ตอนที่ 624 ขี้ของท้าวสักกะ

ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods

หลวงจีนภารโรงผู้นั้นยืนพิงไม้กวาดและกล่าวด้วยรอยยิ้ม “จ้าวลัทธิฉินคิดว่าเรียกตนเองว่าคนกักขฬะก็จะสามารถผลักความรับผิดชอบทั้งหมดได้หรือ เจ้าได้สังหารพุทธบุตรไปสามร้อยหกสิบเจ็ดคน และยังมีพุทธเจ้าแห่งสวรรค์ชั้นจันทรา เช่นเดียวกับพุทธเจ้าอื่นๆ อีกห้าตน เจ้ายังได้ทำให้สวรรค์ชั้นพรหมของข้าแปดเปื้อนไปครึ่งหนึ่ง เปลี่ยนครึ่งนั้นให้เป็นแดนใต้พิภพ แบบนี้ข้าจะปล่อยเจ้าไปง่ายๆ ได้อย่างไร”

ฉินมู่กล่าวอย่างสัตย์ซื่อ “พุทธเจ้าโปรดลงโทษข้าเถอะ”

หลวงจีนภารโรงมองไปที่เขาโดยไม่กล่าววาจา สักพักหนึ่ง เขาจึงพูด “หากข้าบอกว่านี่เป็นความผิดของเจ้าทั้งหมด ก็คงจะไม่เป็นธรรมกับเจ้า แม้ว่าเจ้าจะซื่อสัตย์และจริงใจ และลึกๆ ในใจเจ้าก็คงจะไม่ยอมรับนับถือ ผู้คนที่เจ้าได้สังหารนั้นทั้งหมดล้วนแต่เป็นผู้คนที่สภาสวรรค์ส่งมายังพุทธเกษตร สาเหตุที่พุทธเจ้าท้าวสักกะได้เอาใบหลิวทองคำไปจากหน้าผากของเจ้านั้นก็เพราะว่าเขาหมายจะยืมมือของเจ้าเพื่อกวาดล้างอิทธิพลอำนาจที่สภาสวรรค์ปักเอาไว้ในพุทธเกษตร ยิ่งไปกว่านั้น ด้วยการปลดปล่อยฉินเฟิงชิงออกมา เขาก็ได้ทำอันตรายต่อชีวิตของเจ้า เจ้านั้นชาญฉลาดเป็นอย่างยิ่ง และน่าจะมองทะลุปรุโปร่งในประเด็นเหล่านี้ นั่นทำให้เจ้ากล้าที่จะเริ่มเข่นฆ่าสังหารโดยไม่กริ่งเกรงสิ่งใด เจ้ารู้ว่าเจ้าจะไม่ถูกลงโทษแม้ว่าเจ้าจะได้กระทำเรื่องพวกนี้ลงไป ก็เพราะว่าพุทธเจ้าท้าวสักกะจะปกป้องเจ้าเอาไว้อย่างแน่นอน”

ฉินมู่ก้มหน้าลงต่ำ “ศิษย์ผู้นี้ไม่กล้าผลักความผิด พุทธเจ้าท้าวสักกะมีใจคิดจะใช้สอยข้าเพื่อกำจัดอิทธิพลอำนาจของสภาสวรรค์ แต่พุทธบุตรพวกนี้ก็ตกตายในน้ำมือของข้าจริงๆ ยิ่งไปกว่านั้น ข้ายังเป็นผู้ที่ทำให้บรมแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งลัทธิพุทธนี้เปื้อนมลทิน”

“เมื่ออยู่ต่อหน้าข้า เจ้าไม่ต้องปิดซ่อนสิ่งที่เจ้าคิดอยู่หรอก มันไม่จำเป็นและเปล่าประโยชน์”

หลวงจีนภารโรงผงกหัว “การคาดเดาของเจ้าถูกต้อง ความผิดนี้ไม่ใช่สิ่งที่เจ้าควรจะแบกรับ แม้ว่าข้าจะไม่สนับสนุนในสิ่งที่พุทธเจ้าท้าวสักกะทำลงไป แต่ข้าก็ไม่ได้คัดค้านเขาเช่นกัน ก้มหัวเจ้าลง”

