แม้การกระทำดูแล้วอบอุ่นคลุมเครือ แต่ชัดเจนยิ่งนักว่าคนทั้งสองไม่ได้มีความคิดฝักใฝ่ไปทางด้านนั้นเลย ด้วยแขนของหลินชิงเวยมีเลือดสดๆ ไหลออกมาดังติ๋งๆ ผู้ใดเลยจะมีกะจิตกะใจคิดไปถึงเรื่องอย่างอื่น

ก่อนหน้านี้ยังไม่รู้สึก ยามนี้หน้าผากของหลินชิงเวยผุดเหงื่อเย็นขึ้นชั้นหนึ่ง สีหน้าค่อนข้างซีดขาว หลินชิงเวยพูดกับเซียวเยี่ยนว่า “ผ้าโปร่งชั้นแรก ยังมียาจินชวงห้ามเลือด นำผ้าโปร่งออกมาชุบน้ำในลำธารมาล้างบาดแผลให้ข้าก่อน”

เซียวเยี่ยนทำตามที่นางบอก โดยที่หลินชิงเวยไม่ต้องชี้แนะ เขาก็ทำได้อย่างถูกต้องเหมาะสม

หลังจากใส่ยา เขาพันแผลให้หลินชิงเวย เขาใช้น้ำยาเช็ดบาดแผลถลอกบริเวณแผ่นหลังและหัวไหล่เบาๆ รอบหนึ่ง หลินชิงเวยเองมองไม่เห็นนางเพียงแต่รับรู้ว่าเซียวเยี่ยนเบาไม้เบามืออย่างยิ่ง เมื่อน้ำยาสัมผัสกับผิวหนัง ส่งผลให้รู้สึกเย็นสบาย นางถามขึ้นว่า “ต่อไปจะทิ้งรอยแผลเป็นไว้หรือไม่?”

เซียวเยี่ยน “ไม่รู้ แต่เจ้ารังเกียจหรือ”

หลินชิงเวยย้อนถาม “ท่านรังเกียจหรือไม่?”

มือของเซียวเยี่ยนหยุดชะงักเล็กน้อย ทว่าไม่เอ่ยอันใดอีก

หลินชิงเวยกระจ่างแจ้งดีว่าเรื่องบางเรื่องไม่อาจรีบร้อนเกินไป และไม่อาจฝืนใจ นางคิดว่านางรอได้ ข้าวต้องกินทีละคำๆ

นางหันไปมองหน้าเซียวเยี่ยน ใบหน้าคมสันนั้นไม่บ่งบอกอารมณ์ใดๆ หลินชิงเวยไม่ควรหวนรำลึกถึงจุมพิตในป่าเมื่อสักครู่นี้ แต่นางมิอาจหักห้ามความคิดของตนได้ เวลานั้นเขามีสีหน้าอย่างไรกันนะ?

ต่อมาเมื่อทำแผลเสร็จ เซียวเยี่ยนให้หลินชิงเวยนั่งพัก ส่วนตนเองหยิบอาหารนกไปเลี้ยงนกพิราบ หลินชิงเวยนั่งอยู่บนพื้นรวบรวมเทียนไขทั้งหมดที่อยู่บนพื้นเรียงเป็นตัวอักษร S อีกประเดี๋ยวเรียงเป็นตัวอักษร B …

เซียวเยี่ยนให้อาหารพิราบเรียบร้อยแล้วจึงถามขึ้นว่า “วันนี้เจ้าให้เปิ่นหวางมาที่นี่ ต้องการทำอะไร?”

หลินชิงเวย “อ้อ ถูกต้อง ยังมีเรื่องสำคัญที่ยังไม่ได้ทำ” นางพูดแล้วก็รื้อค้นล่วมยาของตน อีกทางหนึ่งพูดกับเซียวเยี่ยน “ท่านไปเลือกนกพิราบที่ท่านคิดว่าเข้าตาที่สุดมาสองตัว จำทิศทางได้ดีที่สุด ความจำดีที่สุด สองตัวที่ปีกใหญ่ที่สุด”

เซียวเยี่ยนไม่ถามอะไรให้มากความเช่นกัน เขาตรงไปเลือกนกพิราบกลางสนามหญ้าครู่หนึ่ง เขาคัดเลือกนกพิราบที่โดดเด่นที่สุดสองตัวตามเงื่อนไขของหลินชิงเวย นกพิราบในมือของเขามีท่าทีเชื่อฟังอย่างยิ่งยวด ไม่แม้แต่จะดิ้นรนต่อสู้สักนิด เขาวางนกพิราบสองตัวลงเบื้องหน้าหลินชิงเวย

หลินชิงเวยหยิบขวดกระเบื้องบรรจุเลือดออกมาขวดหนึ่ง ข้างในมีของเหลวสีดำจางๆ อยู่ มีแมงมุมขนาดใหญ่กว่าเห็บเล็กน้อยแช่อยู่ในน้ำยานั้น

เซียวเยี่ยนขมวดคิ้วถามว่า “นี่คืออะไร?”

