บทที่ 145 ศิษย์น้องอยากขอท่านเรื่องหนึ่ง

ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง

บทที่ 145 ศิษย์น้องอยากขอท่านเรื่องหนึ่ง
เช้าวันรุ่งขึ้น สวี่ชีอันตื่นนอนด้วยความกระปรี้กระเปร่า คู่เคียงหมอนของเขาไม่อยู่แล้ว หลงเหลือเพียงกลิ่นหอมละมุนของหญิงสาวติดผ้าห่ม

เขาประคับประคองร่างกายด้วยแขนขาที่อ่อนล้าเล็กน้อย ราวกับเพิ่งเสร็จสิ้นการทดสอบวิ่งหนึ่งกิโลเมตร และเช้าวันรุ่งขึ้นก็ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ

“นอนเพลินอีกแล้ว… แต่ข้าตื่นสายอย่างให้อภัยได้ ข้ามาสืบสวนคดีที่หอนางโลม”

สวี่ชีอันนั่งขัดสมาธิฝึกลมหายใจ บรรเทาความเหนื่อยล้าในเซลล์ ทำให้ร่างกายกลับคืนสู่สภาวะฟื้นฟูเต็มที่ด้วยความเร็วสูงสุด

หลังจากถ่ายโอนลมปราณอยู่เต็มวัน กล้ามเนื้อที่ปวดล้าก็ฟื้นตัว

‘ครืด…’

ประตูห้องเปิดออก ฝูเซียงลากชายกระโปรงนำสาวใช้ส่วนตัวเข้ามา เส้นผมสีดำของนางเกล้าสูง ตกแต่งด้วยเครื่องประดับราคาแพง ใบหน้างามขาวนวลซีดเซียวเล็กน้อย

ดวงตายังคงแดงก่ำ นางร้องไห้จนขอบตาบวมเป่ง

“คุณชายสวี่ตื่นแล้ว” นางยิ้มบางๆ ด้วยรอยยิ้มที่เหินห่างและเป็นทางการ “ข้าให้ห้องครัวต้มโจ๊กเนื้อเป็ดให้ท่าน”

“วางไว้ตรงนั้นเถิด” สวี่ชีอันรับของใช้ในห้องน้ำมาจากสาวใช้ และล้างหน้าแปรงฟันอย่างรวดเร็ว เขากลับมาที่โต๊ะ ถือชาม และกินไปพลางครุ่นคิดไปพลาง

ปีศาจสาวเมื่อคืนเป็นเศษเดนจากอาณาจักรหมื่นปีศาจ แสดงว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับเผ่าพันธุ์ปีศาจทางเหนือ… ความสงสัยในตัวเจิ้นเป่ยอ๋องดูเหมือนเบาบางลงมาก… เป้าหมายของเศษเดนจากอาณาจักรหมื่นปีศาจคือสิ่งที่ถูกปิดผนึกไว้หรืออย่างอื่นกันแน่

ที่สวี่ชีอันคิดเช่นนี้ เป็นเพราะหากเป้าหมายคือสิ่งที่ถูกปิดผนึกไว้ ตอนนี้เศษเดนจากเผ่าพันธุ์ปีศาจก็ควรจะหนีไปพร้อมกับเงิน แทนที่จะอยู่สร้างความวุ่นวายในเมืองต่อ

…ยังมีอีกหนึ่งความเป็นไปได้ เป้าหมายของเผ่าพันธุ์ปีศาจไม่ใช่แค่สิ่งที่ถูกปิดผนึกไว้ แต่เป็นแผนการที่ใหญ่กว่านั้น และสิ่งที่ถูกปิดผนึกไว้ก็เป็นเพียงวิธีที่ใช้เพื่อทำให้บรรลุเป้าหมายเท่านั้น