ฉินมู่โค้งร่างลงขณะที่หลวงจีนภารโรงนำเอาใบหลิวทองคำออกมา เขาวางมันอย่างตั้งอกตั้งใจบนหว่างคิ้วของเขาและกล่าวด้วยรอยยิ้ม “แต่ถึงอย่างไร ข้าก็ไม่อาจแบกรับความผิดนี้ได้เช่นกัน เพราะหากข้าทำเช่นนั้น พุทธเกษตรก็จะถึงจุดจบ และสภาสวรรค์จะฉวยโอกาสทำลายมันและเข้ามายึดครอง ดังนั้นความผิดนี้จึงต้องให้พุทธเจ้าท้าวสักกะและเจ้าแบกรับเอาไว้ พุทธเจ้าท้าวสักกะเป็นศิษย์น้องของข้า ดังนั้นเขาสามารถแบกรับขี้ก้อนที่เหม็นที่สุด ส่วนเจ้านั้น ก็ช่วยแบกรับส่วนเล็กๆ ที่ไม่ทำให้เจ้าหลังหัก”

ฉินมู่ระบายลมหายใจโล่งอกและแตะลงไปบนใบหลิวทองคำบนหน้าผาก นี่ทำให้เขารู้สึกสงบใจลงได้ ไม่เพียงแต่เพราะใบหลิวทองคำเท่านั้น แต่ยังเพราะถ้อยคำของพุทธเจ้าพรหมด้วย

“อย่ากล่าวโทษพุทธเจ้าท้าวสักกะเลย เขาเองก็คิดเพื่อประโยชน์ของลัทธิพุทธ เขายังมีอดีตของตนเองและปมในหัวใจอีกด้วย”

หลวงจีนภารโรงเดินไปข้างหน้าพลางกวาดพื้นไปด้วย เขากล่าวด้วยรอยยิ้ม “ขี้ที่เขาต้องแบกรับนั้นมากเกินพอที่จะทรมานตัวเขา คงจะยากสักหน่อยที่เขาจะเช็ดล้างตัวเองให้สะอาด แม้ว่าสภาสวรรค์จะรู้ว่าข้าคือคนที่เห็นชอบอย่างเงียบๆ แต่พวกเขาก็ไม่อาจลงมือกับข้าโดยปราศจากหลักฐานได้ ดังนั้นพวกเขาจึงได้แต่ไปจัดการพุทธเจ้าท้าวสักกะ ข้าไม่กำจัดสันดานมารแห่งแดนใต้พิภพที่อยู่ในสวรรค์ชั้นพรหมแห่งนี้ นี่คือหลักฐานว่าพุทธเกษตรของข้าไม่ได้เข้าไปเกี่ยวข้องด้วย พุทธเกษตรของข้าก็เป็นผู้เสียหายด้วยเช่นกัน”

ฉินมู่ติดตามเดินผ่านสถานที่ที่เขากวาดไปแล้ว เขาเอ่ยชม “พุทธเจ้าข้าช่างทรงปัญญา”

หลวงจีนภารโรงกล่าว “สภาสวรรค์ทั้งใหญ่อุ้ยอ้ายและมีความเน่าเฟะข้างใน กว่าที่พวกเขาจะได้รับข่าวนี้และลงมือกระทำอะไรสักอย่าง ก็คงต้องใช้เวลาหลายวัน ในช่วงหลายวันนี้ เจ้าและพุทธเจ้าท้าวสักกะก็จงออกไปจากพุทธเกษตร เพื่อให้พวกเจ้าทั้งสองไม่ตกในที่นั่งลำบาก เจ้าจะออกจากพุทธเกษตรเป็นเรื่องง่าย แต่เขตขั้นวรยุทธของพุทธเจ้าท้าวสักกะนั้นสูงส่งเกินไป ดังนั้นเขาจึงยากที่จะออกจากที่นี่”

ฉินมู่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งและเอ่ยถาม “พุทธเจ้าไม่มีความคิดดีๆ ว่าจะออกจากที่นี่อย่างไรหรอกหรือ”

“ข้ามี”

หลวงจีนภารโรงดูจะขบขันเล็กน้อย “แต่ทว่า เจ้าไม่สามารถใช้วิธีการของข้าได้ ข้ายังต้องไว้หน้าสภาสวรรค์อยู่บ้าง หากว่าข้าส่งพุทธเจ้าท้าวสักกะออกไป หน้านี้ก็คงไม่หลงเหลืออยู่อีกต่อไป ดังนั้น พวกเจ้าจึงได้แต่ต้องคิดหาวิธีการด้วยตนเอง อย่าเอาข้าและพุทธเกษตรเข้าไปพัวพัน”

ฉินมู่เกาหัวแกรกๆ เขาพลันร่ำร้องออกมา “ซึ่งก็หมายความว่าพวกเราช่วยพุทธเกษตรกำจัดกวาดล้างอิทธิพลอำนาจของสภาสวรรค์ ป้องกันไม่ให้พุทธเกษตรตกอยู่ในการควบคุมของสภาสวรรค์ จากนั้นทั้งขี้และความผิดทั้งหมดทั้งมวลก็โปะลงมาบนข้าและพุทธเจ้าท้าวสักกะ ขณะที่พุทธเกษตรและพุทธเจ้าอื่นๆ ทั้งหลายจะสุขสบายไร้เรื่องราว พวกท่านทั้งหมดจะได้รับผลประโยชน์ไปเต็มๆ ขณะที่พวกเรามีแต่จะต้องหนีเอาชีวิตรอด ข้าพูดถูกหรือไม่”