หลินชิงเวย “นี่เป็นเลือดพิษที่ดึงออกมาจากร่างกายของเซี่ยนอ๋องครั้งที่แล้ว ข้านำมาเพาะเอาไว้พักหนึ่ง จึงเลี้ยงแม่หนอนกู่ออกมาได้สองตัว”

เซียวเยี่ยนเลิกคิ้ว “แม่หนอนกู่? เปิ่นหวางจดจำได้ว่าลูกหนอนกู่และแม่หนอนกู่อยู่เป็นคู่ หากแยกจากกันแล้วต่างฝ่ายไม่อาจมีชีวิตรอดต่อไปได้”

“นั่นคือในสถานการณ์โดยทั่วไป ถ้าหากแม่หนอนกู่กลืนกินลูกหนอนกู่ นั่นก็ต้องเป็นอีกเรื่องหนึ่ง ยื่นปลายนิ้วออกมา” นางทางหนึ่งพูด อีกทางหนึ่งหยิบใบมีดบางๆ คมกริบออกมา เซียวเยี่ยนยื่นนิ้วมือออกมา นางกรีดใบมีดลงบนปลายนิ้วของเขาเบาๆ ครั้งหนึ่ง เลือดหยดหนึ่งหยดลงในขวดกระเบื้อง หลินชิงเวยกรีดเลือดของตนออกมาหยดหนึ่งใส่ลงไปผสมผสานในขวดกระเบื้องเช่นกัน

แมงมุมทั้งสองตัวดูดเลือดของนางและเซียวเยี่ยน รอจนพวกมันกินเลือดจนอิ่ม หลินชิงเวยจึงใช้ใบมีดยื่นเข้าไป แมงมุมตัวเล็กๆ ตัวหนึ่งคลานขึ้นมาบนใบมีดจึงถูกหลินชิงเวยยื่นไปถึงข้างๆ ขาของนกพิราบ

เซียวเยี่ยนแหวกขนนกบริเวณข้างเท้าของนกพิราบออก เขาเห็นหลินชิงเวยใช้ใบมีดนั้นกรีดลงบนข้างเท้าของนกพิราบให้เกิดบาดแผลอย่างรวดเร็ว นกพิราบยังไม่ทันได้รู้สึกเจ็บปวดตัวอ่อนของแมงมุมก็ถูกหลินชิงเวยส่งเข้าไปในผิวเนื้อของมันแล้ว นกพิราบรู้สึกเจ็บปวดในเวลาต่อมาจึงดิ้นรนเบาๆ หลินชิงเวยใช้ผ้าพันแผลให้มัน

นกพิราบอีกตัวหนึ่งก็เช่นเดียวกัน

นกพิราบทั้งสองตัวยืนโยกไปเยกมาอยู่บนพื้น ตรองดูแล้วพวกมันน่าจะไม่สบายตัวนัก มันกระพือปีกของตน หลินชิงเวยจึงนำพวกมันมายืนบนกระโปรงของตนเองแล้วเอามือลูบขนของพวกมันเพื่อปลอบโยน

เซียวเยี่ยนอยู่ข้างๆ โดยไม่ส่งเสียง

หลินชิงเวยเอ่ยขึ้นว่า “หวังว่าพวกมันจะมีชีวิตรอด” นางให้เซียวเยี่ยนไปหยิบอาหารนกมากำหนึ่ง แล้วให้นกพิราบสองตัวนั้นกินอาหารนกในฝ่ามือเพื่อให้พวกมันลืมเลือนความเจ็บปวดชั่วขณะ

เมื่อเซียวเยี่ยนส่งหลินชิงเวยกลับไปถึงตำหนักฉางเหยี่ยนเป็นเวลาดึกมาแล้ว ซ้ำนางยังได้รับบาดเจ็บ ต่อจากนั้นอีกหลายวันนางจึงได้แต่พักฟื้นอยู่ในตำหนักฉางเหยี่ยน ทว่าสามวันให้หลังมีนกพิราบส่งเสียงร้องดังกรู๊ๆๆ เรียกหลินชิงเวยให้ตื่นแต่เช้าตรู่ นางเดินมาเปิดหน้าต่างออกดู พบว่ามีนกพิราบสีขาวประดุจหิมะตัวหนึ่งเกาะอยู่บนขอบหน้าต่าง

นกพิราบใช้ปากของมันจิกลงบนขอบหน้าต่าง หลินชิงเวยตะลึงงันอยู่อึดใจหนึ่งจึงยื่นมือไปลูบมันแล้วพูดยิ้มๆ ว่า “ยินดีกับเจ้าด้วยที่ได้ชีวิตใหม่”

ขณะเดียวกันขอบหน้าต่างในห้องทรงพระอักษรก็มีเสียงจิกดังกุกๆ เซียวเยี่ยนเดินไปดู เขาเห็นนกพิราบที่หลินชิงเวยฝังหนอนกู่ลงไปเมื่อหลายวันก่อน บนขาของมันยังมีบาดแผลให้เห็นจางๆ เซียวเยี่ยนยื่นมือไปลูบมันด้วยสายตาอันอ่อนโยน

หลังจากประสบกับเรื่องในสวนไป่โซ่ววันนั้น หลินชิงเวยมีชีวิตรอดกลับไป ส่งผลให้ไทเฮาของตำหนักคุนเหอตกตะลึงอย่างที่สุด นางถามว่า “คนต่ำช้าผู้นั้นกลับไปได้อย่างไร? เปิ่นกงไม่เชื่อว่าสัตว์ใหญ่ดุร้ายนั่นไม่ได้กินนาง!”

