หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.460 – ใกล้ถึงความจริง

 

หวังหงษ์เต๋าเริ่มต้นที่จะคาดเดา

 

ด้วยหลากหลายปีที่ได้ควบคุมนิกายมา เขาจึงเชื่อว่าตนย่อมสามารถสรุปถึงความจริงของเรื่องนี้ได้

 

อย่างแรกเลย-

 

คือฉีหยานที่ตอนนี้อยู่ในตำหนักเจียงซี เคยไปเหยียบโลกใหม่มาแล้วแน่ๆ

 

ขณะที่ผู้ฝึกยุทธที่รู้เรื่องของสองโลกใหม่ ไม่ถูกฉีหยานฆ่าตายก็พาตัวไปด้วย

 

กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ พวกเขาไม่สามารถจัดการใดๆกับพิกัดที่อยู่ในมือตน สถานการณ์เป็นไปตามที่ฉีหยานต้องการทุกประการ

 

ดังนั้น ผู้ฝึกยุทธที่เข้าไปยังโลกใหม่ ก็ตัดออกไปได้เลย

 

หากอ้างอิงตามแนวคิดนี้ …

 

ผู้ที่รู้ถึงพิกัดของโลกใหม่ที่ยังคงอยู่ในโลกใบนี้

 

มันเป็นใครกัน?

 

ดวงตาของหวังหงษ์เต๋าสั่นไหว

 

ฉีหยานเป็นคนฉลาด  มันไม่โง่พอที่จะมอบพิกัดที่ว่านั่นให้แก่สตรีแห่งรากษสเป็นแน่

 

เช่นนั้น โอกาสที่เป็นไปได้มากที่สุด ก็คงไม้พ้นเป็นผู้ฝึกยุทธในนิกาย

 

แต่สากวกในนิกายน่ะมีมากมายนัก

 

เว้นแต่จะทำการค้นวิญญาณทีละคน มิเช่นนั้นมันก็เป็นไปไม่ได้เลยที่จะสืบหาว่าฉีหยานฝังความลับนี้ไว้กับใคร

 

ผ่านไปนาน

 

หวังหงษ์เต๋าก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมา

 

เขาต้องยอมรับแล้วจริงๆว่างานนี้มันชักจะตึงมือไม่น้อย

 

ทุกคน นอกเหนือไปจากเซ่าหวูชุ่ย ก็ล้วนมีโอกาสที่จะเป็นคนที่กุมความลับเรื่องพิกัดโลกใหม่ของฉีหยานกันทั้งนั้น

 

ไม่คาดคิดเลย ว่าสถานการณ์มันจะซับซ้อนมากขนาดนี้

 

อย่างไรก็ตาม นั่นคือโลกใหม่ และหวังหงษ์เต๋าก็คิดว่าเรื่องนี้มันคุ้มค่ามากพอแก่การที่จะให้ตนเองเป็นผู้ลงมือตรวจสอบ

 

แม้ราคาที่จะต้องจ่ายออก มันจะร้ายแรงมากก็ตามที

 

สองตาของหวังหงษ์เต๋าหรี่แคบลง ปากเอ่ยพึมพำ “ดูเหมือนว่าข้าผู้ชราจะต้องทุ่มเต็มกำลังเพื่อที่จะตรวจสอบเรื่องนี้ซะแล้วสิ”

 

ว่าแล้ว เขาก็เริ่มใช้พลังวิญญาณทั้งหมดในร่างกาย ควบรวมเข้าด้วยกันที่สองมือ และจีบออกด้วยวิชาลับ

 

แสงสวรรค์เรืองรองผสานเข้าด้วยกันรอบนิ้วของเขา พร้อมกันสาดเส้นแสงสีขาวนวลสดใสออกมา

 

และหวังหงษ์เต๋าก็ได้วาดเส้นแสงนี้ลงบนหน้าผากของหวูซาน

 

ปุ้ง! ศรีษะของหวูซานระเบิดขึ้นทันใด

 

ทว่าท่ามกลางละอองเลือดที่ผสมปนปนไปด้วยสมองและอวัยวะโครงหน้าต่างๆที่กระจายออกไปทุกทิศทาง กลับขยายออกเป็นเงาของแสงสวรรค์ และปรากฏภาพเคลื่อนไหวขึ้นเบื้องหน้าของหวังหงษ์เต๋า