หลวงจีนภารโรงเงยหน้าขึ้นมายิ้มแฉ่งให้แก่เขา “ถูกต้องแล้ว”

ฉินมู่อ้าปากค้าง สักครู่หนึ่ง เขาก็ถามหยั่ง “พวกที่อยู่ในรุ่นอาวุโสมีแต่กลอกกลิ้งร้ายกาจทั้งหมดหรือไม่”

“ถูกต้องแล้ว”

หลวงจีนภารโรงหัวเราะเบาๆ “แต่ทว่า พวกข้าเรียกว่าทรงปัญญา ไม่ใช่กลอกกลิ้งร้ายกาจ”

ฉินมู่มีสีหน้ามืดดำ “ทรงปัญญากับกลอกกลิ้งร้ายกาจจะต่างอะไรกัน”

หลวงจีนภารโรงยังกวาดวัดต่อไปพลางยิ้มแป้น “อันที่จริงแล้ว เจ้าและข้ามีวาสนาต่อกันมาตั้งแต่แรกเริ่ม พวกเราได้พบปะกันตั้งหลายครั้ง ไม่ต้องกังวล ข้าไม่ปล่อยให้เจ้าเสียเปรียบหรอก ข้าจะไม่ถ่ายทอดคัมภีร์เที่ยงแท้บัลลังก์จักรพรรดิให้แก่เจ้า แต่ทว่า ฉินเฟิงชิงได้กลืนหนึ่งในจิตวิญญาณดั้งเดิมของข้าเข้าไป และจิตวิญญาณดั้งเดิมนี้ได้แปรเปลี่ยนเป็นพุทธเจ้าใหญ่ที่ตอนนี้อยู่ในดวงตาที่สามของเจ้า”

ฉินมู่แตะไปที่ใบหลิวทองคำตรงหน้าผากของเขา เขาอยากจะปลดมันลงมาและส่องกระจกดูว่ามีพุทธเจ้าใหญ่นั่งอยู่ในดวงตาของเขาจริงหรือเปล่า แต่ทว่า เมื่อเขานึกถึงว่าเขาจะต้องกลายเป็นทารกชั่วร้ายตัวมหึมาซึ่งก็คือฉินเฟิงชิง เขาก็ได้แต่ข่มระงับใจเอาไว้

“พุทธเจ้าใหญ่นี้สามารถปิดผนึกไปพร้อมๆ กับกับภูติบดี ช่วยเหลือเจ้าสะกดข่มฉินเฟิงชิงเอาไว้ ไม่ให้เขาทลายออกมาจากเวทปิดผนึกและดูดกลืนเจ้าเข้าไปได้ ยิ่งไปกว่านั้น พุทธเจ้าใหญ่นี้ยังบรรจุไว้ด้วยคัมภีร์เที่ยงแท้ระดับบัลลังก์จักรพรรดิของข้าที่ข้าไม่อาจถ่ายทอดให้แก่เจ้าได้โดยตรง เจ้าจะต้องตรึกตรองและเรียนรู้มันด้วยตนเอง และนี่ก็ขึ้นอยู่กับเจ้าแล้วว่าจะได้อานิสงส์ออกมาจากมันมากเท่าไร”

หลวงจีนภารโรงกวาดพื้นอย่างจริงจังพลางกล่าว “เมื่อเจ้ามีฝีมือความสามารถ เจ้าก็จะสามารถตรึกตรองในสิ่งที่จ้านคงตรึกตรองเข้าใจ หากว่าปฏิภาณของเจ้าอ่อนด้อยลงไปอีกหน่อย เจ้าก็จะตรึกตรองในสิ่งที่หมิงซิ่นตรึกตรองเข้าใจ และหากว่าเจ้าหมกมุ่นมากเกินไป เจ้าก็อาจจะไม่อาจตรึกตรองเข้าใจอะไรได้เลย ข้าได้ถ่ายทอดคัมภีร์เที่ยงแท้แล้ว และข้าเองก็ได้เปื้อนขี้ไปด้วยเหมือนกัน”

ขณะที่เขากวาดไป ก็ปรากฏลานวัดตรงหน้าพวกเขา พุทธเจ้าท้าวสักกะดูราวกับว่ากำลังเพ่งสมาธิเพื่อตรึกตรองอะไรบางอย่าง