บริบทแวดล้อมของคดีซังผอเกือบจะคลี่คลายแล้ว ผู้ชักใยอยู่เบื้องหลังคือ หนึ่ง คนทรยศภายในราชสำนัก สอง เศษเดนจากอาณาจักรหมื่นปีศาจ

ส่วนเป้าหมายยังไม่แน่ชัด

สิ่งที่ถูกปิดผนึกไว้คือมือที่ถูกตัดของผู้แข็งแกร่งนิรนาม

ปัจจัย บุคคลและอำนาจที่เกี่ยวข้อง อาณาจักรหมื่นปีศาจ ผิงหย่วนป๋อ ซ่างซู่แห่งกรมทหาร สำนักโหราจารย์ ราชวงศ์ ท่านหญิงผิงหยาง ภิกษุเหิงฮุ่ยกับกองดาบโจวชื่อสวงแห่งองครักษ์คุ้มกันส่วนพระองค์…

ช่องโหว่ ผู้แข็งแกร่งที่ถูกตัดมือ ภิกษุเหิงฮุ่ยกับท่านหญิงผิงหยาง

หากทราบแน่ชัดถึงตัวตนของผู้แข็งแกร่งที่ถูกตัดมือ ก็จะย้อนเป้าหมายที่แท้จริงของเศษเดนจากอาณาจักรหมื่นปีศาจได้… จากนั้นขอแค่จับเหิงฮุ่ยกับท่านหญิงผิงหยางคนใดคนหนึ่ง ก็จะสามารถสาวไปถึงเบื้องหลังของคดีได้… หลังจากสวี่ชีอันกินโจ๊กเสร็จ เขาก็พ่นลมหายใจอย่างพึงพอใจ

ตอนนี้ก็ได้เวลาหยอกเย้าฝูเซียง “โกรธหรือ”

ฝูเซียงยิ้มอย่างอ่อนโยน “คุณชายสวี่อย่ากลั่นแกล้งข้าน้อยเลยเจ้าค่ะ ข้าน้อยเป็นเพียงหญิงชั้นต่ำคนหนึ่ง หาได้มีสิทธิ์ที่จะโกรธคุณชายไม่”

นั่นไง สวี่หลางกลายเป็นคุณชายสวี่ซะแล้ว… สวี่ชีอันพยักหน้า และยืดเอวบิดขี้เกียจอย่างไม่ใส่ใจ “เตรียมน้ำร้อน ข้าอยากอาบน้ำ”

ฝูเซียงยิ้มและพยักหน้า จัดให้สาวใช้คนหนึ่งปรนนิบัติเขาอาบน้ำ ส่วนตัวเองก็พาสาวใช้ส่วนตัวออกไปผ่อนคลาย

สวี่ชีอันอาบน้ำร้อนอย่างสบายใจ แต่งตัวเรียบร้อย ผูกฆ้อง และสะพายดาบ เขาครุ่นคิด และถามว่า “เตรียมพู่กันกับหมึกให้ข้าที”

สาวใช้ตัวน้อยตอบรับแผ่วเบา “เจ้าค่ะ”

“นายหญิง ท่านไม่เย็นชากับคุณชายสวี่ไปหน่อยหรือเจ้าคะ” สาวใช้พูดเบาๆ ขณะที่เดินอยู่ในตรอกหอนางโลม

ฝูเซียงมองไปข้างหน้า และส่ายหน้าเบาๆ นางพูดด้วยน้ำเสียงเศร้าสร้อย “เจ้าไม่เข้าใจ ข้าเคยขอร้องให้เขาไถ่ตัวข้า แต่เขาปฏิเสธ”

สาวใช้เงียบไปครู่หนึ่ง และแก้ตัวแทนสวี่ชีอัน “บางทีเขาอาจจะไม่มีเงิน สัญญาไถ่ตัวของนายหญิง อย่างน้อยๆ ก็ต้องใช้สามถึงสี่พันตำลึงเงิน ตอนนี้เกรงว่าน่าจะเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าแล้ว”