 

มันคือภาพของฉากสุดท้ายที่หวูซานได้เห็น

 

เริ่มจากฝ่ามือของเซ่าหวูชุ่ยที่ถูกปัดออกจากหัวเขา

 

จากนั้นทุกอย่างก็จมลงสู่ความมืดมิด

 

จากนั้นภาพเคลื่อนไหวก็เริ่มกระโดดไปมา จู่ๆมันก็ย้อนกลับไปเป็นภาพของหวูซานในช่วงเวลาที่พึ่งมาถึงเวที และโค้งหมอบคำนับให้แก่ฉีหยาน

 

ต่อไป ภาพก็ย้อนกลับอีก มันคือภาพสาวใช้ของฉีหยานที่มาแจ้งเรื่องการถูกเรียกตัวของหวูซาน

 

และทุกฉากที่ฉายขึ้นบนเงาแสงสวรรค์ ล้วนเป็นฉากที่เกิดจากในมุมมองสายตาของหวูซานทั้งสิ้น

 

แต่ละภาพ แต่ละฉากเหล่านี้ทั้งหมด ล้วนค่อยๆทยอยถอยหลังย้อนกลับไป

 

นี่คือสกิลเทวะของหวังหงษ์เต๋า ‘สัมผัสที่หกยึดวิญญาณ’

 

ใบหน้าของมนุษย์ หรือแม้กระทั่งร่างกายของศพ จะกลายเป็นพาหะที่นำพาข้อมูลมาให้แก่เขา

 

สัมผัสทั้งหกที่เรียกกันว่าตา หู จมูก ลิ้น กาย และจิตสำนึก

 

เมื่อจิตสำนึกจากไป ดวงตาที่เคยเห็น หูที่เคยได้ยิน จมูกที่เคยได้กลิ่น ลิ้นที่เคยรับรส และกายที่เคยสัมผัสก็จะหายตามไปด้วย

 

อย่างไรก็ตาม ด้วยสกิลเทวะของหวังหงษ์เต๋า มันจะส่งผลให้เขาสามารถหยิบยืมร่างศพของมนุษย์เพื่อลอบเข้าไปสู่สถานะในครั้งที่ประสาทสัมผัสทั้งห้าเคยทำงานอีกครั้ง และทำการตรวจสอบมันได้

 

ตราบใดที่สัมผัสทั้งห้าของร่างคนตายยังคงอยู่ในสภาพสมบูรณ์ หวังหงษ์เต๋าจะสามารถมองเห็นถึงเหตุการณ์บางสิ่งบางอย่างจากเจ้าของร่างที่พึ่งตายลงไปเมื่อไม่นานมานี้ได้

 

แต่มันคงจะสะดวกกว่านี้ หากหวูซานยังคงมีชีวิตอยู่

 

เพราะร่างกายของมนุษย์ที่ยังมีชีวิต มันจะมีความทรงจำที่ชัดเจนยิ่งกว่า

 

หากเป็นในกรณีนั้น หวังหงษ์เต๋าจะสามารถทราบถึงเรื่องราวทั้งหมดในชีวิตของหวูซานได้ทันที!

 

นี่นับว่าเป็นสกิลเทวะประเภทตรวจสอบที่ยากเย็นนักจึงจะมีบุญตาได้พบเห็น!

 

หวังหงษ์เต๋าจ้องมองไปยังภาพเคลื่อนไหวแต่ละฉากอย่างต่อเนื่อง ค่อยๆรวบรวมเบาะแสทีละนิด ทีละนิดอย่างช้าๆ

 

ขณะเดียวกัน สีหน้าของเขาก็เริ่มจะซีดลงเรื่อยๆ

 

ต้องไม่ลืมนะว่าเขาได้รับบาดเจ็บสาหัสอยู่ ดังนั้นการใช้งานสกิลเทวะนี้ มันจึงเป็นภาระที่ใหญ่กว่าในช่วงเวลาที่เขาใช้ออกด้วยพลังศักดิ์สิทธิ์

 

