บทที่ 194 ร้องหาความยุติธรรม (4)

ราชาซากศพ

บทที่ 194
ร้องหาความยุติธรรม (4)
ในขณะนี้ หลินกวนซานก็มึนงงไร้สติ หลังจากนั้นไม่นานเขามีอาการดีขึ้นเล็กน้อย เขาค่อย ๆ เดินไปหาหลินคังซ่ง และมองไปที่หลินคังซ่งอย่างโง่เขลา ด้วยความเจ็บปวดเขาพูดว่า: ” ไอ้แก่..เจ้าคนชั้นต่ำ”

“ฮ่าฮ่าฮ่า ฝูงชนระเบิดเสียงหัวเราะ
“ผลั่ก!”
“ไสหัวไป” แม้ว่าเขาจะรู้ว่าหลินกวนซานนั้นพลั้งปากพูดออกมา หลินคังซ่งยังคงมีใบหน้ามืดมน เขาลากหลินกวนซานออกไปและตบไปยังใบหน้าอีกข้างหนึ่ง

หลินกวนซานถูกตบหน้าอีกครั้ง ครั้งนี้หลินกวนซานถูกทุบตีจริง ๆ เขาลืมตัว และร้องด้วยความเจ็บปวด หลังจากที่เขาลุกขึ้นจากพื้น เขามองไปที่หลินคังซ่งด้วยน้ำตาคลอเบ้า แต่เขาไม่กล้าที่จะพูดอะไรออกไปแม้แต่คำเดียว
สำหรับโศกนาฏกรรมของหลินกวนซานย่อมไม่มีใครเห็นใจเขา เขากล้าด่าผู้อาวุโสว่าเป็นคนชั้นต่ำ สมองของเขาอาจจะได้รับความกระทบกระเทือน

อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้มันยังไม่จบ เมื่อผู้คนคิดว่าเรื่องนี้จบลงแล้วและกำลังจะพูดเรื่องอื่นอีกครั้ง

ทันใดนั้นหลินเว่ยก็พูดว่า “ท่านอาจารย์ ผู้นำเหลย ศิษย์มีเรื่องที่ต้องรายงานเกี่ยวกับเรื่องนี้ มันกับความปลอดภัยของท่านและภรรยาของท่าน”

“ความปลอดภัยของผู้แข็งแกร่งระดับอรหันต์”
“ใช่…พวกเขาเป็นอรหันต์ และเป็นอรหันต์ที่แข็งแกร่งทั้งสามคน มีอะไรอีกที่สามารถคุกคามความปลอดภัยของพวกเขาในโลกนี้ได้

เมื่อได้ยินหลินเว่ยพูดขึ้นมา ทุกคนก็ตกใจและมองไปที่ดวงตาของหลินเว่ยด้วยสีหน้าที่สงสัย

“โอ้….สถานการณ์เป็นอย่างไรหลินเว่ยบอกข้ามา” เหลยเป่าไม่ได้สนใจคำพูดของหลินเว่ย เขาถามง่าย ๆ เหตุผลที่เขาถามก็แค่อยากรู้อยากเห็นเล็กน้อย เขาไม่เชื่อว่าจะมีอะไรคุกคามพวกเขาทั้งสามคนได้

หลินเว่ยมองเห็นแววตาที่สงสัยอยู่รอบตัวเขา แต่เขาไม่ได้สนใจมัน แต่เขามองไปที่เหลยเป่าอย่างจริงจัง และพูดด้วยน้ำเสียงที่เรียบเฉย: “ตอนที่องค์ชายสี่ หลินกวนซานอยู่ในดินแดนลับเฉียนซี เขาขู่ว่าจะเขาเป็นตัวแทนของราชวงศ์

และจะสังหารบรรพบุรุษรวมทั้งอาจารย์และภรรยาของอาจารย์ ข้าสงสัยว่าเขาเป็นตัวแทนของราชวงศ์เฟิงหยู พร้อมที่จะจับมือกับคนในราชวงศ์เพื่อสังหารพวกท่านหรือไม่?”

“อะไรนะ?”
หลังจากได้ยินคำบรรยายของหลินเว่ย เหลยเป่าและ ซางกวนฮ่าวหยางทั้งคู่ก็ลืมตาขึ้นในทันที หลังจากที่พวกเขามองกันและกัน พวกเขาก็หันไปมองหลินคังซ่งและหลินกวนซานทันที

“โอ้~”
“บ้าไปแล้ว~”
“ ……”
“ราชวงศ์จะโจมตีสถานศึกษาเทียนหยู?”
“นี่มันเป็นไปไม่ได้? สถานศึกษาเทียนหยูเป็นเสาหลักของอาณาจักรราชวงศ์เฟิงหยูู ราชวงศ์ต้องการทำลายแขนขาของตนเองหรือ?

