ด้วยเหตุนี้ หลิวหลีจึงได้เข้ามาอยู่ในบ้านของบิดามารดาเป็นครั้งแรก ผู้อาวุโสของทั้งสองสกุลต่างก็ปลาบปลื้มใจ หลงเหวินเซวียนกับจ้านเฟิงอวี้เก็บขวดเข้าไปราวกับเป็นสมบัติล้ำค่า นี่คือยาศักดิ์สิทธิ์ระดับ 8 เชียว จะต้องเก็บไว้ให้ดี
ความสัมพันธ์ของหลิวหลีกับคนในครอบครัวดีขึ้นอย่างรวดเร็ว ถึงแม้หลิวหลีจะทำใจเรียกอีกฝ่ายว่าบิดาไม่ได้ แต่คนที่ดีใจที่สุดก็คงจะหนีไม่พ้นโม่หลี ที่ทุกวันจะได้กินอาหารสามมื้อไม่ซ้ำจากฝีมือพี่สาว เอาจนโม่หลีพบว่าช่วงนี้ทุกคนชอบใช้มือบีบหน้านาง ยิ่งไปกว่านั้นก็คือ โม่หลีมองดูซาลาเปาในกระจก นางกำลังจะกลายเป็นลูกบอลอยู่แล้ว โม่หลีขมวดคิ้ว คนที่รักสวยรักงามแต่เด็กอย่างนางก็เริ่มสับสน ว่าควรกินอาหารฝีมือพี่สาวต่อไปดีหรือไม่
“โม่หลี พี่ทำมูสมะม่วง”
“ข้ามาแล้ว” ช่างมันเถอะ รอโตแล้วค่อยว่ากัน แฮ่ มูสเอ๋ยมูส ข้ามาแล้ว แต่เพราะหลิวหลีกลัวว่าส่งผลเสียต่อฟันของโม่หลี จึงไม่ค่อยได้ทำของหวาน โม่หลีจึงอยากกินมากเสียจนทนไม่ไหว แม่ครัวเซียนของที่บ้านก็ทำออกไม่ได้ โม่หลีก็เลยรู้สึกเศร้าสร้อยไปน้อยๆ
“โม่หลี ค่อยๆกิน” หลิวหลีมองน้องสาวตัวกลมๆของนางอย่างพอใจ เด็ก ตัวอ้วนกลมสิถึงจะน่ารัก
“กินช้าๆหน่อย ต่อไปถ้าอยากกินอีก ก็ให้แม่ครัวเซียนทำให้เจ้ากิน พี่สอนพวกเขาแล้ว” หลิวหลีพูดพลางใช้มือลูบหัวโม่หลี
“จริงหรือเจ้าคะ ดีจังเลย ข้ารักท่านพี่ที่สุด” ปากของโม่หลีหวานราวน้ำผึ้ง
“เด็กปากหวาน เจ้าทำให้พี่ไม่อยากออกบ้านเลย” หลิวหลีแตะแก้มโม่หลีเบาๆ เหมือนกับหนูแฮมสเตอร์จัง โม่หลีทำท่าทางฟึดฟัด
“ท่านพี่ พี่จะออกไปข้างนอกหรือ” พี่สาวของนางเป็นดังข่าวลือ ชอบออกไปผจญภัยข้างนอก
“ใช่ การจัดอันดับผู้ถูกเลือกกำลังจะเริ่มต้นขึ้น ข้าควรออกเดินทางได้แล้ว โม่หลี อย่าลืม ยาน้ำที่พี่ทิ้งให้ไว้ เจ้าจะต้องกินมันตลอด เข้าใจหรือไม่” หลิวหลีกำชับ ตอนนั้นหลิวหลีเข้าฌานเพื่อปรุงยาชะล้างไขกระดูกให้โม่หลี และเพราะกลัวโม่หลีจะทนความเจ็บปวดไม่ไหวจึงได้ปรับให้ยาเบาลง อีกทั้งยังได้ปรับสูตรยาอีกด้วย มีแค่โม่หลีเท่านั้นที่ได้สิทธิพิเศษเช่นนี้
“เจ้าค่ะ ท่านพี่ต้องระวังตัวด้วยนะเจ้าคะ คิดถึงข้าด้วย” โม่หลีไม่ใช่เด็กไม่รู้ความอีกต่อไปแล้ว
“พลาดการทดสอบแกนวิญญาณของโม่หลี เสียดายจริงๆ” หลิวหลีอยากจะเห็นโม่หลีทดสอบแกนวิญญาณว่าจะเหมือนกับของนางหรือไม่ ดูแล้วคงต้องรอฟังข่าวจากลูกศิษย์ภายในสำนัก
