บทที่ 161 นางหญิงปีศาจ ส่งศิษย์น้องข้ามา

บุตรแห่งโชคที่ว่า ไม่ใช่ข้าแน่นอน

บทที่ 161 นางหญิงปีศาจ ส่งศิษย์น้องข้ามา

บนฟ้าที่ราบหมอกลับแล หมื่นลี้ไร้เมฆ แต่กลับมีสายฟ้ารุนแรง

อานุภาพสายฟ้าทรงพลังรวมอยู่บนฟ้าที่ราบหมอกลับแล กำลังหลอมละลายหมอกวิญญาณ

เห็นร่างมายาสัตว์เทพสิบชนิดกำลังเหาะเหินส่งเสียงคำรามในอากาศรางๆ ทั้งยังแผ่กระจายอำนาจคุกคามน่ากลัว

เจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์ถูกคลุมอยู่กลางสายฟ้าประกายเซียนทั้งตัว ยิ่งใหญ่ราวกับเทพสวรรค์ลงมาเยือนโลกมนุษย์ พรั่งพรูพลังแก่กล้าออกมา

ตอนนี้เขาวางยอดค่ายกลเทพสวรรค์หล่อหลอมหมอกวิญญาณมาหนึ่งวันหนึ่งคืนแล้ว หมอกวิญญาณในที่ราบหมอกลับแลเบาบางลงไปหลายเท่า กระทั่งมองเห็นส่วนลึกที่ราบหมอกลับแลรางๆ

เจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์กับผู้สูงศักดิ์สวรรค์บัวมรกตแปลกใจกับตรงนี้มาก เพราะนี่มันราบรื่นจนไม่สมเหตุผล

ตรงส่วนลึกที่ราบหมอกลับแลมีมหาปีศาจเถาจองจำเซียนอยู่ นี่ไม่ใช่ความลับอะไรในขุมอำนาจระดับสุดยอดของแดนบูรพา

แต่เหตุใดแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์ที่มีอาณาเขตติดกับที่ราบหมอกลับแลถึงเฉยเมยไม่จัดการกวาดล้างที่ราบหมอกลับแลล่ะ!

นั่นก็เพราะว่าเถาจองจำเซียนฝึกฝนในที่ราบมาหลายพันปี จนหล่อหลอมที่นี่เป็นอาณาเขตตนเองไปนานแล้ว!

ที่ราบหมอกลับแลมากกว่าครึ่งเป็นถิ่นฐานของมารดาเถาลวี่จี สามารถควบคุมได้ตามใจนึก

หมอกวิญญาณที่มารดาเถาลวี่ปล่อยออกมา แม้แต่พลังจิตของผู้อริยะส่วนใหญ่ยังได้รับผลกระทบ ผนวกกับอิทธิฤทธิ์และพรสวรรค์ของนาง จึงทะลวงไปมาทั้งที่ราบหมอกลับแลได้ตามใจปรารถนา

ดังนั้นแม้ผู้อริยะเผ่ามนุษย์จะออกมือก็อาจจะปราบลงไม่ได้ มิหนำซ้ำนางยังซ่อนไพ่ตายสายเลือดเถากลืนกินเซียนไว้อีก

เดิมทีในมุมมองของเจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์กับผู้สูงศักดิ์สวรรค์บัวมรกต ผู้อริยะธรรมดาต้องใช้เวลาอย่างน้อยหลายเดือนกว่าจะทะลวงค่ายกลหมอกได้

แม้เจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์จะเอาธงจักรพรรดิอัสนีสิบอันแห่งแดนศักดิ์สิทธิ์มาด้วย ทำให้เห็นผลมากขึ้นหลายเท่าก็ตาม แต่อย่างน้อยก็ต้องใช้เวลาสามวันสามคืนถึงจะทำลายค่ายกลของมารดาเถาลวี่จีได้ทั้งหมด

ถึงอย่างไรนางก็เสริมค่ายกลหมอกวิญญาณพรางฟ้ามาหลายพันปี อีกทั้งในระหว่างที่ทำลายค่ายกลยังต้องระวังไม่ให้เสิ่นเทียนโดนลูกหลงอีก

แต่สองคนไม่นึกเลยว่าผ่านไปแค่หนึ่งวันหนึ่งคืน ค่ายกลหมอกวิญญาณในที่ราบหมอกลับแลก็ถูกหล่อหลอมไปพอประมาณแล้ว แทบจะหายไปทั้งหมดแล้ว

นี่มีเพียงความเป็นไปได้เดียว นั่นคือค่ายกลหมอกวิญญาณไม่มีผู้แข็งแกร่งค้ำยันไว้ เลยกลายเป็นค่ายกลไร้นาย!