ฝูเซียงละสายตา และมองไปที่พื้น “หลายปีมานี้ข้าก็เก็บเงินได้ไม่น้อย อันที่จริงก็ทำได้…”

นางฝืนยิ้ม สีหน้าเศร้าโศก “ในใจของเขา ข้าไม่ได้ต่างกับพวกเจ้า ก่อนหน้านี้ข้าไม่ยอมเชื่อและหลอกตัวเองมาตลอด แต่เรื่องเมื่อคืนนี้ ทำให้ข้าเห็นตัวเองอย่างชัดเจน”

มันเป็นเพียงความคิดเพ้อฝันที่ไม่มีทางสมหวัง

ขณะที่เดินไปเรื่อยๆ นางก็มาถึงด้านนอกลานชิงฉือโดยไม่รู้ตัว เสียงจ้อกแจ้กจอแจดึงดูดความสนใจของนาง

ฆ้องทองแดงที่สวมเครื่องแบบหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลสองนายคุมตัวแม่นางหมิงเยี่ยนเดินออกไป แม่เล้าตามติดอยู่ด้านหลัง สีหน้าตื่นตระหนก และอธิบายไม่หยุดปาก

“ท่านเจ้าหน้าที่ทั้งสอง นี่ต้องเป็นการเข้าใจผิดแน่ๆ ต้องเป็นการเข้าใจผิดแน่ๆ”

คณิกาหมิงเยี่ยนมีสีหน้าตื่นตระหนก “ท่านแม่ ข้าถูกใส่ร้าย ข้าถูกใส่ร้าย…”

นางรู้จักฆ้องทองแดงสองนายนี้ เป็นสองคนที่มักจะมาประชุมชาที่หออิ่งเหมยกับคุณชายสวี่ ดูเหมือนคนหนึ่งจะแซ่ซ่ง อีกคนแซ่… คนที่เงียบๆ คนนั้น นางจำไม่ได้เสียแล้ว

เกิดอะไรขึ้น เมื่อคืนหมิงเยี่ยนยังดีๆ อยู่เลย จริงสิ ทำไมจู่ๆ คุณชายสวี่ถึงกลับมาที่หออิ่งเหมยของนางเมื่อคืนนี้… หรือว่าเมื่อคืนหมิงเยี่ยนทำให้คุณชายสวี่ขุ่นเคือง วันนี้จึงถูกจัดการหรือ

นางลบล้างความคิดนี้ทันที แม้ว่าจะท้อใจกับผู้ชายคนนี้ แต่นางเชื่อว่าสวี่ชีอันไม่ใช่คนประเภทนั้น

ฝูเซียงขมวดคิ้ว นางเดินเข้าไปหาหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล และโค้งคำนับอย่างงามสง่า “ท่านทั้งสอง แม่นางหมิงเยี่ยนนางทำความผิดอะไรหรือ”

ซ่งถิงเฟิงหยุดฝีเท้า และตอบด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม “แม่นางหมิงเยี่ยนสมรู้ร่วมคิดกับเผ่าพันธุ์ปีศาจ จัดหาที่พักให้ เมื่อคืนใต้เท้าสวี่แอบเข้าไปตรวจสอบ และพบปีศาจสาวที่ปลอมตัวเป็นสาวใช้ส่วนตัวของนาง ปีศาจสาวถูกประหารแล้ว ตอนนี้จึงต้องพานางไปสอบปากคำก่อน”

แม่เล้าตีอกชกหัว “เจ้าใส่ร้าย หมิงเยี่ยนเป็นผู้หญิงอ่อนแอจะสมรู้ร่วมคิดกับเผ่าพันธุ์ปีศาจได้อย่างไร พวกเจ้ารู้หรือไม่ว่าข้าเลี้ยงนางมาต้องเสียเงินเสียแรงไปตั้งเท่าไหร่! ข้าจะไปฟ้องร้องที่กรมพิธีการ ข้าจะไปขอให้เหล่าใต้เท้าในกรมพิธีการจัดการซะ”