“ไม่เป็นไรเลย เรื่องของท่านพี่สำคัญกว่า” โม่หลีส่ายหัว นางโชคดีมากจริงงๆ ท่านพี่ของนางพูดถูก
หลิวหลีบอกลาโม่หลี แล้วกล่าวลาบิดามารดา จากนั้นจึงเริ่มออกเดินทางอีกครั้ง อีกเรื่องที่ต้องพูดถึงคือ หลิวหลีพาเสี่ยวเสี่ยวไปด้วย และเป็นไปตามอย่างที่หลิวหลีบอกไปเที่ยว ทำให้หลงเหวินชิงไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี สถานที่ศักดิ์สิทธิ์เช่นนั้น แต่หลิวหลีกลับบอกจะพาเด็กไปเที่ยว
“ท่านพี่ ท่านพี่ นี่คืออะไร” เมื่อเสี่ยวเสี่ยวมาถึงเมืองแห่งหนึ่ง ก็เตร็ดเตร่หาของกินอย่างเบิกบานใจ
“พี่ก็ไม่รู้เช่นกัน หงหลิว เจ้าตามเสี่ยวเสี่ยวเอาไว้” หลิวหลีส่ายหัว แล้วปล่อยหงหลินออกมา
“ได้เลย พี่สาว ข้าเองก็หิวพอดี พี่ไม่ต้องเป็นห่วง ข้าจะไม่ปล่อยให้เสี่ยวเสี่ยวต้องหิวโซแน่” หงหลินตบอกรับประกัน
รอจนเด็กๆไปหมดแล้ว หลิวหลีกับหนานกงเวิ่นเทียนก็เริ่มสนทนากันทันที
“เสี่ยวเทียน จากตรงนี้เดินไปเขาเทียนสิงน่าจะใกล้กว่ากระมัง” แม้ปากจะบอกว่าไปเที่ยว แต่อย่างไรก็ต้องไปให้ถึงจุดหมายก่อน
“ใช่แล้ว หากพวกเรารีบเดินทาง อีกประมาณหนึ่งเดือนก็จะถึง” หนานกงเวิ่นเทียนชี้เส้นทางคร่าวๆ
“ก็ดีแล้ว เสี่ยวเทียน ต้องดูแลความปลอดภัยของตัวเองแล้วถึงจะไปสู้เพื่อแย่งชิงอันดับได้” หลิวหลีกำชับด้วยท่าทีจริงจัง
“รู้แล้ว เจ้าก็ด้วย” หนานกงเวิ่นเทียนพยักหน้ารับ
“นึกไม่ถึงว่าเจ้าจะพาเสี่ยวเสี่ยวออกมาด้วยจริงๆ” หนานกงเวิ่นเทียนนึกว่าหลิวหลีพูดส่งๆ นึกไม่ถึงว่านังหนูจะทำจริง
“อ้าว ก็ตกลงไปแล้ว ถ้าทำไม่ได้ตามนั้นก็คงไม่ดี คนเราต้องรักษาคำพูด เวิ่นเทียนเจ้าคงไม่รู้ล่ะสิ ไม่รู้ว่าโม่หลีไปได้ยินใครพูดมาว่าข้าจะพาเสี่ยวเสี่ยวไปด้วย นางจึงงอแงอยากตามมา แม่ข้าปลอบนางแล้วนางก็ไม่ยอม ข้าทำมูสที่นางชอบกินที่สุดนางก็ยังไม่ยอมเลย” นึกถึงเรื่องที่โม่หลีโวยวายก่อนนางจะออกเดินทาง หลิวหลีก็ทอดถอนใจ เด็กๆ ช่างมีพลังเยอะเหลือเกิน งอแงไม่หยุดจริงๆ
“นั่นก็จริง สุดท้ายเจ้าพูดอะไรกับโม่หลี ไม่เช่นนั้นนางคงไม่ออกมาส่งเจ้าด้วยท่าทางร่าเริงเช่นนั้นแน่” ใช่แล้ว ตอนโม่หลีส่งหลิวหลี นางยิ้มสดใส หากหลิวหลีไม่บอกว่าโม่หลีงอแง เขาก็มองไม่ออกจริง ๆ
“ข้าบอกกับนางว่า ในงานจัดอันดับผู้ถูกเลือกมีปีศาจกินคนอยู่ ชอบกินคนอ้วนๆ ขาวๆ เป็นพิเศษ โม่หลีก็เลยเลิกงอแง เพราะนางถือเป็นต้นฉบับของเด็กอ้วนขาว ผลคือนังหนูบอกให้ข้าไปขับไล่ปีศาจตนนั้น แล้วนางค่อยตามไปเที่ยวทีหลัง” หลิวหลีไม่ได้รู้สึกผิดที่หลอกเด็กแม้แต่น้อย ถึงแม้วิธีจะดูไม่ได้เรื่อง แต่ได้ผลก็พอแล้ว