ความจริง ช่วงก่อนหน้านี้ที่เร่งรัดใช้ค่ายกลเทพสวรรค์หล่อหลอมหมอกวิญญาณ เจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์ก็ไม่รู้สึกถึงการต่อต้านเลยเหมือนกัน

เมื่อคิดได้ดังนั้น เจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์ก็มองผู้สูงศักดิ์สวรรค์บัวมรกตแวบหนึ่ง ไม่ได้พูดอะไร แต่ความหมายชัดเจนมาก

เห็นรึยัง ข้าบอกแล้วว่าไม่ต้องเป็นห่วงเลย ผีดวงซวยนั่นโดนเทียนเอ๋อร์ปราบสิ้นลงแล้ว ตอนนี้เราต้องรีบไปหาเทียนเอ๋อร์ ให้เขารู้สึกถึงความอบอุ่นของแดนศักดิ์สิทธิ์

ด้วยความที่เป็นศิษย์พี่ศิษย์น้องร่วมอาจารย์กันมาพันปี มองแวบเดียวนักพรตชราก็เข้าใจได้ในทันที แต่ในใจเขายังคงดื้อรั้น ต่อให้ที่ราบหมอกลับแลเปลี่ยนไปจริงๆ แล้วอย่างไร

เจ้ารับประกันได้หรือว่าการเปลี่ยนแปลงนี้เกี่ยวกับเสิ่นเทียน มั่นใจได้รึว่าสุดท้ายเสิ่นเทียนเป็นผู้ชนะน่ะ

นักพรตชราเจ็บจี๊ดในใจนิดๆ สารภาพตามตรงเขาไม่หวังจะให้เสิ่นเทียนเป็นอะไร และก็ไม่หวังจะให้ได้มหาโชคลิขิตเช่นกัน เพราะเขาเคยเห็นภาพที่เจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์บันทึกเอาไว้แล้ว ซึ่งเป็นเขาเองที่แทบจะไล่เจ้าเสิ่นเทียนลูกศิษย์ครึ่งหนึ่งนี่ไปเอง

นักพรตชราคิดว่าเสิ่นเทียนเป็นหลุมไร้ก้นคอยเผาเงิน ทั้งยังฝึกฝนคัมภีร์คบเพลิงต้องดวงซวยยิ่งขึ้นแน่ ถ้าความจริงพิสูจน์ว่าเสิ่นเทียนเป็นบุตรแห่งโชค ทั้งยังได้มหาโชคลิขิตในเหตุการณ์ครั้งนี้ จากนั้นมหาโชคลิขิตนี้ไม่เกี่ยวอะไรกับเขาล่ะ เขาจะไม่สำนึกเสียใจจนตายเลยหรือ

……

คนอื่นๆ ไม่มีใครเห็นเงื่อนงำการสื่อสารทางสายตาระหว่างเจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์กับนักพรตชราเลย

จางอวิ๋นซีมองหมอกวิญญาณที่บางลงเรื่อยๆ ด้วยแววตาเร่าร้อนอย่างยิ่ง “ท่านพ่อ เข้าไปได้แล้วหรือไม่”

ตอนนี้ในที่ราบหมอกลับแลเหลือเพียงหมอกวิญญาณบางส่วนที่เบาบางยิ่ง ถือว่าไม่ได้มีผลกับผู้ฝึกบำเพ็ญมากนักแล้ว

เจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์พยักหน้า “ข้ารู้สึกถึงตำแหน่งโดยละเอียดของเทียนเอ๋อร์แล้ว พวกเจ้ารออยู่ที่นี่”

นักพรตชรากลอกตา ถ้าเป็นตามที่ศิษย์น้องพูด เจ้าหนูนี่อาจจะเจอกับมหาโชคลิขิต!

ให้ข้ารออยู่ที่นี่ ได้สิน้องรอง เจ้าคิดจะฮุบกินคนเดียวล่ะสิ!

เมื่อคิดได้ดังนั้น นักพรตชราก็พูดอย่างถูกต้องชอบธรรม “ศิษย์น้องเจ้าวางค่ายกลไป พลังปราณเดิมบาดเจ็บสาหัสอยู่ ข้าว่านะ เจ้าพักกายพักใจอยู่ในเมืองหมอกลับแลดีกว่า ให้ศิษย์พี่ไปตามหาศิษย์หลานเองเถอะ!”

เจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์มองนักพรตชราอย่างเฉยชา เขาจะไม่รู้หรือว่าศิษย์พี่ตนคิดวางแผนอะไรอยู่

ถ้าให้เจ้านี่ไปรับเสิ่นเทียน ไอ้อันตรายก็คงไม่อันตรายอยู่แล้ว กลัวก็แต่เสิ่นเทียนจะหนีไม่รอดจากโอสถลบความจำ!