จูกว่างเสี้ยวเอ่ยเสียงต่ำ “ตอนนี้ข้าสงสัยว่าเจ้าก็เป็นผู้สมรู้ร่วมคิดจากเผ่าพันธุ์ปีศาจเช่นกัน”

แม่เล้าเงียบเสียงไปเสียดื้อๆ และถอยกลับด้วยความปรารถนาแรงกล้าที่จะเอาชีวิตรอด

ซ่งถิงเฟิงหรี่ตา พยักหน้าให้ฝูเซียง และพาคนออกไป

ฝูเซียงมองแผ่นหลังของพวกเขาจากไปอย่างตกตะลึง และเริ่มเชื่อมโยง… หมิงเยี่ยนสมรู้ร่วมคิดกับเผ่าพันธุ์ปีศาจหรือ เมื่อวานนี้คุณชายสวี่ลอบเข้าไปตรวจสอบหรือ

เมื่อคืนนี้เขาเลือกพักค้างคืนที่ลานชิงฉือ ไม่ใช่เพราะหลงรักคนใหม่ แต่เพราะมีหน้าที่ราชการ แต่ข้ากลับโกรธเขาอย่างไร้เหตุผล

เมื่อคืนที่เขาลากสังขารอันเหนื่อยล้ากลับมา พอข้าเห็น ข้าก็คิดว่าเขากับหมิงเยี่ยน… ข้ากล่าวหาเขาผิดๆ และเมื่อเช้านี้ยังชักสีหน้าระบายความขุ่นเคืองใจใส่เขาอีก… แต่ทำไมเขาไม่อธิบายล่ะ ใช่แล้ว เขาอธิบายไม่ได้ เพราะนี่เป็นงานราชการ และต้องเก็บรายละเอียดคดีเป็นความลับ

แต่ถึงกระนั้น ทั้งๆ ที่รู้ว่าถูกเข้าใจผิดและถูกกล่าวหาผิดๆ เขาก็ยังไม่แสดงความเหนื่อยหน่ายออกมาสักนิด และอดทนอยู่เงียบๆ…

ฝูเซียงถกกระโปรงขึ้น และวิ่งไปยังหออิ่งเหมยทันที

“ท่านหญิง จะไปไหนเจ้าคะ รอก่อนเจ้าค่ะ…” สาวใช้ตกตะลึง

นางวิ่งกลับมาที่หออิ่งเหมย และเปิดประตูเข้าไปในห้องนอน ฝูเซียงตะโกนว่า “สวี่หลาง…”

ภายในห้องว่างเปล่า เขาจากไปแล้ว ณ เวลานี้ จู่ๆ นางก็รู้สึกว่าตัวเองได้สูญเสียสิ่งล้ำค่าไป ภายในใจกลวงโหวง

“ท่านหญิง ท่านหญิง…” สาวใช้ตามมาติดๆ เห็นแม่นางของตัวเองพิงประตูอย่างคนจิตใจล่องลอยไปจากกาย

“ข้าเหนื่อยแล้ว ประคองข้าที” ฝูเซียงพูดเสียงแผ่ว

สาวใช้ประคองนางไปที่เตียง เหลือบมองนาง และแอบทอดถอนใจ ไม่กล้ารบกวน จึงหันไปทำความสะอาดห้องแทน

นางเห็นบนโต๊ะข้างๆ ฉากกั้นมีพู่กัน หมึก กระดาษและหินหมึกวางอยู่ จึงร้อง “เอ๊ะ” เบาๆ และเดินไปที่โต๊ะ

“ท่านหญิง มีกลอนเขียนไว้ตรงนี้… บางทีอาจจะเป็นกลอนที่คุณชายสวี่ทิ้งไว้ก็ได้เจ้าค่ะ”