อย่างไรก็ตาม เขาหาได้ใส่ใจเรื่องนี้ไม่ ทั้งคนทั้งร่างยังคงกระตุ้นใช้ออกด้วยวิชาลับ และทำการตรวจสอบความทรงจำของหวูซานอย่างใจจดใจจ่อต่อไป

 

แต่แล้วในช่วงเวลาหนึ่งนั้นเอง จู่ๆมือของหวังหงษ์เต๋าก็วูบไหว และจีบเข้าหากันอย่างรวดเร็ว

 

ฉากภาพเคลื่อนไหว ได้ถูกย้อนกลับไปยังฉากก่อนหน้านี้

 

มันเป็นภาพของฉีหยานที่กำลังยืนอยู่ต่อหน้าหวูซาน และกำลังปรับแต่งดิสก์ค่ายกลอยู่

 

“นายน้อย ทักษะในด้านค่ายกลของท่านก้าวหน้าขึ้นอีกแล้ว สิ่งที่ท่านทำ ผู้น้อยไม่เข้าใจเลยโดยสมบูรณ์” หวูซานตบลงบนหัวตน

 

“ก็เจ้ามันเป็นคนโง่นี่นา ดังนั้นจึงย่อมไม่มีทางเข้าใจเป็นธรรมดา อีกอย่างนี่คือค่ายกลเคลื่อนย้ายระหว่างสองโลก มันเป็นจุดที่ยากที่สุดในกระบวนการจัดวางลงในดิสก์ค่ายกล” ฉีหยานกล่าว

 

หวูซานหัวเราะออกมาและกล่าวว่า “ฮี่ฮี่ ค่ายกลเช่นนี้คงมีเพียงผู้เปี่ยมพรสวรรค์โดยธรรมชาติเท่านั้นแลจึงจะเข้าใจได้ ผู้น้อยเป็นเพียงคนหัวทึบ แน่นอนว่าย่อมมิอาจนำมาเทียบเปรียบกับนายน้อยได้”

 

ฉีหยานเผยรอยยิ้มออกมาและกล่าว “อันที่จริงมันก็เป็นอย่างที่เจ้าว่า เพราะหากเจ้าเข้าใจถึงมันจริงๆ ข้าคงย่อมไม่ปล่อยให้เจ้าอยู่ที่นี่และเฝ้าดูมันอย่างแน่นอน”

 

หวังหงษ์เต๋ามิได้สนใจถึงสิ่งที่ทั้งสองกล่าว

 

เพราะสมาธิทั้งหมดของเขา บัดนี้ทุ่มลงไปในสองตาที่กำลังเฝ้ามองดิสก์ค่ายกลในมือของฉีหยานอยู่

 

ดิสก์ค่ายกลเคลื่อนย้ายระหว่างสองโลก!

 

“เจอเสียที”

 

หวังหงษ์เต๋าเอ่ยพึมพำเบาๆ

 

ณ ขณะนี้ จู่ๆเงาแสงสวรรค์ก็เริ่มเลือนลางไป

 

ทันใดนั้น ก็มิอาจมองเห็นถึงสิ่งใดในฉากได้อีกต่อไป ภาพที่ชัดเจนกำลังกระจายหายไป

 

—สัมผัสที่หกยึดวิญญาณกำลังจะถึงขีดจำกัดในไม่ช้า

 

แต่หวังหงษ์เต๋าได้พบกับเป้าหมายแล้ว และยังอยู่ในช่วงเวลาสำคัญยิ่ง ดังนั้นเขาจะไม่ดำเนินการต่อได้อย่างไร?

 

หวังหงษ์เต๋ากัดฟันกรอด และเริ่มกระตุ้นพลังวิญญาณ ใช้ออกด้วยวิชาลับอีกครา!

 

สัมผัสที่หกยึดวิญญาณ รอบที่สอง!

 

ฮูมมม!

