บทที่ 131 การลาออกที่น่าสงสัย

ท่านเทพกลับมาเป็นคุณพ่อ[神尊归来当奶爸]

เจิ้งเหวยกัว ยืนรออยู่ที่หน้าประตูด้วยสีหน้าคาดหวัง

“เข้ามาได้”

เมื่อเห็นว่าฝั่งตรงข้ามต้องการขอเข้าพบ อวี้ฮ่าวหราน รู้สึกไม่มีความสุขสักเท่าไหร่แต่เขาก็ยังอนุญาตให้ชายแก่ที่คอยขัดขาเขาตลาดเวลาเข้ามาพบ

“มีอะไร?”

อวี้ฮ่าวหราน ถามขึ้นด้วยสีหน้าเย็นชา ตอนนี้เขาไม่เข้าใจว่าอีกฝ่ายต้องการจะทำอะไร

“ฮ่าฮ่า อย่าเย็นชากับผมขนาดนี้เลยท่านประธานอวี้ เมื่อเร็ว ๆ นี้ท่านประธานบริหารบริษัทได้ดีมากจริง ๆ ฉันขอชื่นชมจากใจ”

เจิ้งเหวยกัว พูดเยินยอด้วยรอยยิ้มอย่างไม่คาดฝันในทันทีที่เขาเข้ามาในห้อง

“แม้ว่าระหว่างเราก่อนหน้านี้จะขัดแย้งกันมาตลอด แต่ตอนนี้ฉันเห็นแล้วว่าท่านประธาน สามารถบริหารบริษัทของเราได้ดีจริง ๆ ความสามารถของท่านประธานมันช่างน่าทึ่งจริงๆ!”

อวี้ฮ่าวหราน อึ้งไปครู่หนึ่ง เขาไม่เข้าใจเลยว่าทำไมจู่ ๆ วันนี้ไอ้แก่คนนี้ถึงเข้ามาชื่นชมเขา

ที่ผ่านมาพวกเขาเป็นศัตรูกันมาตลอด มันไม่ควรจะมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นนี่นา?

อย่างไรก็ตาม เจิ้งเหวยกัวก็ยังกล่าคำเยินยอ อวี้ฮ่าวหราน ต่อไปไม่หยุด

“พอเห็นท่านประธานยังเด็กแต่มีความสามารถมากขนาดนี้มันก็ทำให้ตาแก่อย่างฉันรู้สึกละอายใจ หลังจากครุ่นคิดอยู่นานในสองวันที่ผ่านมา ฉันก็ตัดสินใจว่าตาแก่อย่างฉันควรจะเกษียณตัวเองออกไปแล้วปล่อยให้คนรุ่นใหม่มาแทนที่ได้แล้ว…”

หลังจากพูดจาอ้อมโลกไปพอสมควร ในที่สุด เจิ้งเหวยกัว ก็เผยจุดประสงค์ของเขา

“คุณต้องการที่จะลาออก?”

ผู้จัดการหวังตกตะลึง ตาแก่คนนี้ต้องการลาออกจริง ๆ งั้นเหรอ?

ต้องรู้ว่าตามกฎของบริษัท หากฝั่งตรงข้ามขอเกีษณออกจากบริษัทไปหุ้นที่เขาถือทั้งหมดจะต้องขายคืนให้กับบริษัทตามราคาตลาดปัจจุบัน ซึ่งแนวโน้มของบริษัทตอนนี้คือกำลังเติบโตอย่างรวดเร็วและนั่นหมายความว่าหากเขายังอยู่ในบริษัทไปเรื่อย ๆ มูลค่าหุ้นในมือของเขาก็จะสูงขึ้นตามเวลาที่ผ่านไป

การถอนตัวออกจากบริษัทในขณะที่มูลค่าของหุ้นกับพุ่งขึ้นสูงอย่างรวดเร็วมันเป็นเรื่องที่โง่ชัด ๆ ไม่ใช่เหรอ?

“ใช่ ฉันแก่แล้ว ฉันคิดว่าตัวของฉันเองไม่เหมาะที่จะทำงานอีกต่อไป คุณก็เห็นแล้วว่าระยะหลัง วัน ๆ ฉันเอาแต่เดินไปมาในบริษัทโดยที่ไม่ได้ทำอะไรเลย ฉันคิดว่าตอนนี้มันถึงเวลาแล้วที่ฉันจะเกษียณตัวเองออกไปพักผ่อน”

ในขณะที่พูดสีหน้าของ เจิ้งเหวยกัว เต็มไปด้วยความเหงาและความท้อแท้

เขาดูเหมือนชายชราที่สิ้นหวังและหมดแรงบันดาลใจ

ในทางกลับกัน อวี้ฮ่าวหราน รู้สึกว่าเรื่องนี้มันไม่ชอบมาพากล ในความคิดของเขา ตาแก่คนนี้ไม่ใช่คนที่จะยอมแพ้อะไรง่าย ๆ

หรือว่าเป็นเพราะเสียหน้ากลางที่ประชุมในวันนั้น?

