ตอนที่ 151 ห้ามปราม

ยามดอกวสันต์ผลิบาน

เฉิงฉือร้อง “อืม” ออกมาเสียงหนึ่งอย่างสนใจ กล่าวขึ้นว่า “ลองเล่ามาว่าตอนอยู่ที่จิงเฉิงเขาทำอะไรไปบ้าง”

 

 

มุมปากของไหวซานเผยร้อยยิ้มสายหนึ่งออกมา กล่าวขึ้นว่า “ตอนนี้ยังไม่รู้เลยว่าเขาต้องการทำอะไรขอรับ!”

 

 

เฉิงฉือย่นคิ้วขึ้น

 

 

ไหวซานกล่าว “เขาอาศัยอยู่ที่อารามซ่างชิงได้พักหนึ่ง ตลอดทั้งวันมักจะหมกตัวอยู่กับพระเต๋าที่กระทำผิดกฎแล้วถูกลดขั้นมาเป็นคนทำงานจรเหล่านั้น ในบรรดาพระเต๋าเหล่านั้นมีคนหนึ่งแซ่หยาง เดิมทีเคยเป็นคนคอยต้อนรับแขกผู้มาเยือนของอารามซ่างชิง ชอบดื่มสุรายิ่งนัก พอเหล้าเข้าปากแล้วก็ชอบคุยโวโอ้อวด มักจะโอ้อวดว่าสมัยตนเป็นหนุ่มนั้นมีพรสวรรค์อย่างไรบ้าง และเกือบจะได้รับเลือกให้เป็นลูกศิษย์ชั้นต้นของสำนักเทียนอีแห่งเขาหลงหู่อย่างไรบ้าง ฝานฉีไม่เชื่อ จึงท้าพนันกับพระเต๋าแซ่หยางผู้นั้น กล่าวว่าหากพระเต๋าแซ่หยางผู้นั้นทำให้คุณหนูใหญ่ของตระกูลมู่แต่งงานกับคุณชายใหญ่ตระกูลหลินได้ภายในปีนี้ เขาจะยอมสูญเงินให้เขาหนึ่งร้อยเหลี่ยงเงิน หากเขาทำให้คุณหนูใหญ่ตระกูลมู่แต่งงานกับคุณชายใหญ่ตระกูลหลินภายในปีหน้า เขาจะยอมสูญเงินให้เขาสามสิบเหลี่ยงเงิน หรือถ้าหากเขาทำให้คุณหนูใหญ่ตระกูลมู่แต่งงานกับคุณชายใหญ่ตระกูลหลินภายในปีถัดไปจากปีหน้าได้ เขาจะเลี้ยงอาหารพระเต๋าแซ่หยางผู้นั้นที่ภัตตาคารที่มีชื่อที่สุดของจิงเฉิงหนึ่งมื้อ…

 

 

…ยังขอให้พระเต๋าที่นั่งอยู่ด้วยในเวลานั้นช่วยเป็นพยาน…

 

 

…พระเต๋าแซ่หยางจึงตอบตกลงในทันที…

 

 

…ผ่านไปไม่กี่วันพระเต๋าที่แสร้งทำตัวเป็นลูกศิษย์ของสำนักเทียนอีแห่งเขาหลงหู่ก็ผ่านไปทางบ้านของตระกูลมู่ ไปพูดอะไรทำนองว่าชีวิตของคุณหนูใหญ่ตระกูลมู่มีเคราะห์ร้าย หากรั้งอยู่ที่บ้านจะนำหายนะมาสู่บิดามารดาและพี่น้อง ไต้เท้ามู่ผู้นั้นเป็นผู้มีการศึกษาผู้หนึ่ง คำกล่าวที่ว่านี้เป็นเรื่องเหนือธรรมชาติ เขาไหนเลยจะเชื่อถือ นอกจากจะไม่ต้อนรับพระเต๋าแซ่หยางผู้นั้นเยี่ยงแขกแล้ว ยังให้บ่าวชายใช้ไม้กวาดไล่พระเต๋าแซ่หยางออกไปอีกด้วย…