 

แสงสวรรค์กลับมาเสถียรอีกครั้ง ขณะเดียวกันฉากภาพก็กลับมาคมชัด

 

แต่ราคาที่ต้องจ่ายออกด้วยการใช้สัมผัสที่หกอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้รอยแผลตรงไหล่ปริแตก และมีเลือดไหลออกมา

 

หวังหงษ์เต๋าสบถด้วยความเจ็บปวด

 

เขาคลายมือออกจากวิชาลับ ตบลงในถุงสัมภาระ พร้อมกับหยิบขวดยารักษาออกมา

 

แล้วตนก็เคาะๆเอาเม็ดยาทรงเมล็ดข้าวที่อยู่ภายในออกมา โยนเข้าไปในปาก

 

แล้วท่าทีการแสดงออกที่ดูเจ็บปวดของหวังหงษ์เต๋าก็คลายลง

 

เขาเงยหน้าขึ้น มองไปยังแสงสวรรค์ที่มีฉากของฉีหยานที่กำลังทำการปรับแต่งดิสก์ค่ายกลระหว่างสองโลกอีกครั้ง

 

“ช่วงเวลานี้ล่ะ”

 

หวังหงษ์เต๋ากล่าว

 

แม้ว่าจักต้องทุ่มใช้พลังวิญญาณและทุ่มความพยายามไปเป็นจำนวนมาก แต่ในที่สุด ผลลัพธ์ของมันก็คุ้มค่ากับราคาที่ได้จ่ายไปเสียที

 

หวังหงษ์เต๋ายกดิสก์ค่ายกลเปล่าๆมาไว้ในมือ ขณะเดียวกันก็จ้องมองฉีหยานชนิดหัวชนฝา

 

เขาจับจ้องทุกการเปลี่ยนแปลงที่ไวว่องบนมือของฉีหยาน และเริ่มต้นเลียนแบบการปรับแต่งดิสก์ค่ายกลไปพร้อมๆกับอีกฝ่าย

 

ฉีหยานเคลื่อนไหวเช่นใด หวังหงษ์เต๋าก็เคลื่อนไหวตาม

 

ฉีหยานปรับแต่งด้วยชุดวิชาลับค่ายกลใด หวังหงษ์เต๋าก็ปรับแต่งตามอย่างกระชั้นชิดด้วยชุดวิชาเดียวกัน

 

เวลาค่อยๆไหลผ่านไป

 

ขณะเดียวกัน ดิสก์ค่ายกลเคลื่อนย้ายระหว่างสองโลกก็ค่อยๆเป็นรูปเป็นร่างขึ้น

 

บนใบหน้าของหวังหงษ์เต๋าเริ่มเผยให้เห็นถึงความตื่นเต้น

 

ยังคงหลงเหลืออีกเพียงสองขั้นตอนสุดท้าย ซึ่งเป็นจุดที่สำคัญที่สุด และเพียงเท่านี้ดิสก์ค่ายกลเคลื่อนย้ายก็จะเสร็จสมบูรณ์แล้ว!

 

ซึ่งในสองขั้นตอนสุดท้าย คือการใส่พิกัดโดยการใช้ปลายนิ้วสัมผัส ตามรูปแบบพิกัดของค่ายกลเคลื่อนย้ายทั้งสองฟากฝั่ง

 

หนึ่งคือพิกัดของโลกล่องเวหา

 

กับอีกหนึ่ง คือพิกัดของโลกใหม่!

 

—ปรมาจารย์ค่ายกลจะมีรูปแบบวิธีการใช้มือแบบเฉพาะเป็นของตนเอง เพื่อทำการระบุพิกัดมิติที่ว่างเปล่า

 

บนฉากเงาแสงสวรรค์

 

เห็นแค่เพียงสองมือของฉีหยานที่วูบไหว

 

เขาเริ่มต้นใช้วิชาลับทำการระบุพิกัดมิติแบบเฉพาะเจาะจง

 

และหวังหงษ์เต๋าก็เคลื่อนมือตามทันที

 

ทุกๆการเคลื่อนไหวของเขาไม่มีอะไรที่ผิดพลาดเลย อันที่จริงแล้วมันเสถียรและรวดเร็วยิ่งกว่าฉีหยานเสียอีก!

 

พิกัดระหว่างสองโลกเสร็จสิ้นไปหนึ่งแล้ว และตอนนี้ยังเหลืออยู่อีกไม่ถึงครึ่ง!