ฝูเซียงสดใสขึ้นมาทันที และวิ่งไปที่โต๊ะด้วยเท้าเปล่า นางแย่งกระดาษมาจากมือของสาวใช้ราวกับแย่งของมีค่า และจ้องมอง

“โฉมงามม้วนม่านมุก

คิ้วเรียวผูกขมวดปม

เห็นแต่น้ำตาซึม

มิรู้ใจชังผู้ใด”

“สวี่หลาง สวี่หลาง…” นางยิ้ม และแล้วน้ำตาก็ไหลหลั่งรินหยดลงสู่พื้น นางกอดกระดาษไว้แนบอก และยิ้มพลางร่ำไห้จนใบหน้างามเปื้อนน้ำตา

“ข้าต้องไปหาเขา” ฝูเซียงปาดน้ำตา ลุกขึ้นและวิ่งเหยาะๆ ไปที่ประตู

สาวใช้ตกใจจนหน้าถอดสี และกอดเอวนุ่มๆ ของแม่นางไว้ “อย่าๆๆ ท่านเป็นคณิกา เป็นถึงคณิกาที่โด่งดังที่สุดของหอนางโลม หากเรื่องนี้แพร่งพรายออกไป ว่าท่านหญิงประพฤติตนเช่นไร ชื่อเสียงที่สะสมมาอย่างยากลำบากก็จะหายไปในพริบตานะเจ้าคะ”

“แล้วข้าก็ไม่เคยได้ยินว่ามีคณิกาคนไหนที่ทำกิริยาไม่สมตำแหน่งเช่นท่านเลย”

ฝูเซียงโกรธจัด “ปล่อยข้า”

“ไม่ปล่อยเจ้าค่ะ!”

สวี่ชีอันซื้อซาลาเปาข้างถนนลูกใหญ่หกลูกนั่งกัดอยู่บนหลังม้า และเดินทางไปยังที่ทำการอย่างสบายใจเฉิบ

“คณิกาที่หอนางโลมไม่เลวเลย… แต่ละคนก็มีข้อดีในตัว และงดงามเกินกว่าจะจินตนาการได้ อืม เมื่อคดีซังผอจบลง ข้าจะสานสัมพันธ์กับพวกนางทีละคน และเขียนหนังสือ ‘คู่มือการประเมินหญิงคณิกาแห่งต้าฟ่ง’ ”

“ปัญหาเดียวก็คือเงินนี่แหละ ข้าเก็บเงินได้เพียงแค่สามอีแปะต่อวัน แต่ค่าตัวของคณิกา หนึ่งคืนอย่างน้อยก็สามสิบตำลึง”

“ขอบคุณการศึกษาภาคบังคับเก้าปี บทกวีที่อ่านมาไม่ได้เสียเปล่า… อา ข้านี่มันตราบาปของผู้กลับชาติมาเกิดจริงๆ คนอื่นเขาลอกผลงานเพื่อหน้าที่การงานกันทั้งนั้น มีแต่ข้าที่เอามาทำเรื่องไร้สาระ…”

“จะว่าไปข้าก็อายุยี่สิบปีแล้วนี่นา โชคดีที่อาสะใภ้ไม่ใช่แม่ของข้า ก็เลยเร่งรัดเรื่องการแต่งงานไม่ได้ ข้าจึงตัดสินใจเองได้ ไฉ่เวยเป็นลูกศิษย์ของท่านโหราจารย์ เบื้องหลังโหดเกินไป แต่งงานกับนางก็เหมือนแต่งงานกับครึ่งเจ้าหญิง ออกไปเที่ยวเล่นตามใจชอบคงไม่ได้…”

“ไม่ต้องรีบร้อนแต่งงานไปหรอกน่า อีกไม่กี่ปี หอนางโลมก็จะมีคณิกาตั้งยี่สิบสี่คน ฮ่าๆ อย่าฝันอะไรลมๆ แล้งๆ เลย ลูกศิษย์ของท่านโหราจารย์ไม่มีทางชายตามองข้าหรอก”

