ตอนที่ 185 เปิดโปงกันเอง

the first order สู่รุ่งอรุณเเห่งมวลมนุษย์

ท่อระบายน้ำกว้างขวางอันมืดมิดสะท้อนเสียงฝีเท้าไปมา ถ้าเปรียบกับภาพอันคับแคบที่เริ่นเสี่ยวซู่จินตนาการไว้ก่อนหน้า ระบบระบายน้ำเสียของป้อมปราการ 109 ดูเหมือนจะออกแบบมาเพื่อให้เป็นหลุมหลบภัยโดยเฉพาะมากกว่า

ตอนที่ป้อมปราการเพิ่งสร้างเมื่อหลายปีก่อนนู้น สมัยนั้นมนุษยชาติยังตกอยู่ภายใต้ร่มเงาของภัยพิบัติ พวกเขาจึงออกแบบสิ่งก่อสร้างเผื่อเกิดสงครามขึ้นอีก ดังนั้นระบบระบายน้ำเสียของป้อมปราการจึงถูกสร้างให้เป็นท่อระบายน้ำมีขนาดใหญ่เท่ากับหลุมหลบภัย

ร่างแยกเงาสีดำเดินไปตามทางระบายน้ำพร้อมกับแบกหยางเสียวจิ่นที่สลบไปแล้วไว้บนไหล่ซ้าย และแบกเริ่นเสี่ยวซู่ที่ทนเจ็บอยู่เอาไว้บนไหล่ขวา

เริ่นเสี่ยวซู่เองก็ได้รับบาดเจ็บ เลือดไหลนองออกมาจากแขนที่ห้อยโตงเตง

หนูตัวโตถูกกลิ่นเลือดดึงดูดมา มันมองร่างแยกเงาแบกมนุษย์ที่บาดเจ็บสองร่างเดินหายเข้าไปในความมืด

ไม่รู้ทำไม แต่พวกมันไม่กล้าโจมตีพวกมนุษย์

เริ่นเสี่ยวซู่นอกจากต้องทนพิษบาดแผลแล้ว เขายังต้องทนความเจ็บปวดที่ส่งมาจากร่างแยกเงาซึ่งโดนตัวทดลองกัดตอนสู้กัน

นี่เป็นศึกที่หนักหนาที่สุดเท่าที่เริ่นเสี่ยวซู่เคยเผชิญมา ตอนแรกเขาต้องสู้แค่ตัวทดลองหกตัว แต่พอเพิ่งเริ่มสู้ ตัวทดลองอีกห้าตัวในตึกได้ยินเสียงก็รุดมาหนุน

ระหว่างสู้มีตัวทดลองไม่น้อยโดนถีบกระเด็นออกจากตึกตกจากที่สูงตาย เพราะว่าศพไม่ได้อยู่บนดาดฟ้าแล้ว ลั่วซินอวี่จึงประเมินการสู้รบผิดไป

จากที่ลั่วซินอวี่เข้าใจ ผู้มีพลังพิเศษที่สามารถฆ่าตัวทดลองหกตัวได้นั้นก็น่าหวาดเกรงมากแล้ว เธอไม่กล้าคิดว่าผู้มาช่วยจะสังหารได้มากกว่านั้นหรอก

ในยุคที่ผู้มีพลังพิเศษเพิ่งได้มีหน้ามีตา ทุกคนค่อยๆ ทำความเข้าใจความเหนือชั้นของผู้มีพลังพิเศษ นอกจากจะเป็นปีศาจตั้งแต่เกิดอย่างหลี่เสินถาน คนหนึ่งคนก็ถือว่ายากนักที่จะชนะของพลังของมวลชนได้

ก็อย่างที่ว่า ทุกวันนี้ยังไม่มีใครที่สามารถจัดการศัตรูเป็นฝูงได้ด้วยตัวคนเดียว ผู้มีพลังพิเศษยังไม่แข็งแกร่งขนาดนั้น ไม่อย่างนั้นพวกเขาคงไม่ถูกองค์กรต่างๆ ตามล่าจนต้องซ่อนตัวอยู่ทุกมุมโลกหรอก

แต่ในหมู่องค์กรของผู้มีพลังพิเศษต่างก็เห็นพ้องอยู่แล้วว่าอย่างไรในอนาคตย่อมต้องมีผู้มีพลังพิเศษที่ทรงพลังจนไม่สนใจจำนวนของศัตรูเกิดขึ้นแน่

ขณะที่ร่างแยกเงาเดินตามทางระบายน้ำไปเรื่อยๆ นั้น หยางเสียวจิ่นก็พลันได้สติขึ้นมา ตอนนี้เธอเจ็บไปทั้งร่างจนยกตัวขึ้นไม่ได้ “เริ่นเสี่ยวซู่”

เสียงของเธอดังขึ้นอย่างกะทันหันในทางระบายน้ำอันว่างเปล่า เริ่นเสี่ยวซู่พูดอย่างอ่อนแรง “ว่า?”