“มีคำกล่าวกันว่า หลงม่อและหลงซีเฉินแห่งสถานศึกษาเทียนหยูเป็นปรมาจารย์คนแรกของอาณาจักรราชวงศ์เฟิงหยูู แล้วราชวงศ์จะทำเช่นนั้นได้อย่างไร?

“ฮึ่ม! เป็นเรื่องยากที่จะบอกว่าสถานศึกษาเองก็เป็นหนึ่งเดียวกับราชวงศ์ ข้าไม่รู้ว่ามีผู้เชี่ยวชาญเป็นอย่างไรบ้าง? ”

เสียงกระซิบกระซาบดังกระหึ่ม และเสียงของการตั้งคำถามก็ไม่มีที่สิ้นสุด พวกเขาพูดกันราวกับเชื่อคำพูดของ หลินเว่ยไปแล้ว

“หลินคังซ่ง! ข้าไม่คาดคิดมาก่อน! ราชวงศ์ของเจ้าคิดจะสังหารพวกเรา” เหลยเป่าไม่ได้ถามหลินเว่ยเกี่ยวกับเรื่องจริง แต่กลับถามหลินคังซ่งโดยตรง

“ผายลม แม้ว่าเราจะอยู่ในกองกำลังที่แตกต่างกัน แต่อาณาจักรเฟิงหยู แม้ว่าจะปกครองโดยตระกูลหลินของเรา ไม่ว่าเราจะโง่เพียงใด เราก็ไม่สามารถทำสิ่งนั้นได้” เมื่อเผชิญกับ เหลยเป่า หน้าผากของหลินคังซ่งเต็มไปด้วยเหงื่อสีขาว

เขารีบเปิดปากของเขาเพื่อยับยั้ง จากนั้นเขาก็มองไปที่หลินเว่ยด้วยความโกรธและตะโกนว่า “ไอ้ลูกหมา เจ้าอยากตายวันนี้หรือ ข้าจะสังหารเจ้าในวันนี้”

หลินคังซ่งโกรธมากในขณะนี้แต่เขาอดกลั้น ถ้าเขาเผชิญหน้ากับหลินเว่ยเพียงลำพัง เขาคงจะสังหารหลินเว่ยไปแล้ว แต่ในขณะนี้มีเหลยเป่ากับซางกวนฮ่าวหยาง ถ้าเขาทำอะไรปจะทำให้เกิดความเข้าใจผิด

นอกจากนี้ยังมีผู้คนจากกองกำลังสำคัญทั้งหมดอยู่รอบตัวเขา
“ฮึบ!” เมื่อต้องเผชิญกับการคุกคามของหลินคังซ่ง หลินเว่ยก็แค่นเสียงกร้าวโดยไม่มีร่องรอยของความกลัวบนใบหน้าของเขา จากนั้นเขาก็พูดต่อไปว่า “อาจารย์และทุกคนย่อมเห็น ชายชราคนนี้อาฆาตมาดร้ายต่อข้า ถือว่าพวกเขากำลังเริ่มคุกคามต่อข้าตามที่พูดแล้ว”

“ชายชราหรือ?”
เมื่อได้ยินว่าหลินเว่ยเรียกหลินคังซ่งว่าชายชรา หลายคนรู้สึกชื่นชมหลินเว่ยในทันที ถ้าเป็นคนธรรมดาก็ไม่มีใครกล้าจะเรียกเขาว่าแบบนั้น ต้องระมัดระวังคำพูดเมื่ออ้าปากต่อหน้าหลินคังซ่ง

“ไอ้ตัวแสบ!” ใบหน้าของหลินคังซ่งเปลี่ยนจากสีแดงเป็นสีดำ และจากสีดำกลายเป็นสีเขียว ดูโกรธจัดอย่างเห็นได้ชัด แต่เพราะเขาไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ เขากำลังจะขาดใจตายเพราะโทสะ

“ข้าเกรงใจมากแล้วที่เรียกว่าชายชรา ท่านไม่มีความแข็งแกร่งเพียงพอ ที่จะสังหารอาจารย์และอาจารย์หญิงของข้า หลินเว่ยไม่ยอมแพ้ แม้ว่าข้าจะตายลงวันนี้ ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า หลินกวนซานพูดเช่นนี้ มีคนเกือบ 200 คนจากกองกำลังที่แตกต่างกัน พวกเขาทั้งหมดได้ยินชัดเจน ท่านสามารถถาม เขาได้ ”