หลังจากคิดอย่างรอบคอบแล้ว อวี้ฮ่าวหราน ก็รู้สึกว่ามันไม่น่าจะใช่ เรื่องแค่นั้นมันไม่ทำให้ตาแก่ไร้ยางอายคนนี้ยอมลาออกไปได้แน่ ๆ

อย่างไรก็ตามถึงแม้ว่าเขาจะสงสัย แต่เขาก็หาคำตอบไม่ได้ว่าตาแก่คนนี้วางแผนอะไรเอาไว้รึเปล่า!

“ตกลง ฉันอนุมัติ แต่ผมอยากให้คุณคิดให้รอบคอบก่อน เพราะหลังจากที่คุณเซ็นลายเซ็นไปแล้วในใบลาออกมันหมายความว่าคุณไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้อีก คุณเข้าใจใช่ไหม?”

อวี้ฮ่าวหราน พูดขึ้นด้วยสีหน้าจริงจัง

“ก่อนคุณจะตัดสินใจลาออกจริง ๆ เอาเป็นว่าผมจะบอกคุณเอาไว้ก่อนก็แล้วกันว่าขณะนี้บริษัทมีกำไรเกิน 100 ล้านไปแล้วในช่วงระยะเวลาไม่ถึง1ไตรมาสด้วยซ้ำ ในขณะที่บริษัทกำลังเฟื่องฟูอยู่แบบนี้ หากคุณยังอยู่ต่อ มันหมายความว่าพอถึงสิ้นปีคุณจะได้รับเงินปันผลเป็นจำนวนมหาศาลมาก”

อวี้ฮ่าวหราน จงใจทดสอบความคิดของอีกฝ่ายโดยการเปิดเผยผลกำไรล่าสุดออกมา

อย่างไรก็ตาม การแสดงออกของ เจิ้งเหวยกัว ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปเลยเมื่อเขาได้ยินข้อมูลนี้ แววตาของเขายังคงแน่วแน่เหมือนเดิม

“เรื่องนั้นฉันเข้าใจ แต่ตาแก่อย่างฉันที่อายุมากขนาดนี้ เงินไม่ใช่เรื่องสำคัญอีกต่อไปเพราะฉันก็ไม่รู้ว่าจะอยู่ใช้มันได้อีกกี่ ฉันอยากจะออกไปชีวิตอย่างสงบที่บ้านมากกว่า” เจิ้งเหวยกัวถอนหายใจยาว “เฮ้อ…ฉันมันแก่มากแล้ว อย่าให้ฉันอยู่ที่นี่เป็นภาระกับทุกคนเลย”

เมื่อได้ยินคำพูดที่ดูมีเหตุผลและเหมือนว่าฝั่งตรงข้ามจะสำนึกผิดจริงๆ อวี้ฮ่าวหราน ก็พยักหน้าและสั่งให้ผู้จัดการหวังไปเตรียมเอกสารลาออกมาให้กับ เจิ้งเหวยกัว

นี่เป็นเรื่องดีเช่นกัน เพราะเมื่อไหร่ที่ชายคนนี้ออกไปจากบริษัท มันจะได้ไม่มีใครมาขัดแข้งขัดขาเขาอีก

ไม่นานต่อมา ผู้จัดการหวัง ก็เอาเอกสารมาให้ เจิ้งเหวยกัว เซ็นชื่อลงไป

ตราบใดที่ เจิ้งเหวยกัว เซ็นชื่อลงไปเรียบร้อยเขาจะไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับ บริษัท อีกต่อไป

“เอาล่ะเรียบร้อย ฉันต้องขออภัยท่านประธานจริง ๆ ในเรื่องที่ผ่านมาทั้งหมด ฉันขอให้ท่านประธานอโหสิให้ด้วยและหลังจากนี้ฉันจะไม่มารบกวนคุณอีกแน่นอน”

หลังจากอ่านรายละเอียดในเอกสารอยู่สักพัก เจิ้งเหวยกัว ก็เซ็นชื่อยินยอม จากนั้นเขาลุกขึ้นจากเก้าอี้และเดินออกไปทันที

ตั้งแต่ที่ เจิ้งเหวยกัว เดินเข้ามาในห้องจนถึงวินาทีที่เขาเดินจากไป ท่าทีของเขาดูนอบน้อมอย่างแท้จริงไม่หลงเหลือความเย่อหยิ่งที่เคยมีก่อนหน้านี้แม้แต่น้อย

แต่ในทันทีที่อีกฝ่ายออกจากห้องไป แววตาของ อวี้ฮ่าวหราน กลับเปลี่ยนเป็นเย็นชา

ไอ้แก่คนนี้เสแสร้งเก่งจริง ๆ

ถ้าคนธรรมดาคงมองไม่ออกจริง ๆ แต่เขาอยู่มาหลายหมื่นปีแล้ว เขาจะมองไม่ออกได้อย่างไร

ในใจใครเป็นอย่างไร ต่อหน้าเขาย่อมไม่อาจหลบซ่อนได้!