“โม่หลีเป็นเด็กน่ารัก ไม่รู้ว่านางจะมีแกนวิญญาณหรือไม่” หนานกงเวิ่นเทียนรู้ว่าตัวเองมีน้องภรรยาเพิ่มมาอีกคนหนึ่ง ก็มองพ่อแม่ตนเองอย่างมีเลศนัย หมายความว่าเขาเองก็สามารถมีน้องชายน้องสาวอะไรแบบนี้ได้ด้วย อาจเพราะสายตาของเขาชัดเจนเกินไป ทำเอาเกือบโดนพ่อแม่รุมตี แม่ของเขาถึงกับไม่ยอมพูดกับเขาเลยหนึ่งเดือนเต็มๆ
“ต้องมีแน่นอน” หลิวหลีเอ่ยอย่างมั่นใจ
ณ บ้านสกุลจ้าน โม่หลีรอลำดับของตัวเองอย่างว่าง่าย นางนับนิ้วน้อยๆของตนเอง คงใกล้ถึงตานางแล้ว ท่านพี่ช่างร้ายกาจจริงๆ ตั้งใจทำของกินให้นางขุนเอาจนนางอ้วนขนาดนี้ ดูสิ เด็กคนอื่นที่มามีใครขาวกลมแบบนางบ้าง อีกอย่าง ไม่รู้ว่านางรู้สึกไปเองหรือเปล่า ทำไมเด็กพวกนี้มองนางแปลก เหมือนกับเกรงกลัว แต่ก็ไม่กล้ารังเกียจ อยากจะประจบประแจงนาง
“คนต่อไป จ้านโม่หลี” ผู้อาวุโสสกุลจ้านตะโกนขึ้น
“มาแล้ว” หลังจากที่โม่หลีเข้าไป เด็กๆ ก็เริ่มส่งเสียงจอแจ
“นางคือจ้านโม่หลี ที่ว่ากันว่าเป็นน้องสาวของหลิวหลี ว่าแต่ทำไมอ้วนขนาดนั้น”
“นั่นสิ ท่านพ่อท่านแม่ของข้าบอกให้ข้าสานสัมพันธ์กับนางไว้ให้ดี เพราะนางเป็นน้องของคนชื่อหลิวหลี ได้ยินมาว่าพี่สาวนางรักนางมาก”
“ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่านางจะมีแกนวิญญาณหรือไม่ คุณสมบัติร่างกายพี่สาวนางดีขนาดนั้น หากว่านางไม่มีแกนวิญญาณคงจะตลกไม่น้อย รอจนรู้ว่านางมีแกนวิญญาณ แล้วค่อยเข้าไปทำดีด้วยก็ไม่สาย”
“นั่นสินะ”
โม่หลีที่ถูกพาเข้าไปเป็นจุดสนใจของผู้คนไม่น้อย จะทำอย่างไรได้ ใครให้นังหนูคนนี้มีพี่สาวเก่งกล้าโดดเด่นนามหลิวหลีกัน
“คารวะผู้นำสกุล ท่านผู้อาวุโส” โม่หลีกล่าวอย่างมีมารยาท มารดาเป็นคนสอนมารยาทให้นาง ส่วนที่ว่าทำไมนางต้องทำเช่นนี้ เพราะพี่สาวบอกว่าพวกเขาก็เป็นผู้อาวุโส นางต้องเคารพพวกเขา
“จ้านโม่หลี วางมือด้านบน” จ้านเฟิงอวี้พูดด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม ไม่มีท่าทีหยอกล้อเหมือนตอนปกติ
“เจ้าค่ะ” โม่หลีเบะปาก ท่านลุงปลอมจริงๆ คำนี้หลิวหลีเป็นคนคิดค้นขึ้นมา ถึงแม้จะไม่รู้ความหมาย แต่นางรู้สึกว่าเหมาะกับท่านลุงในตอนนี้มาก โม่หลีนึกถึงคำพูดท่านพ่อท่านแม่ จึงนำมือขึ้นไปวางอย่างเชื่อฟัง ผ่านไปครู่หนึ่ง ลูกแก้วก็ปรากฏแสงสีเงินกับแสงสีเขียวขึ้น