คิดได้ดังนั้นแล้ว เจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์ก็พูดอย่างเย็นชา “ไม่เป็นไร ถึงพลังปราณเดิมข้าจะเสียหาย แต่แค่พักสักสองสามปีก็ฟื้นกลับมาแล้ว มันคุ้มค่าเพื่อช่วยเทียนเอ๋อร์! เรื่องเล็กแค่นี้ พวกเจ้าไม่ต้องบอกเทียนเอ๋อร์ล่ะ กลัวเขาจะเป็นกังวลเปล่าๆ”

พอเอ่ยจบ เจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์ก็มองนักพรตชรา “ข้าสัมผัสได้ถึงตำแหน่งของเทียนเอ๋อร์แล้ว จะไปรับเขาเอง”

กล่าวจบเจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์ก็กลายเป็นประกายเซียนสายหนึ่งม้วนจางอวิ๋นซีบินไปยังส่วนลึกที่ราบหมอกลับแล

นักพรตชราแอบด่าไอ้จิ้งจอกเฒ่าอยู่ในใจ ก่อนจะกลายเป็นประกายสีทองตามไปเช่นกัน ทิ้งพวกฉินอวิ๋นตี๋กับกุ้ยกงกงไว้บนที่ราบ ต่างพากันโล่งอก

“สมกับเป็นศิษย์พี่บุตรศักดิ์สิทธิ์ ไม่อยากเชื่อว่าจะทำให้เจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์ยอมต้นกำเนิดพลังเสียหายเพื่อไปช่วยเลย”

“ท่านเซียนก็คือท่านเซียน บุกไปส่วนลึกที่ราบหมอกลับแลเพียงลำพัง ทั้งยังไม่เป็นอะไรเลยอีก”

“ช่วยเมืองหมอกลับแลได้ในทันที เป็นฝีมือของท่านเซียนจริงๆ ฝีมือของท่านเซียนช่างน่าชมเชยว่าดีที่สุดจริงๆ นะ!”

“เจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์ลงมือเอง องค์ชายรอดแล้ว หากพระสนมหลานในแดนปรโลกรู้เข้าจะต้องยิ้มร่าไปทั่วแดนปรโลกอย่างแน่นอน!”

…….

ตัดกลับมาที่ส่วนลึกที่ราบหมอกลับแล

ตอนนี้เสิ่นเทียนออกจากหุบเขามาบนที่ราบแห่งหนึ่ง

ข้างหน้าเป็นเปลวไฟสีแดงลุกโชน กำลังสั่นไหวเงียบๆ อยู่บนพื้น

ใช่ เปลวไฟนั้นคือเศษเสี้ยวต้นกำเนิดอัคคีอรุณใต้ และก็เป็นเศษเสี้ยวสุดท้ายที่เสิ่นเทียนหาเจอ

หนึ่งวันหนึ่งคืนนี้ที่เจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์พยายามหล่อหลอมหมอกวิญญาณ เสิ่นเทียนก็ไม่ได้ว่าง เขากวาดล้างทั้งหุบเขาหมอกลับแล รับรองว่าไม่มีอะไรเหลือรอด

จากนั้นก็เริ่มหาอัคคีอรุณใต้

ตอนที่เจ้ากระบี่สุริยะฟ้าตายตก ต้นกำเนิดอัคคีอรุณใต้ได้กระจายเป็นชิ้นส่วน

เศษเสี้ยวส่วนใหญ่ในนั้นตกใกล้ๆ กับหุบเขา เขารู้สึกได้

เขาอาศัยการชี้แนะจากพลังของคัมภีร์คบเพลิงในกาย ไม่นานก็เจอต้นกำเนิดอัคคีอรุณใต้ทีละกอง และกองตรงหน้านี้คือต้นกำเนิดกองสุดท้ายที่เขาน่าจะสัมผัสได้แล้ว

เสิ่นเทียนโคจรคัมภีร์คบเพลิงหล่อหลอมอัคคีอรุณใต้กองนี้อย่างระมัดระวัง

พลังงานพิเศษอย่างหนึ่งแผ่กระจายไปทั่วร่างทันที เขารู้สึกได้ว่าเปลวเพลิงในใจตนเร่าร้อนยิ่งกว่าเดิม

ในปัญจธาตุนั้น ธาตุไฟสอดคล้องกับหัวใจ เป็นอวัยวะภายในที่จำหน่ายโลหิตบริสุทธิ์

ตอนนี้หัวใจถูกอัคคีขัดเกลา เสิ่นเทียนรู้สึกได้ว่าโลหิตบริสุทธิ์ของเขาแกร่งขึ้นกว่าเมื่อก่อนอีก!

