนหงเหยียนตอบ

ทุกคนได้ยินดังนั้นแล้วก็เข้าใจต้นสายปลายเหตุของเรื่องราว คนที่บีบให้ฟางเจิ้งใช้ต้นกกข้ามฟากก็คืออู้หมิง! เป้าหมายของเขาเพียงแค่อยากแก้แค้นที่ฟางเจิ้งแย่งญาติโยมที่มาจุดธูป…

ถึงตอนนี้ทุกคนพลันมองด้วยความโกรธ มีคนด่าทอ “คนแบบนี้จะให้อยู่ในพุทธศาสนาได้ยังไง?”

“อมิตาพุทธ…”

ใบหน้าอ้วนของหงจิงแดงก่ำ พอได้ฟังคำพูดอู้หมิง ความสงสัยก่อนหน้านี้ได้คำตอบแล้ว ยังไม่ทันตรวจสอบก็สรุปผลตราหน้าฟางเจิ้ง ไม่มีคนไต่ถามก็ไม่เป็นไร แต่ถ้ามีคงขายหน้าน่าดู ดีที่ทุกคนจดจ่อสมาธิอยู่กับอู้หมิง…

บัดนี้เองหลวงจีนหงเหยียนถอนหายใจ “อาตมาจะไม่รู้เรื่องราวของท่านได้ยังไง? ดังนั้นเลยให้ท่านศึกษาพระธรรมทุกคืนวัน หวังว่าสักวันหนึ่งจะเข้าใจและพาตัวเองจริงๆ กลับมา ช่วยไม่ได้…เฮ้อ! ช่างเถอะๆ วันนี้ถือว่าท่านหาตัวเองจริงๆ พบแล้ว ถ้าอย่างนั้นก็ลงเขาไปเถอะ!”

“ขอบคุณครับ!” อู้หมิงไหว้อีกครั้งก่อนยืนขึ้น ถอดจีวรออก เปลือยกายท่อนบน เดินลงเขาไปในฤดูหนาว จังหวะก้าวว่องไว นัยน์ตาไม่มีแผนการร้ายในวันวานอีก มีเพียงการหลุดพ้น สบาย!

ฟางเจิ้งเห็นดังนั้นจึงประนมสองมือ กล่าวกับเงาแผ่นหลังอู้หมิง “อมิตาพุทธ!”

มีเพียงฟางเจิ้งที่เข้าใจความคิดอู้หมิง อู้หมิงทำได้ถึงขนาดนี้ต้องมีความกล้าไม่เบา คนที่ทำแบบนี้ได้ ฟางเจิ้งล่ะชื่นชมจริงๆ…

อู้หมิงไปแล้วแต่กลับทิ้งคำถามไว้ ฟางเจิ้งให้อู้หมิงตระหนักได้ยังไง? สองคนไม่ได้คุยกัน หรือว่าทุกอย่างจะเป็นละครที่เตรียมการไว้แล้ว? ทว่าในละครมีหลวงจีนหงเหยียนด้วย ด้วยคุณธรรมของเขาจะต้องไม่ทำแบบนี้แน่

ทุกคนมีความฉงนในใจ แต่จะถามก็ไม่เหมาะ แต่ละคนจึงเกาหูเกาแก้ม มองฟางเจิ้งที่มีสีหน้าเรียบนิ่งแวบหนึ่ง

พวกเขาย่อมไม่รู้ว่าตอนนี้ฟางเจิ้งก็กลัดกลุ้มเหมือนกัน!

ตอนนั้นขึ้นเขามาเห็นอู้หมิงดูใจลอยๆ กลัวว่าจะทำเรื่องโง่ๆ จึงลงมือก่อน ใช้ความฝันยามต้มข้าวฟ่างดึงเขาเข้าฝัน อยากรู้ว่าเขาจะทำอะไรจะได้เตรียมตัวล่วงหน้า ทว่ากลับมองเห็นความคิดและความกังวลตรงส่วนลึกในใจอู้หมิงอย่างควบคุมไม่ได้ ตอนนั้นฟางเจิ้งไม่ได้คิดอะไรมาก แค่ถือโอกาสเหนี่ยวนำไป ทว่าตอนนี้ยุ่งยากแล้ว จะอธิบายยังไงล่ะ?

ดีที่เริ่มพิธีแล้ว ทุกคนเลยไม่มีโอกาสซักถาม พิธีครั้งนี้ง่ายมาก แบ่งหน้าที่ให้แต่ละวัดรับผิดชอบในพิธีสวดมนต์ต้อนรับฤดูใบไม้ผลิ รวมถึงตำแหน่งของทุกคนตอนสวดมนต์เป็นต้น…ขั้นตอนจำเจ ฟางเจิ้งนั่งตากลมโต ใจลอยไปไหนแล้วก็ไม่รู้

วัดเอกดรรชนีมีเขาคนเดียว อีกทั้งยังไม่เข้าใจเรื่องเหล่านี้ หลวงจีนไป๋อวิ๋นคอยดูแลเป็นพิเศษ เขาไม่ต้องทำอะไรเลย แค่สวดมนต์ตามก็พอ ครู่เดียวก็ผ่านไปแล้ว

ยามเย็น วัดเมฆาขาวจัดเลี้ยง เชิญนักบวชมาทุกรูป ฟางเจิ้งมาคนเดียว เดิมทีเขายังกังวลว่าจะนั่งตรงไหน แต่จนถึงตอนที่เขาเข้ามานั้น…

“หลวงพี่ฟางเจิ้ง นั่งตรงนี้ไหม?”