ภายใต้ใบหน้าที่ดูยินยอมนั้นมันเต็มไปด้วยอารมณ์รังเกียจต่อเขาอย่างชัดเจน!

หลังจากที่เจิ้งเหวยกัวออกจากห้องไป ผู้จัดการหวังก็เอ่ยขึ้นด้วยสีหน้ากังวล

“ประธานอวี้ ถึงแม้ว่าผมจะไม่เห็นสิ่งผิดปกติ แต่ผมคิดว่าการลาออกครั้งนี้ของ เจิ้งเหวยกัว ย่อมไม่ใช่เรื่องที่ดีสำหรับเราแน่”

การที่เขาเห็นว่า อวี้ฮ่าวหราน ปล่อยฝั่งตรงข้ามจากไปง่าย ๆ มันทำให้เขาหนักใจมากกว่าตอนที่ฝั่งตรงข้ามยังอยู่ในบริษัท

“ท่านประธานอวี้ ท่านอย่าถูกเขาหลอกง่าย ๆ เด็กขาด ผมคิดว่าคน ๆ นี้ไม่ยอมแพ้ง่าย ๆ อย่างที่เขาแสดงแน่”

คำพูดของผู้จัดการหวังทำให้ อวี้ฮ่าวหราน พยักหน้าอย่างพึงพอใจ

ผู้จัดการหวังคนนี้มีสายตาที่เฉียบคมเช่นกัน

แต่เนื่องจากอีกฝ่ายต้องการออกจากบริษัท เขาจะไปขัดขวางยังไงได้?

นับจากนี้เขาคงต้องระวังตัวมากกว่าเดิม และรอดูว่าฝั่งตรงข้ามจะเล่นเขายังไงต่ออีก

เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว และเมื่อถึงตอนสี่โมงเย็น อวี้ฮ่าวหราน ขับรถออกจากบริษัท ไปรับ ถวนถวน ตามปกติ

ทางเข้าโรงเรียนอนุบาลแอปเปิ้ลแดง

ท่ามกลางฝูงชนที่พลุกพล่าน อวี้ฮ่าวหราน สังเกตเห็น ถวนถวน ที่กำลังเดินออกมาจากโรงเรียนได้อย่างรวดเร็ว

เด็กน้อยกำลังเดินออกจากประตูโรงเรียนพร้อมกับ สวีรุ่ย ที่กำลังจะออกจากโรงเรียนเช่นกัน

“ยังตรงเวลาเสมอ เมื่อวานคุณพบหมาที่ต้องการไหม?”

สวีรุ่ย เดินมาหาเพื่อทักทายแล้วถามเรื่องเมื่อวาน แม้ว่าเธอจะไม่ทราบรายละเอียด แต่เธอก็กลัวว่าเธอจะไม่สามารถช่วยอะไร อวี้ฮ่าวหราน ได้มากพอ

“ผมเจอแล้ว จริง ๆ มันไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร มันก็แค่สองวันที่ผ่านมาเจ้าลูกกวาดมันซึมผิดปกติ ผมก็เลยพามันไปหาหมอซึ่งผลวินิจฉัยสรุปว่ามันน่าจะอยู่ในอาการ ‘ติดสัด’ ผมก็เลยพามันไปเจอกับหมาตัวเมียที่มันคิดถึง”

อวี้ฮ่าวหราน อธิบายแบบคร่าว ๆ

“แล้วหลังจากที่เจ้าลูกวาดเจอตัวเมียที่มันคิดถึงมันเป็นยังไงบ้าง?”

“มันก็เป็นอย่างที่หมอบอกเอาไว้ว่ามันเป็นอาการติดสัด หลังจากที่ผมพามันไปเจอกับตัวเมียที่มันคิดถึง อาการเซื่องซึมของมันก็หายเป็นปลิดทิ้ง”

คำตอบของ อวี้ฮ่าวหราน ทำให้ใบหน้าของ สวีรุ่ย แดงขึ้นเล็กน้อยอย่างน่าแปลกประหลาด

“อ…อื้ม ถ้างั้นก็ดีแล้ว…”