 

 

…พระเต๋าแซ่หยางไม่ยอมแพ้ หลังจากที่หารือกับพระเต๋าที่สนิทสนมกันสองสามคนแล้ว ใช้เงินสองสามเหรียญทองแดงไปว่าจ้างขอทานตามถนนได้ผู้หนึ่ง ให้เขาแอบไปทำเพลาประตูของตระกูลมู่ให้เสียหาย ทำให้พอคนของตระกูลมู่เปิดประตูออกในวันรุ่งขึ้น ประตูบานใหญ่ก็พังครืนลงมากองราบกับพื้น สร้างความตกใจให้กับเพื่อนบ้านใกล้เคียงไปครั้งใหญ่…

 

 

…และพอผ่านไปอีกไม่กี่วัน ยามที่ไต้เท้ามู่กลับมาถึงนั้นอยู่ๆ ที่พักเท้าของเกี้ยวหลวงก็เสียขึ้นมากะทันหัน…

 

 

…เกิดเรื่องเช่นนี้ต่อเนื่องกันไปสองสามวัน ต่อให้ไต้เท้ามู่ไม่เชื่อ แต่ฮูหยินมู่เริ่มเชื่อแล้ว จึงไปหาไต้ซือจากอารามซ่างชิงให้ช่วยคำนวณดวงชะตาให้แม่นางมู่ แต่เมื่อไต้ซือจากอารามซ่างชิงคำนวณออกมาแล้วกลับไม่พบว่าแม่นางมู่มีเคราะห์ร้ายอะไร อย่างไรก็ตามพบว่าโชคชะตาของตระกูลมู่ในสองปีนี้ไม่ค่อยสู้ดีนัก…

 

 

…ฮูหยินมู่นำเงินส่วนตัวไปเชิญอารามซ่างชิงช่วยสะเดาะเคราะห์ร้ายให้…

 

 

…พระเต๋าแซ่หยางเห็นว่าฮูหยินมู่ติดกับดักแล้ว ก็กระเ**้ยนกระหือรืออยากได้เงินหนึ่งร้อยเหลี่ยงที่พนันกันเอาไว้จำนวนนั้น จึงลอบเล่าเรื่องที่เขาท้าพนันกับฝานฉีให้ไต้ซือท่านนั้นฟัง…

 

 

…กระทั่งตอนที่ฮูหยินมู่ไปสวดมนต์ขอพรให้ครอบครัวอีกครั้ง ไต้ซือของอารามซ่างชิงจึงกล่าวว่า ความจริงแล้วเป็นเพราะชะตาของบุตรสาวผู้นี้มีเคราะห์ร้ายอยู่ ทำให้ไปขัดขวางโชคชะตาของไต้เท้ามู่ แต่ก็ไม่เป็นไร ขอเพียงฮูหยินมู่ให้บุตรสาวแต่งงานออกไปก่อนปีใหม่ของปีนี้ เพียงเท่านี้โชคชะตาของไต้เท้ามู่ก็จะดีขึ้นเอง…

 

 

…ฮูหยินมู่ได้ยินแล้วก็มีใจอยากให้บุตรสาวแต่งงานออกไปจริงๆ…

 

 

…เพียงแต่ว่าลำดับแรกนั้น ปีนี้คุณหนูใหญ่มู่เพิ่งจะมีอายุได้สิบสามปี ยังไม่ได้เข้าพิธีปักปิ่น ลำดับที่สองคือไต้เท้ามู่เป็นคนที่ไม่เชื่อเรื่องพวกนี้ และลำดับสามคือนี่ก็ใกล้จะถึงวันขึ้นปีใหม่แล้ว ต่อให้เร่งด่วนขนาดไหนก็ไม่มีทางเร่งให้คุณหนูใหญ่มู่แต่งงานก่อนปีใหม่ได้…

 

 

…ด้วยความลังเล ฮูหยินมู่จึงไปที่วัดถานเซ่อขอรับ”

 

 