 

ขณะที่สีหน้าของหวังหงษ์เต๋าเริ่มเผยถึงความปิติที่ปิดไม่มิดออกมามากขึ้น มากขึ้นเรื่อยๆ

 

หลังจากที่ไล่เลียนแบบ ทำตามวิชาของฉีหยานมานาน อีกนิดเดียวค่ายกลก็จะเสร็จสมบูรณ์แล้ว

 

และตนเองก็ได้จะได้รับพิกัดของโลกใหม่-

 

-สองโลกใหม่กำลังจะมาอยู่ในกำมือของตนเองแล้ว!

 

แต่ขณะที่หวังหงษ์เต๋ากำลังคิดอยู่นั้นเอง ทันใดนั้นจู่ๆก็เกิดความผันผวนขึ้นบนฉากเงาแสงสวรรค์

 

ส่งผลให้วิชาลับที่เคลื่อนไหวอยู่ในมือของฉีหยาน ไม่สามารถมองเห็นมันได้อย่างชัดเจน

 

สีหน้าของหวังหงษ์เต๋าแปรเปลี่ยนกลับกลาย แต่คราวนี้ไม่มีอะไรที่เขาจะทำได้อีกแล้ว

 

เนื่องจากหวูซานได้เสียชีวิตไปแล้ว มันจึงส่งผลให้สกิลเทวะ สัมผัสที่หกยึดวิญญาณของเขาเสื่อมประสิทธิภาพลง ทำงานได้ไม่ดีเท่าที่ควร

 

ซึ่งในเรื่องนี้ไม่มีทางแก้ได้

 

ยิ่งระยะเวลาในการตายของหวูซานมากขึ้นเท่าใด ประสิทธิภาพของสกิลเทวะนี้ก็จะยิ่งถดถอยลงเรื่อยๆ จนกลายเป็นภาพเบลอเช่นนี้

 

“พลาดไปแค่ … วิชาลับเดียว …ฉีหยานเจ้าระยำหมา! ถึงขั้นลงมือสังหารแม้กระทั่งคนของตัวเอง เป็นเพราะเจ้า! ทุกอย่างมันจึงเป็นเช่นนี้!” หวังหงษ์เต๋าอดไม่ได้ที่จะสบถออกมา

 

สำหรับในส่วนของการเคลื่อนย้ายมิติ มันจะต้องประณีตและถูกต้อง มิฉะนั้นแล้วหากพลาดพลั้งไปแม้เพียงน้อย ก็อาจจะเกิดผลลัพธ์ที่ไม่คาดคิดได้

 

ตอนนี้วิชาลับสุดท้ายดันมาขาดหายไป …

 

งั้นคงต้องอ้างอิงจากมือที่ขยับไหวในภาพเบลอๆนั่นเท่านั้น หวังหงษ์เต๋าหวังว่าหากตนโชคดีพอ ความผิดพลาดที่จะเกิดขึ้นตามมามันคงจะไม่ใหญ่มากเกินไปนัก

 

-ตอนนี้คงต้องปรับแต่งดิสก์ค่ายกลให้เสร็จสมบูรณ์เสียก่อน

 

หวังหงษ์เต๋าผ่อนลมหายใจเบาๆ ก่อนจะเริ่มขยิบตาให้พร้อม แล้วเพ่งมองดูมือที่เคลื่อนไหวของฉีหยานตาไม่กระพริบ

 

ยังคงหลงเหลืออีก 7 ท่าร่างมือ ก็จะรวมกันครบ 1 วิชาลับและดิสก์ค่ายกลก็จะเสร็จสมบูรณ์

 

ทว่า ณ ขณะนั้นแสง ภายในฉากเงาแสงสวรรค์ ก็บังเกิดเสียงของผู้หญิงดังขึ้นทันใด

 

“นายน้อย ข้าสามารถเข้าไปได้หรือไม่?”