“พวกเราอยู่ไหน” หยางเสียวจิ่นถาม

“เป็นคำถามที่ดี” เริ่นเสี่ยวซู่ “พูดกว้างๆ ก็อยู่ในท่อระบายน้ำ แต่ถ้าอยากได้แคบกว่านั้น ฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกัน”

หยางเสียวจิ่นสัมผัสได้ในทันทีว่าเริ่นเสี่ยวซู่เองก็คงได้รับบาดเจ็บเหมือนกัน แต่จากที่เขาสามารถพูดเล่นคำได้เช่นนี้ แสดงว่าอาการบาดเจ็บไม่ได้มากมายอะไร

หลังจากร่างแยกเงาเจอพื้นที่ว่างแห้ง จึงชะงักฝีเท้า จากนั้นก็วางหยางเสียวจิ่นกับเริ่นเสี่ยวซู่ลง

หยางเสียวจิ่นกับเริ่นเสี่ยวซู่ต่างนั่งลงผิงผนัง เริ่นเสี่ยวซู่ควักเขียนไขออกมาจุดแล้ววางไว้บนพื้น เขาถาม “ทำไมรอบนี้ลั่วซินอวี่ไม่มารับเธอ”

“น่าจะเกิดเรื่องเข้าน่ะ” หยางเสียวจิ่นที่ฟื้นตัวได้เล็กน้อยกล่าว “ไม่งั้นเธอคงมารับฉันแล้ว”

เริ่นเสี่ยวซู่ยังไม่ล้มเลิกที่จะปิดบังพลังของตัวเอง เขากล่าวกับร่างแยกเงาว่า “ของคุณนะเหล่าสู…”

หยางเสียวจิ่นหัวเราะ “เจ็บจะตายอยู่แล้ว อย่าทำให้หัวเราะได้ไหม”

“เหล่าสูอุตส่าห์มาไกลเป็นร้อยกิโลเมตรเพื่อช่วยพวกเรา จะไม่ขอบคุณเขาหน่อยเหรอ” เริ่นเสี่ยวซู่พูดอย่างใสซื่อ

“พวกเราลอบติดเครื่องตามกับสูเสี่ยนฉู่” หยางเสียวจิ่นว่า “เขาเพิ่งผ่านเขาอูซานไปเช้าวันนี้เอง จากนั้นก็มุ่งหน้าไปทางตะวันตกเฉียงเหนือเพื่อไปป้อมปราการ 178 ต่อ เป็นนายสินะที่แนะนำให้เขาไปที่นั่น ฉันจำได้ว่านายเคยพูดถึงจางจิ่งหลิน ตอนนั้นฉันไม่ได้คิดอะไรมาก คิดแค่ว่าชื่อมันคุ้นๆ เฉยๆ ไม่แน่ใจว่าจะเป็นคนเดียวกันกับที่ฉันรู้จักหรือเปล่า”

เริ่นเสี่ยวซู่โมโห “มีสิทธิ์อะไรไปติดเครื่องติดตามเหล่าสู!”

“อย่าเปลี่ยนเรื่อง” หยางเสียวจิ่นพูดเสียงเบา “ฉันมีคำถามที่คิดยังไงก็ไม่ตก ที่เขาจิ้งซานคนที่ฉันเห็นเป็นนายแน่ๆ แต่สมาคมตระกูลชิ่งกลับตั้งค่าหัวสูเสียนฉู่แทนที่จะเป็นนาย”

เริ่นเสี่ยวซู่พูดไปรู้สึกผิดไป “ไม่เกี่ยวอะไรกับฉัน อย่าใส่ร้ายกันนะ”

“พลังพิเศษของนายคือการคัดลอกพลังของคนอื่นล่ะสิ” หยางเสียวจิ่นพูดเสียงนิ่ม “นายคัดลอกพลังฉันไปแล้วสินะ ฉันลองดูองศาการยิงตอนนายยกปืน เหมือนของฉันเปี๊ยบ”