หลังจากหลินเว่ยพูดจบ เขาก็ชี้ไปที่ตระกูลเฉิน ซึ่งเป็นศิษย์ที่ถูกเขาปล้นชิง

“เรื่องจริงงั้นหรือ?”
ทันทีที่เสียงของหลินเว่ยเบาลง ใบหน้าของเฉินหยูก็เปลี่ยนไปทันที เขารีบหันกลับไปถามศิษย์ที่อยู่ข้างหลังพวกเขา

“บอกท่านปู่ตามตรง หลินกวนซานบอกว่าเขาต้องการฆ่าอาจารย์ของหลินเว่ยและอาจารย์หญิงของเขา” ศิษย์ของตระกูลเฉินกล่าวด้วยความเคารพ

“ใช่…..อาวุโส ข้าก็ได้ยินมาเหมือนกัน”
“ข้าก็ได้ยินมาเหมือนกัน”
หลังจากที่ศิษย์ตระกูลเฉินพูดจบก็มีเสียงร้องรอบตัวเขา คนมากกว่า 100 คนพยักหน้าทีละคน แม้ว่าพวกเขาทุกคนจะเกลียดหลินเว่ย แต่พวกเขาก็ไม่กล้าพูดคำโกหก ในเวลานี้เพราะมีคนจำนวนมากที่ได้ยินเรื่องนี้

พวกเขากังวลว่า หากเพียงแต่โกหก จะมีจุดจบจะที่น่าสังเวช ดังนั้นในขณะนี้คนเหล่านี้ไม่มีใครกล้าปฏิเสธ

“นี่นี่!” หลินคังซ่งในตอนนี้หน้าซีด ไร้สีเลือด ดวงตาจ้องไปที่ซางกวนฮ่าวหยางและเหลยเป่าด้วยความตกใจ เขาพูดอะไรไม่ออก

“เดรัจฉาน!” หลินคังซ่งเห็นเหลยเป่าและ ซางกวนฮ่าวหยาง ดวงตาที่น่าสงสารของเขาอดไม่ได้ที่จะร้องโหยหวน เขาหันไปหาหลินกวนซาน ในสายตาของเขาไม่เพียงแต่โกรธเท่านั้น แต่ยังมีความรู้สึกถึงเจตนาสังหารอีกด้วย

เขาไม่เคยกระตือรือร้นที่จะสังหารคนถึงเพียงนี้ ทั้งมันยังเป็นหลานของเขาอีกด้วย

“หลินคังซ่ง, หลินเสวี่ยเฟิง, วันนี้เจ้าทั้งสองคน, ถ้าไม่ให้คำชี้แจงกับเรา, ข้าคิดว่าข้าเหลยเป่า ไม่รังเกียจที่จะจัดการราชวงศ์และสถานศึกษาให้ราบเป็นหน้ากลอง” เหลยเป่าในขณะนี้ลมปราณของร่างกายทั้งหมดบีบคั้นร่างกายของหลินคังซ่ง ในน้ำเสียงของการคุกคามมีความหมายโดยนัยชัดเจนมาก

เมื่อเห็นว่ามีความขัดแย้งระหว่างทั้งสองฝ่าย ผู้คนจากทุกกองกำลังที่อยู่รอบตัวพวกเขา ล้วนแยกย้ายหายไปอย่างรวดเร็ว เพื่อหลีกเลี่ยงการมีส่วนร่วมในความขัดแย้งของกองกำลังทั้งสาม

แม้แต่ตระกูลเฉิน ผู้คนในสถานศึกษาตระกูลขุนนางหลานหลิง และหอการค้าหยูหลง ก็ออกห่างและมองดูอย่างระมัดระวัง

พวกเขาเพิ่งเคยพูดคุยเกี่ยวกับหลินเว่ยมาก่อนและสถานศึกษาเทียนหยู ตอนนี้จะเห็นว่าสถานศึกษาเทียนหยูนั้น อยู่ฝ่ายตรงข้ามกับราชวงศ์และสถานศึกษาราชวงศ์เฟิงหยูู ดังนั้นพวกเขาจะไม่เข้าร่วมวงการขัดแย้ง