กล่าวถึงตรงนี้ ไหวซานอดไม่ได้หัวเราะออกมา กล่าวต่อว่า “นายท่านสี่ ไม่แปลกใจที่ท่านมักจะพูดว่าพระเต๋าและนักบวชเหล่านี้ล้วนเป็นผู้หลอกลงผู้คน ท่านคาดว่าเรื่องเป็นอย่างไรขอรับ? ปรากฏว่านักบวชที่วัดถานเซ่อก็เป็นเช่นเดียวกับไต้ซือที่อารามซ่านชิง กล่าวเช่นเดียวกันว่าชะตาของคุณหนูใหญ่มู่ถูกลิขิตให้มีเคราะห์ร้ายหนึ่ง ต้องทำพิธีต่อดวงชะตาโดยการไว้ทุกข์สี่สิบเก้าวันถึงจะสะเดาะเคราะห์ได้…

 

 

…ตอนที่ฝานฉีเดินทางกลับมานั้น ฮูหยินมู่กับไต้เท้ามู่กำลังมีปากเสียงกันพอดี บอกว่าไม่ว่าอย่างไรฤดูใบไม้ผลิของปีหน้าก็ต้องให้คุณหนูใหญ่มู่แต่งงานออกไป ไม่อย่างนั้นฮูหยินมู่จะพาบุตรทั้งหลายกลับบ้านเดิมขอรับ”

 

 

เฉิงฉือฟังแล้วก็รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย ถามขึ้นว่า “ฝานฉีผู้นั้นก็เลยกลับมาเช่นนี้เลยอย่างนั้นหรือ”

 

 

“ขอรับ!” ไหวซานกล่าว “ให้เงินพระเต๋าแซ่หยางผู้นั้นไปยี่สิบเหลี่ยง บอกว่าฤดูใบไม้ไม้ผลิของปีหน้าจะติดตามผู้อาวุโสในบ้านมาทำการค้าที่จิงเฉิงอีก ถึงเวลานั้นค่อยไปเยี่ยมพระเต๋าแซ่หยางผู้นั้นอีก”

 

 

เฉิงฉือเคาะโต๊ะเบาๆ

 

 

ไหวซานกล่าว “อาจจะเป็นเพราะว่าใกล้ปีใหม่แล้ว กลัวว่าคนที่บ้านจะสงสัย ก็เลยจำต้องเร่งกลับมาก่อน ข้าจะส่งคนไปจับตาดูเอาไว้ วันใดที่ฝานฉีมีความเคลื่อนไหวอะไรอีก ให้พวกเขาไม่ต้องมารายงาน เพียงสะกดรอยตามคนไปก็พอขอรับ”

 

 

“ที่เจ้าพูดมาก็มีเหตุผล” เฉิงฉือลอบรู้สึกว่าเรื่องนี้ไม่น่าจะจบลงเพียงเท่านี้ “พวกเขาอุตส่าห์วางแผนเพื่อให้ไปจิงเฉิงครั้งหนึ่ง เป็นไปไม่ได้ที่จะกลับมามือเปล่าเช่นนี้ เจ้าให้คนจับตาดูต่อไป ดูว่าพวกเขาต้องการทำอะไรกันแน่”

 

 

ไหวซานขานรับ

 

 

ชิงเฟิงเลิกผ้าม่านขึ้นพลางรายงานว่า “นายท่านสี่ ซื่อจื่อจูกั๋วกงให้คนนำจดหมายส่งมาจากเมืองจิงเฉิงขอรับ”

 

 

กลางเดือนสิบ จูเผิงจวี่ติดตามบิดาไปที่จิงเฉิง นอกจากพวกเขาสองพ่อลูกแล้ว พี่น้องของฮ่องเต้อย่างเซียงอ๋อง เย่ว์อ๋อง จิ้นอ๋อง ฉู่อ๋องและคนอื่นๆ ต่างก็พาบุตรชายเข้าเมืองหลวงด้วยเช่นกัน ฮ่องเต้รั้งให้พวกเขาอยู่ฉลองปีใหม่ที่เจิงเฉิงด้วย และยังให้มีการจัดงานเลี้ยงที่พระที่นั่งเป่าเหอ เพื่อเป็นการต้อนรับบรรดาพี่น้องและหลานๆ ที่ไม่ได้พบกันนานหลายปีเหล่านี้ รวมทั้งมีการจุดดอกไม้ไฟที่ถนนฉางอัน เพื่อให้ประชาชนได้ร่วมเฉลิมฉลองด้วย

 

 

เฉิงฉือกล่าว “นำจดหมายเข้ามาเถิด!”