คนไร้ค่าสวี่นึกหัวเราะเยาะตัวเองในใจ ความคิดล่องลอยเป็นตุเป็นตะ และแล้วก็มาถึงโต๊ะของตัวเองสักที

เขาเป็นคนเป่าหูให้ซ่งถิงเฟิงจับหมิงเยี่ยน แม้เมื่อคืนนี้จะยืนยันแล้วว่านางบริสุทธิ์ แต่ก็ยังคงมีเรื่องที่ต้องสอบปากคำ ตัวอย่างเช่นสาวใช้คนนั้นเข้ามาในหอนางโลมเมื่อไหร่ ปกติเกี่ยวข้องหรือใกล้ชิดกับใครและอื่นๆ

ภายในลานเล็กอันเงียบสงบ กิ่งก้านของต้นหลิวคล้อยลงมา ดูว่างเปล่ารกร้าง

ภายในห้องมีเสียงปังๆๆๆ ดังขึ้น พร้อมกับเสียงคำรามต่ำอันแสนเจ็บปวดของชายผู้หนึ่ง… สักครู่หนึ่ง ทุกอย่างก็เงียบสงบลง

‘ครืด…’

ประตูเปิดออก เหิงฮุ่ยในชุดคลุมสีดำเดินออกมาเงียบๆ และตรงมาที่บ่อน้ำในลาน

เขาจ้องไปที่ปากบ่อน้ำลึกสองสามวินาที และโบกมือ ปากบ่อน้ำเปล่งสัญลักษณ์ “卍” สีทองขึ้นจางๆ จากนั้นก็แตกเป็นเสี่ยงๆ

หลังจากปลดผนึก เหิงฮุ่ยก็กระโดดลงไป

ก้นบ่อมืดสลัว โคลนส่งกลิ่นเหม็นของน้ำออกมาจางๆ ภิกษุวัยกลางคนพิงนั่งขัดสมาธิกำแพงบ่อน้ำ

เขามีสีหน้าหดหู่ ริมฝีปากแตก ดูเหมือนจะได้รับบาดเจ็บสาหัส

ภิกษุวัยกลางคนร่างกายกำยำ กรามล่างปรากฏสีเขียวช้ำอ่อน ๆ หน้าตาขมขื่นแฝงความแค้นล้ำลึก

หากสวี่ชีอันอยู่ที่นี่ เขาคงจำภิกษุร่างกำยำได้ทันทีว่าเป็นเหิงหย่วนที่เขาดิ้นรนค้นหามาโดยตลอด

“ศิษย์พี่…” เหิงฮุ่ยพูดด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง

เหิงหย่วนไม่สนใจเขา และนั่งขัดสมาธิเงียบๆ

“ข้าได้รับบาดเจ็บสาหัส ถูกลอบกัดและโดนตัดมือ” เหิงฮุ่ยกล่าว

เหิงหย่วนลืมตา และพูดอย่างเป็นห่วงเป็นใย “เหิงฮุ่ย หันหลังกลับเถอะ”

เหิงฮุ่ยส่ายหน้า “ศิษย์พี่ ข้าเข้าวัดมังกรเขียวไปตามท่านตอนหกขวบ ท่านสอนข้านั่งสมาธิ สอนข้าท่องพระคัมภีร์ ดูแลเรื่องการอยู่การกินให้กับข้า ดูแลข้าดั่งพี่ดั่งพ่อ ตอนนี้ศิษย์น้องอยากขออะไรท่านสักอย่าง”

เหิงหย่วนถอนหายใจ และพยักหน้า

เหิงฮุ่ยเงยหน้าขึ้น เผยนัยน์ตาสีดำที่ไร้ตาขาวใต้ผ้าคลุม แสยะยิ้มอย่างชั่วร้าย “ข้าอยากกินศิษย์พี่”

…………………………………………………………