หลินคังซ่งรู้สึกว่าตนเองถูกกดดันจากเหลยเป่า ใบหน้าของหลินคังซ่งก็ขาวซีดอีกครั้ง แม้ว่าระดับพลังของเหลยเป่าจะมาถึงช่วงกลางของอรหันต์ แต่เขาก็เป็นอรหันต์ ระดับหก แต่หลินคังซ่งเป็นเพียงอรหันต์ ระดับสี่ และมันแตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับเขา

อย่างไรก็ตาม หลินคังซ่งแม้ว่าเขาจะถูกจ้องมองโดย ซางกวนฮ่าวหยาง แต่ระดับกรฝึกฝนของซางกวนฮ่าวหยางก็เป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น และระดับของเขานั้นเท่ากันกับหลินคังซ่ง มาถึงช่วงกลางของอรหันต์

อย่างไรก็ตาม หลินคังซ่งไม่กล้าขยับตัว อย่างไรก็ตาม ภรรยาของซางกวนฮ่าวหยาง ซึ่งได้รับการขนานนามว่าเป็นอรหันต์คนแรกของอาณาจักรเฟิงหยูในปัจจุบัน

“นี่…พี่เหลย นี่เป็นเรื่องเข้าใจผิด ราชวงศ์ของข้าไม่ได้มีความคิดเช่นนั้น ข้าสาบานต่อสวรรค์ได้” หลินคังซ่งอยากจะร้องไห้ในขณะนี้ หลังจากสบถไม่กี่ครั้ง การแสดงออกของทั้งสองคนก็ยังไม่เปลี่ยนแปลง

เขารีบเอื้อมมือไปชี้หลินกวนซาน: “มันต้องเป็นเดรัจฉานตัวน้อย! เขาอาจจะถูกธาตุไฟแตกซ่านจนเสียสติ จึงพูดเรื่องไร้สาระ”

“อืม….เสียสติ ข้อแก้ตัวนี้ฟังขึ้น แต่เจ้าคิดว่าข้าและเหล่ยเป่าเป็นคนโง่หรือ” ซางกวนฮ่าวหยางกล่าวด้วยรอยยิ้มที่เย็นชา

“นี่….เรื่องนี้ … ” หลินคังซ่งในขณะนี้ไม่รู้ว่าจะอธิบายอย่างไร เขากำลังรีบหาข้อแก้ตัว แต่มีช่องโหว่มากมาย

“เอ่อ?” หลินเว่ยตกตะลึงทันที เพราะเขาเห็นว่าเหลยเป่ามองมาที่เขา และส่งสัญญาณให้เขาปรากฏตัว หลินเว่ยพยักหน้าเล็กน้อยและก้าวไปข้างหน้า

ในความเป็นจริง เป็นที่ทราบกันดีว่าราชวงศ์ไม่สามารถสังหารพวกเขาทั้งสามคนได้ ประการแรกพลังของเหลยเป่านั้นสูงมาก เป็นการยากที่จะคาดเดาว่าใครเป็นผู้ชนะหากว่าต่อสู้กัน ความเป็นไปได้มากที่สุดคือการสูญเสียทั้งสองฝ่าย

ประการที่สองอาณาเฟิงหยู จะตกอยู่ในอันตราย อาณาจักรเฟิงหยูล้อมรอบไปด้วยศัตรูที่แข็งแกร่ง และกำลังสนับสนุนจากสถานศึกษาต่าง ๆ ในสถานศึกษาเทียนหยูน้อยลงไป อาณาจักรเฟิงหยูจะตกอยู่ในสถานะที่จะตกอยู่ในวิกฤต

อย่างไรก็ตาม มันเป็นความจริงอย่างที่หลินเว่ยกล่าวไว้ก่อนหน้านี้ เป็นที่สงสัยว่าราชวงศ์มีวิธีการแอบแฝง ในการจัดการสถานศึกษาเทียนหยู โดยให้สูญเสียน้อยที่สุดหรือไม่? ดังนั้นพวกเขาจึงตกอยู่ในอันตราย

ดังนั้นเมื่อพวกเขาเห็นสายตาของหลินคังซ่งที่หันมาที่พวกเขา และหันศีรษะไปรอบ ๆ และไม่มีใครจะพอที่จะช่วยเขาได้

แต่สิ่งที่ทำให้เกิดเหตุการณ์นี้คือ ในเวลานี้เมื่อเขาเห็นหลินเว่ย เห็นได้ชัดว่ามีบางอย่างที่ต้องการจะพูด สายตาของผู้คนจับจ้องไปที่หลินเว่ยทันที และต้องการฟังสิ่งที่อีกฝ่ายพูด