 

 

ไหวซานไปรับจดหมายมา

 

 

เฉิงฉือฉีกปากซองจดหมาย จากนั้นก็กวาดสายตาอ่านเร็วๆ รอบหนึ่ง

 

 

ไหวซานค้อมตัวลง รอรับคำสั่ง

 

 

แต่เฉิงฉือกลับยังคงนั่งนิ่ง กว่าครู่ใหญ่ถึงจะกล่าวขึ้นว่า “พวกเราไปเรือนหานปี้ซานกัน”

 

 

ไหวซานขานรับอย่างนอบน้อมว่า “ขอรับ” จากนั้นก็รีบตะโกนเรียก “หมิงเฮ่อ” เสียงหนึ่ง ทันใดนั้นเขาก็นึกขึ้นได้ว่าหมิงเฮ่อใกล้จะออกเรือนแล้ว กำลังเร่งทำชุดแต่งงานให้ตัวเองอยู่ในห้อง จึงคิดจะตะโกนเรียกชิงเฟิงที่อยู่ใกล้ๆ ก็นึกขึ้นมาได้อีกว่าปีนี้ชิงเฟิงเพิ่งจะมีอายุได้แปดขวบปี…เรือนเสี่ยวซานฉงกุ้ยออกจะกว้างใหญ่ขนาดนี้ ทว่าแม้แต่คนมาช่วยเปลี่ยนชุดให้นายท่านสี่กลับไม่มีเลยสักคน

 

 

เขาจึงไปหยิบชุดเข้ามาด้วยตัวเอง ด้านหนึ่งก็ให้การรับใช้เฉิงฉือขณะเปลี่ยนชุดไปด้วย อีกด้านหนึ่งก็กล่าวไปด้วยว่า “นายท่านสี่ ท่านยังต้องอยู่ที่นี่ไปอีกสองปี ข้าว่ารับสาวใช้เพิ่มเข้ามาสักสองคนดีหรือไม่ขอรับ เลือกที่อายุมากสักหน่อย แล้วค่อยปล่อยตัวออกไปก่อนที่ท่านจะย้ายออกไปก็ได้ขอรับ…”

 

 

“ถึงเวลานั้นค่อยว่ากันอีกทีก็แล้วกัน!” เฉิงฉือไม่ค่อยให้ความสนใจนัก หลังจากเปลี่ยนชุดด้วยตัวเองแล้ว ก็เดินไปหาฮูหยินผู้เฒ่ากัว

 

 

***

 

 

ณ เรือนเจียซู่ โจวเสาจิ่นกำลังโน้มน้าวเฉิงอี้ “…ท่านทำเช่นนี้ ไม่เท่ากับเป็นการผลักจี๋อิ๋งเข้าไปในขุมนรกหรอกหรือ ในเมื่อท่านชอบนาง แล้วเหตุใดถึงทำกับนางเช่นนี้ ท่านจะให้นางยังอยู่เป็นคนต่อไปในภายภาคหน้าอีกหรือไม่”

 

 

ใบหน้าด้านหนึ่งของเฉิงอี้บวมเต่ง ทั้งแดงและม่วง อีกทั้งยังมีรอยนิ้วมือหลงเหลือเอาไว้ ถูกมัดเอาไว้ด้วยเชือกเส้นหนาใหญ่อยู่บนพื้น อยู่ในสภาพย่ำแย่ยิ่งนัก ยังดีที่เขาสวมเสื้อคลุมหนังขนสัตว์ตัวหนึ่ง ไม่อย่างนั้นด้วยอากาศเช่นนี้ อีกทั้งบนพื้นยังปูเอาไว้ด้วยแผ่นหิน ต่อให้มีกระถางไฟก็อาจจะถูกแช่จนแข็งได้