 

มือที่วูบไหวของฉีหยานชะงักงันลงทันที

 

“ในเวลาเช่นนี้ นางมาทำไมกัน? หรือว่านางคิดจะ … ”

 

ฉีหยานบ่นพึมพำและก้มลงมองดิสก์ค่ายกลในมือของเขา

 

“ข้าได้ยินมาว่าจื่อหลิวเป็นปรมาจารย์ค่ายกลที่หลักแหลมยิ่ง ดังนั้นนายน้อย ข้าขอแสดงความจงรักภักดีเล็กๆน้อยๆแก่ท่าน โดยการแนะนำว่าท่านสมควรที่จะระมัดระวังนางเอาไว้”

 

หวูซานคว้าโอกาสอันดีนี้ เอ่ยเตือนเขาไปประโยคหนึ่ง

 

สีหน้าของฉีหยานค่อยๆเปลี่ยนเป็นมืดมน

 

“ข้าทราบดีว่านางเป็นปรมาจารย์ค่ายกล หวูซาน เจ้ากลับไปก่อน แล้วให้จื่อหลิวเข้ามา ข้ากับนางมีธุระต้องทำกันในคืนนี้”

 

หวูซานพยักหน้าและกล่าว “ขอรับนายน้อย”

 

แล้วเขาก็เดินออกจากห้องอย่างรวดเร็ว แต่ก็ยังไม่วายหันกลับมาค่อยๆปิดประตูลงอย่างระมัดระวัง

 

ภายนอกประตู เป็นเด็กสาวที่ใสซื่อและงดงาม

 

เสียงของหวูซานดับก้อง “จื่อหลิวน้อย เจ้าเข้าไปปรนนิบัตินายน้อยได้แล้ว”

 

คิ้วของเด็กสาวขมวดเข้าหากัน ปากเอ่ยเสียงต่ำ “สายตาของเจ้าที่มองข้าช่างน่ารังเกียจนัก อย่านึกนะว่าข้าไม่รู้ว่าเจ้ากำลังคิดสิ่งใดอยู่”

 

แล้วเธอก็เปิดประตูเดินเข้าไป

 

ขณะที่หวูซานยืนเลื่อนสายตาจ้องตามสะโพกของเด็กสาวจนประตูปิดลง จึงค่อยเริ่มเดินจากไปเช่นกัน

 

-ปัง!

 

หวังหงษ์เต๋าระเบิดฝ่ามือจนศพของหวูซานเปลี่ยนเป็นละอองเลือด

 

บัดซบ!

 

เห็นได้ชัดว่าอีกเพียงนิดเดียวเขาก็จะได้พิกัดของโลกใหม่มาแล้วแท้ๆ!

 

ไอ้สารเลวฉีหยาน! เหตุใดต้องบังเกิดความใคร่เอาตอนนี้ด้วย!

 

ข้าพลาดครั้งใหญ่แล้ว!

 

หวังหงษ์เต๋าจ้องมองดูดิสก์ค่ายกลในมือ หัวใจของเขาคุกรุ่นไปด้วยความโกรธ

 

ดิสก์ค่ายกลแผ่นนี้จะไม่มีทางเสร็จสมบูรณ์ หากยังไม่อาจทราบตำแหน่งการวางมือของอีกทั้ง 7 ท่าร่างได้ —มันจะไม่สามารถระบุพิกัดของโลกใหม่ได้!

 

ดิสก์ค่ายกลนี้ไร้ประโยชน์โดยสมบูรณ์

 

ใช้ออกด้วยสัมผัสที่หกยึดวิญญาณถึงสองครา ทว่ากลับยังไม่ได้รับสิ่งใดเลย!!

 

กรามของหวังหงษ์เต๋าขบกันแน่นจนฟันส่งเสียงกรอดๆ

 

ตรงข้ามเขา คือศพของหวูซานที่ถูกปกคลุมไปด้วยเลือด

 

และแม้กระทั่งแมลงมารสีขาวที่แฝงกายอยู่ในศพของหวูซาน ก็ยังถูกทำลายลงโดยฝ่ามือของหวังหงษ์เต๋า

 

หวังหงษ์เต๋ามองไปยังซากแมลงขาว และค่อยๆพยายามสงบใจลงอย่างช้าๆ

 

“สูญเสียแมลงมารไปเปล่าๆ … เพียงเพราะข้าไม่สามารถสงบสติอารมณ์กับเจ้าขยะเช่นนี้ได้”

 

เขาพึมพำกับตนเอง

 