“หลวงพี่ฟางเจิ้ง คนวัดแก่นแท้เยอะแล้ว มานั่งกับพวกเราดีกว่า! พวกเราคนน้อย”

“อมิตาภพุทธ หลวงพี่ฟางเจิ้ง อาตมาศึกษาคัมภีร์มาสิบกว่าปี ยังมีความสงสัยในใจ เรามาสนทนากันหน่อยดีไหม?” หลวงจีนเฒ่าเคราสีขาวรูปหนึ่งกล่าวชวน

แรกๆ ก็ดี ฟางเจิ้งขอบคุณไปทีละรูป ทว่าหลังจากหลวงจีนเฒ่า เดาว่าฟางเจิ้งเป็นพระอาจารย์เต๋า หรือไม่ก็จะยกระดับพระธรรมของตัวเอง จึงอยากจะสนทนาธรรมกับฟางเจิ้ง บ้างจะสนทนาเรื่องคัมภีร์วัชรสูตร บ้างจะสนทนาเรื่องไภษัชยคุรุสูตร[1] กระทั่งมีคัมภีร์มากมายที่ฟางเจิ้งไม่เคยได้ยิน

ฟางเจิ้งไม่เชี่ยวชาญเรื่องคัมภีร์พระธรรมอยู่แล้ว พุทธคัมภีร์ที่เคยอ่านมาแค่ครั้งเดียวก็ไม่ชอบเช่นกัน! แล้วเขาจะกล้าไปนั่งกับนักบวชที่ศึกษาคัมภีร์มาอย่างแท้จริง ซ้ำยังคุยกันเรื่องความเข้าใจต่อคัมภีร์กันอย่างเต็มที่ได้ยังไง? จะหลบก็หลบไม่ทันแล้ว

ภายนอกฟางเจิ้งมีสีหน้าสบายๆ หัวเราะเบาๆ แสดงความเคารพตอบไม่หยุด และไม่เย็นชากับทุกคน แต่ความจริงแล้วเหงื่อโชกเต็มหลัง กำลังคิดหาเหตุผลเลี่ยงอยู่

ชั่วขณะที่ฟางเจิ้งกำลังตรึกตรองไม่หยุดอยู่นั้น หลวงจีนหงเหยียนกล่าวว่า “หลวงพี่ฟางเจิ้ง มานั่งกับอาตมาดีกว่า อาตมาอยากรู้เรื่องวัดเอกดรรชนีในช่วงเร็วๆ มานี้”

ฟางเจิ้งได้ยินว่าไม่ต้องสนทนาธรรม แต่คุยกันเรื่องภายในวัด! อันนี้ได้ เขารู้ตัวเองว่ามีความสามารถในการคุยสัพเพเหระ

เห็นฟางเจิ้งนั่งโต๊ะเดียวกับหลวงจีนหงเหยียน ทุกคนร้องเสียดายในใจ ในสายตาพวกเขาฟางเจิ้งไม่ใช่เณรก่อนหน้านี้นานแล้ว เขาใช้ต้นกกข้ามฟากได้ นั่นเป็นบุคคลราวกับเทพทีเดียว ตลอดหลายปีมานี้หลวงจีนหงเหยียนชี้นำอู้หมิงไม่ได้ แต่พอพบหน้าฟางเจิ้งกลับเข้าใจ คนแบบนี้มีความสามารถอย่างยิ่ง! ตอนนี้ฟางเจิ้งยังหนุ่ม ถ้าให้เวลาเขาตกตะกอน จะต้องเป็นไต้ซือแห่งยุคได้แน่นอน!

ไม่ว่าใครก็อยากใกล้ชิดกับฟางเจิ้ง ไม่ต้องสนหรอกว่าคุยอะไร ถ้าเกิดจากนี้ฟางเจิ้งดังขึ้นมา และกลายเป็นไต้ซือจริงๆ ล่ะก็ หนึ่งคือมีความสนิทสนมกันอยู่ สองคือมีต้นทุนในการคุยโม้

แม้บอกว่านักบวชไม่สนใจเรื่องเหล่านี้ แต่เป็นคนก็ยากจะเลี่ยงสังคม ต่อให้ไม่ละโมบ ทว่าบางครั้งในสังคมก็ต้องมีการช่วยเหลือเกื้อกูลกัน คนเราไม่มีทางใช้ชีวิตอยู่ในหอกลางอากาศคนเดียวได้…

ฟางเจิ้งเห็นหลวงจีนเหล่านั้นเบนสายตาไปราวกับหมาป่าหิวโหยจึงถอนหายใจโล่งอก

หลวงจีนหงเหยียนคุยกับเขาเรื่องสบายๆ หงเสียงเคารพฟางเจิ้งจึงไม่สอดปากพูดเลย อู้ซินก็เป็นคนซื่อสัตย์ พูดน้อยคำ เพราะอู้หมิงไปแล้ว จิตใจของอู้ซินเลยไม่ดีนัก ทำให้พูดน้อยกว่าเดิม

ทว่าก็เป็นที่พอใจของฟางเจิ้งพอดี พูดมากมีแต่เสีย ยิ่งน้อยเท่าไรยิ่งดี

ทว่ามีบางคนไม่ดีใจ

“พระอาจารย์ ทำไมท่านต้องทำแบบนี้ ฟางเจิ้งนั่นใช้ต้นกกข้ามฟาก แถมยังมีตำนานของพระโพธิธรรมมาด้วย โชคดีขนาดนี้ใครจะขวางเขาได้?” เณรอายุพอๆ กับฟางเจิ้งรูปหนึ่งนั่งลงข้างหงจิน กล่าวด้วยรอยยิ้มเจื่อนๆ

………………………………………………

[1]ไภษัชยุคุรุ เป็นพระพุทธเจ้าที่พบเฉพาะในนิกายมหายาน พระนามของท่านหมายถึงพระตถาคตเจ้าผู้เป็นบรมครูแห่งยารักษาโรค