 

 

เขาเหล่ตามองโจวเสาจิ่นพลางสบถเสียงหนึ่งออกมาอย่างไว้ตัว กล่าวขึ้นว่า “ข้าตัดสัมพันธ์กับเจ้าแล้ว เจ้าไม่ต้องมาพูดกับข้าอีก ข้าไม่ฟังคำพูดของเจ้าอีกต่อไปแล้ว”

 

 

โจวเสาจิ่นโกรธเกรี้ยว เตะขาของเขาไปครั้งหนึ่ง กล่าวขึ้นว่า “ท่านคิดว่าข้าอยากคุยกับท่านนักหรือ! เป็นเพราะข้าไม่อยากเห็นจี๋อิ๋งถูกตราหน้าว่าเป็นนางจิ้งจอกล่อลวงใจคนแล้วถูกขายออกไปต่างหาก แล้วท่านจะเสียใจในภายหลัง!”

 

 

“ถูกขายออกไปหรือ!” เฉิงอี้ร้องเสียงเย็น “เจ้ามาข่มขู่ข้าให้กลัวสินะ! จี๋อิ๋งเป็นคนของท่านอาฉือ ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่ถึงคราวให้ท่านย่ากับท่านแม่สอดมือเข้าไปยุ่งได้”

 

 

โจวเสาจิ่นกล่าวขึ้นอย่างไม่เกรงใจว่า “ข้าขอถามท่าน ท่านกับท่านน้าฉือเคยเจอหน้ากันมาก่อนกี่ครั้ง เคยสนทนากันกี่หน ท่านทราบหรือว่าเขาเป็นคนเช่นไร ท่านเอาอะไรมามั่นใจขนาดนี้ว่าถ้าไปขอคนจากท่านน้าฉือ ท่านน้าฉือจะไม่สงสัยอะไรเลยแม้แต่น้อย และยกคนให้ท่านโดยไม่เกิดความขุ่นเคือง คุณชายในตระกูลมีตั้งมากมาย ไม่ใช่ว่าไม่มีคนที่ไม่เคยเห็นจี๋อิ๋งมาก่อน แล้วเหตุใดถึงมีท่านแค่คนเดียวที่ต้องการไปขอนางจากท่านน้าฉืออย่างอดรนทนไม่ได้เช่นนี้”

 

 

เฉิงอี้ร้อนร้นจนหน้าแดงคอแดง ตะโกนขึ้นว่า “เจ้าพูดจาเลื่อนเปื้อน! เจ้าแต่งเรื่องขึ้นมา! เจ้าสร้างเรื่องขึ้นมาโดยไร้มูลเหตุ! ข้ากับจี๋อิ๋งไม่มีอะไรกัน! เพียงเคยเจอหน้ากันแค่ครั้งเดียวเท่านั้น คนอื่นอาจไม่รู้ แต่เจ้าก็ไม่รู้ด้วยอย่างนั้นหรือ”

 

 

“ข้าย่อมรู้!” โจวเสาจิ่นกล่าว “และข้าก็เชื่อท่านด้วย! แต่ผู้อื่นจะเชื่อท่านอย่างนั้นหรือ”

 

 

เฉิงอี้เม้มปากแน่น ผ่านไปครู่ใหญ่แล้วก็ไม่ยังเอ่ยอะไรออกมาแม้สักประโยคเดียว

 

 

โจวเสาจิ่นกล่าว “ท่านลองคิดดูดีๆ ก็แล้วกัน! ข้าจะกลับไปก่อน ท่านอย่าได้เห็นแก่ความสุขของตัวเองเพียงชั่วครู่ชั่วยามแล้วทำลายชีวิตของผู้อื่นทั้งชีวิตเลยเจ้าค่ะ!”