กระทั่งเขาในตอนนี้ยังรู้สึกว่าจะลองสู้กับเซียนแท้จริงได้!

แน่นอน ลองดูก็ตายเลย

……

เสิ่นเทียนหยิบกล่องไม้ใบหนึ่งมาจากแหวนเวหา

ในกล่องบรรจุกระดูกไว้หลายชิ้น ทุกส่วนออกเป็นสีทอง

กระดูกพวกนี้แข็งและทนทานราวกับทองคำเทพที่ผ่านการขัดเกลามาเป็นร้อยครั้ง และยังแผ่กระจายท่วงทำนองแท้จริงแห่งวิถีกระบี่

ตามการคาดเดาของเสิ่นเทียนแล้ว นี่น่าจะเป็นเศษกระดูกของร่างเจ้ากระบี่สุริยะฟ้า เขาสืบทอดอัคคีอรุณใต้ส่วนหนึ่ง ในด้านน้ำใจและเหตุผลก็ควรจะช่วยสร้างหลุมศพให้เขา

ดังนั้นระหว่างที่รวบรวมอัคคีอรุณใต้ เขาเลยถือโอกาสเก็บเศษกระดูกมาด้วย จากนั้นใช้เถากลืนกินเซียนขุดหลุมออกมาแล้วฝังกล่องนี้ลงไป

จากนั้นเสิ่นเทียนหาหินมาแบ่งเป็นลักษณะยาว ก่อนยกปืนปทุมฆาตเทพและยิงเขียนบนหินเป็นคำว่า ‘หลุมศพของเจ้ากระบี่สุริยะฟ้า’

ข้างๆ หกคำนั้นยังเขียนอักษรเล็กๆ อีกว่า ‘ผู้มีวาสนาเสิ่นเทียนสร้าง’

เอามรดกของเจ้าไป ฝังศพให้เจ้า ระหว่างข้ากับเจ้าก็ไม่มีใครติดค้างกันแล้ว!

เสิ่นเทียนกำลังจะถอนหายใจโล่งอก เขาพลันนึกอะไรขึ้นได้

ไม่ใช่แล้ว นี่มันไม่รอบคอบเกินไป จะทิ้งชื่อไว้ได้อย่างไร!

ถ้าเกิดเจ้ากระบี่สุริยะฟ้ามีศัตรู มาเห็นป้ายหลุมศพละจะทำอย่างไร

ถึงตอนนั้นถ้าคิดว่าข้าสืบทอดมรดกของเจ้ากระบี่สุริยะฟ้า แล้วมาเล่นงานข้าล่ะ

เช่นนั้นไม่ใช่ว่าข้าต้องเป็นแพะแทนเจ้าจ้าวเฮ่านั่นหรือ ไม่ได้ๆ อันตรายเกินไป

เมื่อคิดได้ดังนั้นแล้ว เสิ่นเทียนก็แก้จาก ‘ผู้มีวาสนาเสิ่นเทียนสร้าง’ แก้จากเสิ่นเทียนเป็นจ้าวเฮ่า

อืม แบบนี้ค่อยดูสบายตาขึ้นมาเลย

แต่ก็ไม่ใช่อีก แบบนี้ข้าจะไม่เท่ากับทำร้ายสหายจ้าวรึ

เสิ่นเทียนเท้าคางมองป้ายหิน เวลานี้ดูว้าวุ่นใจนิดๆ

……..

ทันใดนั้นพลันมีร่างคนสีเงินพุ่งมาจากบนฟ้า ข้างหลังนางมีปรากฏการณ์พยัคฆ์ขาวสายฟ้าตัวใหญ่อยู่ แผ่กลิ่นอายฉุนเฉียวออกมาทั้งตัว

“นางหญิงปีศาจ กล้าขโมยหน้ากากที่ข้าให้ศิษย์น้องไปรึ เจ้าทำอะไรเขา รีบส่งตัวศิษย์น้องข้าออกมา ไม่อย่างนั้นข้าจะไม่ยอมจบกับเจ้า!”

เสียงเพิ่งดังขึ้น สตรีผู้แข็งแกร่งคนนั้นก็ลงมาแล้ว

นางออกหมัดดั่งพยัคฆ์ลงเขา พุ่งโจมตีเสิ่นเทียน!

ทันทีที่นางออกหมัด อัสนีเทพกำเนิดฟ้าปกคลุมทั่วร่าง ทั้งตัวนางเหมือนกับพยัคฆ์ร้ายกระโจนเข้าหาอาหาร

คนผู้นี้ถ้าไม่ใช่จางอวิ๋นซีแล้วจะเป็นใครได้อีก

…………………….