หลังจากที่ยืนอยู่คนเดียวกลางอากาศมาสักพัก หวังหงษ์เต๋าก็เริ่มที่จะย้อนคิดรื้อฟื้นกระบวนการทั้งหมดอีกครั้ง

 

จากคำบอกเล่าของเซ่าหวูชุ่ย มาจนกระทั่งถึงเรื่องราวที่ได้รับรู้จากความทรงจำของหวูซาน

 

หวังหงษ์เต๋าตรวจสอบทุกภาพ ทุกคำ ทุกรายละเอียดยิบย่อย

 

จนกระทั่งมาถึงจุดๆหนึ่ง เขาก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยออกมา “ไม่ … นี่มันมีบางสิ่งไม่ถูกต้อง …”

 

เขาได้สติกลับคืน

 

-ทุกสิ่งอย่างมันผิดพลั้งไปหมดเลย!

 

จากความทรงจำของหวูซาน ฉีหยานเห็นได้ชัดว่าล่วงรู้ถึงพิกัดอย่างชัดเจน

 

เพราะแม้กระทั่งในขณะที่ปรับแต่งดิสก์ค่ายกลในขั้นตอนสุดท้าย ฉีหยานก็ยังไม่แสดงท่าทีลังเลเลยแม้แต่น้อย

 

มือของฉีหยานช่างว่องไว และมั่นคงเป็นอย่างยิ่ง มันไม่แสดงออกถึงความลังเลเลยที่จะวางท่าร่างพิกัดลงบนดิสก์ค่ายกล

 

ชัดเจนว่าฉีหยานย่อมรู้ถึงพิกัดของโลกใหม่!

 

ทว่าเพราะเหตุใดกัน? เหตุใดฉีหยานที่ได้เปล่งวาจาคำมั่นสาบานต่อฟ้าดิน ว่าตนมิได้ล่วงรู้ถึงพิกัดของโลกใหม่จึงไม่ถูกลงทัณฑ์?

 

ผู้ฝึกยุทธไม่สามารถปิดซ่อนความจริงจากฟ้าดินได้ หากได้ให้คำมั่นสาบานต่อฟ้าดินแล้ว คำมั่นนั้นย่อมจะต้องถูกตรวจสอบ ว่าเป็นอย่างที่ว่าหรือไม่อย่างแน่นอน

 

นี่พิสูจน์ให้เห็นว่าคำกล่าวของฉีหยานเป็นความจริง

 

-เขากำลังบอกความจริง ดังนั้นตัวเขาจึงไม่ทราบถึงพิกัดของโลกใหม่เป็นแน่

 

แต่จากการค้นความทรงจำ เขาล่วงรู้ถึงพิกัดของโลกใหม่ชัดๆ!

 

เรื่องราวนี้มันช่างย้อนแย้งกันเองอย่างสิ้นเชิง

 

เรื่องแบบนี้ … จะเกิดขึ้นกับคนๆเดียวได้อย่างไร?

 

หวังหงษ์เต๋าหลับตาลง และส่งเสียงงึมงำครุ่นคิดสักพัก

 

ด้วยนิสัยและห้วงอารมณ์ของฉีหยาน เขาย่อมไม่รู้สึกวางใจหากบอกพิกัดของโลกใหม่ให้แก่คนอื่นๆทราบเป็นแน่

 

อย่างไรก็ตามเพื่อรักษาชีวิตตนเอาไว้ การกระทำอย่างเช่นการฝากฝังพิกัดโลกใหม่ให้แก่ผู้อื่น ก็นับว่าเป็นกลยุทธที่ดีทีเดียวสำหรับคนที่กำลังหมดหนทางเช่นเขา

 

ทั้งสองด้าน สองประเด็นนี้ ไม่ว่าจะในกรณีใดมันก็ล้วนแล้วแต่สมเหตุสมผล

 

แล้วตกลงมันเกิดเรื่องบ้าอะไรขึ้นกันแน่?

 

หลังจากผ่านไปชั่วขณะ

 

หวังหงษ์เต๋าก็ลืมสองตาขึ้นทันใด ปากเอ่ยพึมพำ “เว้นเพียงแต่ว่า … ฉีหยานจะมีสองคน?”