 

 

เฉิงอี้ก้มศีรษะลงอย่างเงียบๆ ไม่เอ่ยคำใด

 

 

โจวเสาจิ่นเดินออกไปอย่างเบามือเบาเท้า

 

 

ฮูหยินใหญ่เหมี่ยนกำลังรออยู่ด้านนอกผ้าม่านอย่างใจจดใจจ่อ เมื่อเห็นนางเดินออกมา ก็รีบดึงแขนของนางเอาไว้แล้วเดินตรงไปข้างหน้า กระทั่งเดินมาถึงกลางลานบ้านถึงได้หยุดลง กระซิบกล่าวเสียงเบาว่า “เสาจิ่น ครั้งนี้ต้องขอบใจเจ้าแล้ว หากเปลี่ยนใจพี่ชายอี้ของเจ้าได้ ข้าจะรู้คุณเจ้าไปตลอดชีวิต”

 

 

“ท่านป้าใหญ่ ท่านกล่าวเกินไปแล้วเจ้าค่ะ” โจวเสาจิ่นกล่าวอย่างเกรงใจ “ข้าเองก็พูดไปอย่างนั้น ไม่รู้ว่าพี่ชายอี้จะฟังบ้างหรือไม่”

 

 

“หากไม่ฟัง เช่นนั้นก็เป็นเขาที่ไม่รู้จักดีชั่วแล้ว” ฮูหยินใหญ่เหมี่ยนกล่าวขึ้นอย่างผิดหวัง “แต่ความปรารถนาดีของเจ้า ป้าใหญ่ได้รับเอาไว้แล้ว” จากนั้นกล่าวขึ้นอย่างรักใคร่ว่า “ไปเถิด พวกเราไปคุยกันที่ห้องของท่านยายเจ้า ข้างนอกนี้อากาศเย็นนัก ระวังจะจับไข้เอาได้”

 

 

โจวเสาจิ่นพยักหน้า เดินไปหาฮูหยินผู้เฒ่ากวนพร้อมกับฮูหยินใหญ่เหมี่ยน

 

 

ฮูหยินผู้เฒ่ากวนกำลังรอพวกนางอยู่พอดี ไม่รอให้พวกนางได้หยุดยืนอย่างมั่นคง ก็ถามขึ้นอย่างร้อนใจว่า “เจ้าตัวไม่รู้จักเป็นตายผู้นั้นว่าอย่างไรบ้าง”

 

 

“ไม่ยอมพูดอะไรเลยเจ้าค่ะ” สุดท้ายแล้วฮูหยินใหญ่เหมี่ยนก็ทุกข์ใจด้วยเรื่องของบุตรชายเป็นอย่างมาก กล่าวต่อว่า “แต่พวกเราดูจากท่าทางเช่นนั้นแล้ว ไม่ได้ปากแข็งเหมือนก่อนหน้านี้แล้วเจ้าค่ะ”

 

 

ฮูหยินผู้เฒ่ากวนได้ยินแล้วก็รู้สึกโล่งอกไปเปลาะหนึ่ง กล่าวพึมพำขึ้นว่า “ข้าว่านี่ไม่ใช่เพียงวิธีเดียว…ไม่ใช่ว่าวันที่สี่เจ้าต้องกลับบ้านเดิมหรอกหรือ นำตัวคุณชายรองไปให้นายท่านผู้เฒ่าของตระกูลเหอดูสักหน่อย ดูว่าให้คุณชายรองอยู่เรียนหนังสือที่ตระกูลเหอได้หรือไม่…”

 

 

นายท่านผู้เฒ่าของตระกูลเหอเป็นจิ้นซื่อมาตั้งแต่อายุยังน้อย เคยดำรงตำแหน่งอยู่ในสำนักฮั่นหลินมาก่อน ต่อมาเนื่องจากทนกับสภาพอากาศของทางเหนือไม่ได้ ทำให้เป็นโรคหอบหืด ถึงได้ต้องลาออกจากราชสำนักและกลับมารักษาตัวที่บ้านเกิด เหอเหมี่ยนจือคือหลานชายของเขา และก็ติดตามเรียนหนังสือกับเขาด้วยเช่นเดียวกัน