“แกนวิญญาณคู่ธาตุลมกับธาตุไม้” เสียงของผู้อาวุโสดังขึ้น จ้านเฟิงอวี้อดโล่งใจไม่ได้ มีแกนวิญญาณก็ดีแล้ว แกนวิญญาณคู่ก็ไม่เลว อีกทั้งยังเป็นแกนวิญญาณคู่ที่ธาตุเกื้อหนุนกัน นึกถึงน้องชายที่กลัวจะเห็นภาพบุตรสาวในสนามทดสอบ จนขอหลบไปก่อน จ้านเฟิงอวี้นึกไปแล้วก็อยากจะหัวเราะ
“นังหนู ยินดีด้วย เจ้ามีวาสนาแห่งเซียน มาๆ มาลองจับไม้บรรทัดอันนี้ดู” ผู้อาวุโสพูดด้วยท่าทางใจดี ผิดไปจากสีหน้าเย็นชาเมื่อครู่
โม่หลีจับไม้บรรทัดอย่างเชื่อฟัง นางใช้แรงกำแน่น โม่หลีมองตัวเลขที่ปรากฏขึ้นด้านบนอย่างประหลาดใจ
“แกนวิญญาณลม 86 ส่วน แกนวิญญาณไม้ 14 ส่วน” เมื่อผู้อาวุโสเอ่ยจบ โม่หลีถึงได้ผลของตัวเลข
“ถือว่ามีคุณสมบัติร่างกายระดับสูง แต่ก็ต่างจากคุณสมบัติร่างกายของพี่สาวของนางอยู่ดี” ผู้อาวุโสท่านหนึ่งพูดขึ้น เขารอคอยวันนี้มาโดยตลอด พรสวรรค์ของหลิวหลีไม่ธรรมดา บวกกับแซ่หลงของนาง ทำให้เขาตั้งความหวังกับเด็กคนนี้ไว้ค่อนข้างสูง ตอนนี้ลองคิดๆ ดูแล้วเหมือนจะไม่ยุติธรรมกับเด็กน้อยคนตรงหน้าสักเท่าไหร่
“โม่หลี กลับไปบอกพ่อแม่ของเจ้า หลังจากนี้สามวันให้ส่งเจ้าไปที่สำนักฝึกฝนของตระกูล ไปสิ” จ้านเฟิงอวี้กล่าว คุณสมบัติร่างกายของหลานสาวก็ไม่เลว นัก ถ้าไม่เอาไปเทียบกับพี่สาวของนาง
“เจ้าค่ะ โม่หลีขอตัวก่อน” โม่หลีโล่งใจ นางมีแกนวิญญาณจริงๆ ท่านพี่ไม่ได้หลอกนาง
เมื่อโม่หลีเดินออกมาคนจำนวนไม่น้อยมองนางด้วยแววตาสงสัย
“จ้านโม่หลี อย่าลืมว่าสามวันจากนี้ต้องมาที่สำนักฝึกฝนของตระกูล” ผู้อาวุโสกำชับอีกครั้ง
“เจ้าค่ะ ขอบพระคุณท่านผู้อาวุโส” โม่หลีกล่าวขอบคุณอีกฝ่ายด้วยความเคารพ จากนั้นจึงกลับบ้านไปหาบิดาและมารดา
“นางมีแกนวิญญาณจริงด้วย ดีจริง ไม่ว่าจะเป็นแกนวิญญาณอะไร คุณสมบัติร่างกายอย่างไร หากมีพี่สาวนางอยู่ นางสามารถทิ้งระยะห่างจากพวกเราไปได้ไกลแน่”
“จริงสิ ใครใช้ให้พวกเราไม่มีพี่สาวแบบนั้นบ้างล่ะ”
โม่หลียังกลับไม่ถึงบ้าน สองสามีภรรยาที่ร้อนใจก็เดินวนไปมาไม่หยุด จนเดินชนกันเป็นครั้งคราว
“ท่านพ่อ ท่านแม่ อีกสามวันข้าจะต้องไปสำนักฝึกฝนของตระกูล”
“ดีจังเลย โม่หลีมีวาสนาแห่งเซียน” ทั้งสองคนเอ่ยพร้อมเพรียงกันด้วยความยินดี
“โม่หลี เขาได้บอกเจ้าหรือไม่ว่าเจ้ามีแกนวิญญาณอะไร” หลงซินเยว่ถามขึ้น เรื่องนี้ก็ถือเป็นเรื่องสำคัญเช่นกัน
“เจ้าค่ะ แกนวิญญาณคู่วายุพฤกษา” โม่หลีพูดโยกศีรษะไปมา
หลงซินเยว่กับจ้านเฟิงหลิงผิดหวังเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้คิดอะไรมากมายนัก ขอแค่โม่หลีสามารถบำเพ็ญเพียรได้ก็พอ
………………………………………..