หยางเสียวจิ่นรู้สึกมาตลอดว่าวิธียิงปืนของเริ่นเสี่ยวซู่มันคุ้นตาแบบแปลกๆ เธอนึกว่ากำลังเห็นตัวเองในคราบผู้ชายอยู่เสียอีก และเธอก็เพิ่งเข้าใจว่าอะไรเป็นอะไรตอนนี้นี่เอง

หยางเสียวจิ่นไม่รู้จริงๆ ว่าจะวัดขีดจำกัดพลังของเริ่นเสี่ยวซู่อย่างไร ความเข้าใจโดยรวมขององค์กรผู้มีพลังพิเศษคือ ผู้มีพลังพิเศษหนึ่งคนจะมีพลังเพียงแค่หนึ่งชนิดเท่านั้น

แต่เริ่นเสี่ยวซู่ต่างออกไป เขามีพลังสองชนิดตั้งนานแล้ว

ผู้มีพลังพิเศษทุกคนจะปลุกพลังหลังผ่านห้วงวิกฤต แต่กลับมีคนผู้หนึ่งคัดลอกไปง่ายๆ เสียได้ แถมพลังที่คัดลอกไปยังแข็งแกร่งกว่าของเดิมอีก แบบนี้มันน่าหงุดหงิดมาก

ง่ายๆ เลยก็อย่างที่ร่างแยกเงาของสูเสี่ยนฉู่ไม่แข็งแกร่งเท่าของเริ่นเสี่ยวซู่

แบบนี้ทำให้หยางเสียวจิ่น…ยกพลังของเริ่นเสี่ยวซู่อยู่เหนือผู้มีพลังพิเศษคนอื่น

หยางเสียวจิ่นพูดต่อ “งั้นที่ค่าหัวของลั่วซินอวี่ก็เป็นฝีมือนายสินะ”

เริ่นเสี่ยวซู่หัวเด็ดตีนขาดก็ไม่ยอมรับ “ไม่ใช่นะ! ไม่ใช่ฉัน!”

ไม่ใช่ว่าเขากลัวผู้อื่นจะรู้ว่าเขาใส่ร้ายลั่วซินอวี่หรอก แต่เป็นเพราะเขาไม่อยากให้หยางเสียวจิ่นรู้ต่างหากว่าพลังที่เขาคัดลอกมาจากลั่วซินอวี่นั้นผิดแผกไปจากของเดิมมาก ประตูเงาของลั่วซินอวี่พาคนเข้าออกได้ แต่ของเขาเอาเข้าไปได้แค่แขนเดียว

ถ้ายอมรับก็ขายหน้าสิ

“แต่ที่เหลือยอมรับหมดว่างั้น” หยางเสียวจิ่นหัวเราะคิกคัก

อย่างไรเสียเริ่นเสี่ยวซู่ก็ไม่อาจให้หยางเสียวจิ่นเปิดโปงความลับเขาไปได้เรื่อยๆ แบบนี้ได้ เขาต้องโต้กลับไปบ้าง เริ่นเสี่ยวซู่โพล่ง “อย่างแรกต้องหาวิธีหนีไปจากป้อมปราการนี้ก่อน ฉันมีแผน คือต่อให้เราวิ่งไวกว่าพวกตัวทดลอง พลังกายพวกเราก็ไม่พอให้วิ่งเต็มฝีเท้าเป็นระยะเวลานานอยู่ดี พวกเราต้องหาเครื่องมือไว้เดินทาง ฉันรู้จักที่ที่มีจักรยานอยู่ เธอขี่จักรยานเป็นใช่ไหม เดี๋ยวพอเธอดีขึ้นแล้ว เธอก็ขี่นำพวกเราออกไปจากที่นี่”

หยางเสียวจิ่นชะงักงัน จากนั้นก็พูดเสียงนิ่ง “ก็ได้ๆ เลิกแหย่ฉันได้แล้ว ฉันขี่จักรยานไม่เป็นหรอก”

“ฮ่าๆๆๆ” เริ่นเสี่ยวซู่หัวเราะตัวโยน หยางเสียวจิ่น เธอมีวันนี้ด้วยเหรอ!

“พอได้แล้วน่า” หยางเสียวจิ่นพูดเสียงเรียบ