 

 

ชาติก่อน เฉิงอี้เรียนหนังสืออยู่ที่สำนักศึกษาของตระกูลเฉิงโดยตลอด

 

 

ตนเอง…ทำให้เรื่องเปลี่ยนแปลงไปอีกเรื่องหนึ่งเสียแล้ว…

 

 

โจวเสาจิ่นยั้งตัวเอาไว้ ถึงได้ไม่เอามือขึ้นเช็ดเหงื่อบนหน้าผาก

 

 

ฮูหยินใหญ่เหมี่ยนได้ยินแล้วกลับรู้สึกยินดีเป็นอย่างมาก

 

 

ถ้าหากบุตรชายได้รับความโปรดปรานจากนายท่านผู้เฒ่าของตระกูลเหอได้ ย่อมเป็นการดีมากกว่าการเรียนหนังสืออยู่ในสำนักศึกษาของตระกูลกับคนกลุ่มใหญ่เช่นนี้

 

 

“ข้าแล้วแต่ท่านเจ้าค่ะ” นางรีบกล่าว “เช่นนั้นข้าจะไปเพิ่มของที่จะส่งไปให้บ้านเดิมอีกสักหน่อยนะเจ้าคะ”

 

 

ถ้าหากว่าประสบผลสำเร็จ ของขวัญตอบแทนเหล่านี้ก็ไม่อาจให้น้อยเกินไปได้

 

 

***

 

 

ณ เรือนหานปี้ซาน เฉิงฉือกับฮูหยินผู้เฒ่ากัวกำลังเดินหมากล้อมกันอยู่

 

 

ฮูหยินผู้เฒ่ากัวครุ่นคิดเนิ่นนาน กว่าจะถอนหายใจพลางวางหมากสีดำในมือลง “ทั้งๆ ที่ข้าเป็นคนสอนเจ้าเดินหมาก ทว่าตอนนี้ถึงแม้จะต่อให้ข้าสามตัว ข้าก็ไม่อาจเป็นคู่ต่อสู้ของเจ้าได้อีกแล้ว!”

 

 

“ศิษย์เหนือครู” เฉิงฉือยิ้มพลางกล่าวขึ้นอย่างเนือยๆ ว่า “นี่ไม่ใช่ว่าเป็นสิ่งที่อาจารย์คาดหวังจากตัวลูกศิษย์หรือขอรับ”

 

 

“แต่ก็มีที่สอนลูกศิษย์จนเป็นงานแล้วอาจารย์อาจต้องโมโหตายได้” ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกล่าวยิ้มๆ มองออกว่านางกำลังอารมณ์ดีเป็นอย่างมาก

 

 

เฉิงฉือจึงถามขึ้นว่า “พี่สะใภ้ใหญ่จะออกเดินทางเมื่อใดหรือขอรับ หากยังไม่ออกเดินทางอีก เกรงว่าจะไปไม่ทันกินข้าวพร้อมหน้ากันในวันที่สามสิบ”

 

 

“ต่อให้ออกเดินทางตอนนี้ก็ไปไม่ทันแล้ว” ฮูหยินผู้เฒ่ากัวมองเฉิงฉือยิ้มๆ กล่าวขึ้นอย่างมีนัยแฝงว่า “ไม่ใช่ว่าข้าไม่อยากให้นางรีบออกเดินทางให้เร็วขึ้น และก็ไม่ใช่ว่าพี่สะใภ้ของเจ้าไม่อยากรีบออกเดินทางให้เร็วขึ้น แต่หากนางไปแล้ว งานบ้านของจวนหลักจะทำอย่างไร นอกเสียจากว่านางจะมีคนมาช่วยสักคน เช่นนั้นข้าก็คงจะให้นางออกเดินทางไปดูแลพี่ชายใหญ่ของเจ้าที่จิงเฉิงตั้งนานแล้ว”

 

 

………………………………………………………………………..