หมัวมัวตอบรับด้วยน้ำเสียงสุขุม “บ่าวที่ส่งตัวไปสวนไป่โซ่วในวันนั้นมิได้กลับมาเพคะ แต่ได้ยินว่า…เป็นเซ่อเจิ้งอ๋องที่ส่งนางกลับไป ตรองดูแล้วน่าจะเป็นเพราะเซ่อเจิ้งอ๋องปรากฏตัวได้อย่างทันเวลาจึงช่วยชีวิตของคนต่ำช้าผู้นั้นเอาไว้เพคะ”

“เซ่อเจิ้งอ๋อง…เป็นเซ่อเจิ้งอ๋องอีกแล้ว!” ฝ่ามือของไทเฮาตบลงบนโต๊ะเต็มแรง อุ้งมือของนางแดงก่ำในชั่วขณะ ทว่าความโกรธเกรี้ยวของนางมีมากกว่าความเจ็บปวดของร่างกาย “เหตุใดนางจึงรอดไปได้ครั้งแล้วครั้งเล่า ล้วนเป็นเพราะมีเขาคอยช่วยเหลือ!”

ยามนี้ขันทีอีกคนหนึ่งเดินเข้ามาจากด้านนอกอย่างเร่งรีบ เขารายงานพร้อมกับค้อมกายคำนับ “ทูลไทเฮาเหนียงเหนียง เซ่อเจิ้งอ๋องส่งกล่องมาใบหนึ่งพ่ะย่ะค่ะ ตรัสว่าเป็นของขวัญที่มอบให้กับไทเฮาพ่ะย่ะค่ะ”

ไทเฮาตะลึงงัน สีหน้าพลันผ่อนคลาย ชัดเจนยิ่งนักว่าของขวัญที่เซ่อเจิ้งอ๋องส่งมาทำให้นางรู้สึกรอคอยอยู่บ้าง แต่อย่าได้คิดว่าส่งสิ่งของมาเล็กน้อยแล้วจะทำให้นางระงับโทสะได้

เพียงครู่เดียวขันทีสองคนก็ยกกล่องค่อนข้างใหญ่ใบหนึ่งเข้ามา หัวหน้าขันทีของไทเฮาติดตามอยู่ด้านข้าง หัวหน้าขันทีก้มหน้าด้วยสีหน้ากระอักกระอ่วน

หลังจากกล่องใบนั้นถูกวางลงบนพื้น ขันทีจึงถอยออกไป ไทเฮารับสั่งให้หัวหน้าขันทีเปิดฝากล่องออก หัวหน้าขันทีตอบรับคำสั่งแล้วเดินไปหยุดเบื้องหน้ากล่องใบนั้น เปิดกุญแจที่ไม่ได้คล้องเขาไว้พร้อมกับเปิดฝากล่องออก

กลิ่นคาวเลือดอันน่าสะอิดสะเอียนให้คนอาเจียนพวยพุ่งออกมาชั่วพริบตา ไทเฮาแทบจะถูกกลิ่นนั้นทำให้อาเจียนแห้งๆ ออกมา

หมัวหมัวเอ่ยขึ้นอย่างตื่นตระหนัก “เหนียงเหนียง!”

ไทเฮากดข่มดวงตาแดงก่ำมองลงไปในกล่องใบนั้น สีหน้าเผือดขาว เห็นหนังเสือดาวแผ่นหนึ่งม้วนอยู่ในกล่อง หนังเสือนี้เพิ่งจะถูกแล่ออกมาไม่นาน อีกทั้งยังไม่ได้ล้างให้สะอาด คราบเลือดสดๆ ยังซึมอยู่ น่าสะพรึงกลัวยิ่ง

ไทเฮาจ้องหัวหน้าขันทีและถามด้วยเสียงแหลมสูงว่า “เซ่อเจิ้งอ๋องหมายความว่าอย่างไร!”

หัวหน้าขันทีกลืนน้ำลายอึกหนึ่ง แล้วพูดอึกอักว่า “เมื่อเซ่อเจิ้งอ๋องทรงมีบัญชาให้คนนำสิ่งของส่งมานั้น…ยังมีคำพูดอีกหนึ่งประโยคพ่ะย่ะค่ะ”

“เขาพูดอะไร?”

“เหนียงเหนียง…หากเหนียงเหนียงยังกระทำการบุ่มบ่ามวู่วาม…ก็ ก็…คนเป็นเช่นหนังเสือนี้พ่ะย่ะค่ะ”