เมื่อหลวงจีนภารโรงเดินเข้าไป ฉินมู่ก็ตามไปติดๆ ข้างหลัง ทีละก้าวทีละก้าว หลวงจีนภารโรงกล่าวต่อ “ในเมื่อเรื่องทั้งหมดเรียบร้อยแล้ว พวกเจ้าก็ควรจะออกไป ศิษย์น้อง โปรดลุกขึ้น ข้าอยากจะกวาดฝุ่นที่หัวใจเจ้าทิ้งเอาไว้ ดังนั้นที่พำนักอันสงบเงียบของข้าจะได้ไม่แปดเปื้อน”

พุทธเจ้าท้าวสักกะพลันหลุดออกมาจากภวังค์สมาธิ และเขาก็มองไปยังหลวงจีนภารโรง จากนั้นเขาก็มองไปยังใบหน้าอันมืดดำของฉินมู่และร้องออกมาด้วยความแตกตื่น “ศิษย์พี่ ทุกอย่างเรียบร้อยแล้วหรือ”

หลวงจีนภารโรงกล่าว “เรียบร้อยแล้ว”

พุทธเจ้าท้าวสักกะถามหยั่ง “ขี้ก็ป้ายแล้ว?”

หลวงจีนภารโรงกล่าว “ทั้งหมดอยู่บนหัวของเจ้า และมันจะอยู่ที่นั่นไม่ว่าเจ้าจะพยายามล้างมันออกอย่างไรก็ตาม”

พุทธเจ้าท้าวสักกะถอนหายใจ “แค่ขี้ก้อนเล็กๆ ข้าจะพยายามทนมันหน่อยก็แล้วกัน ตราบเท่าที่ยังสืบสานขนบอันเที่ยงแท้ของพุทธเกษตรเอาไว้ได้ ว่าแต่ว่า ศิษย์พี่ ขี้กองนี้มันใหญ่แค่ไหนหรือ มันจะต้องใช้เวลาเท่าไรถึงจะล้างออกให้สะอาดได้”

หลวงจีนภารโรงลังเลอยู่ครู่หนึ่ง “เจ้าไม่เห็นได้บอกเลยนี่ว่าเจ้าต้องการจะล้างมันออก ดังนั้นมันก็เลยค่อนข้างใหญ่อยู่สักนิด ก็คงมีอุปสรรคอยู่จำนวนหนึ่ง…แต่อย่างไรก็คงพอล้างออกได้”

แต่ทว่า เขามีประโยคหนึ่งที่เขาเก็บไว้กับตนเอง เมื่อสวรรค์เปลี่ยนผ่าน เจ้าถึงจะล้างมันออกได้

“ศิษย์น้อง เจ้าควรจะกลับไปที่สวรรค์ชั้นสักกะของเจ้า และตระเตรียมหนีเอาชีวิตรอด พาประสกฉินไปกับเจ้าด้วย และให้เขาเป็นผู้พาเจ้าออกไปจากพุทธเกษตร” หลวงจีนภารโรงกล่าว

พุทธเจ้าท้าวสักกะมองไปที่ฉินมู่ ซึ่งใบหน้ายังคงดำคล้ำ และเขาก็หัวเราะออกมา “เขาน่ะรึที่จะส่งข้าออกไป เขามีพลังวัตรอันยิ่งใหญ่ปานนั้นเชียว? ศิษย์พี่ ข้าคิดว่าท่านควรจะเป็นคนที่ส่งข้าออกไปเสียมากกว่า ท่านมีกำลังฝีมืออันเหนือธรรมดาที่เหนือล้ำกว่าข้าไปไกล ในเมื่อท่านสามารถท่องไปยังโลกอันกว้างใหญ่ไร้ประมาณในความฝันของท่าน ท่านก็ย่อมจะต้องมีวิธีการที่สามารถส่งข้าออกไปได้โดยสวัสดิภาพ”

หลวงจีนภารโรงไม่พูดไม่จา เขาเพียงแต่กวาดพื้นต่อไป ทันใดนั้นเขาก็กวาดใส่เท้าของพุทธเจ้าท้าวสักกะ พุทธเจ้าท้าวสักกะรู้สึกว่าโลกหมุนหวือและเมื่อเขาได้สติอีกครั้ง เขาก็ถูกกวาดออกมานอกประตูพร้อมกับฉินมู่แล้ว ตอนนี้พวกเขายืนอยู่ตรงหน้าวัดซอมซ่อ

วัดนี้ดูหักพังยิ่งกว่าเดิมก็เพราะฉินมู่ฟาดทุบมัน หลวงจีนคนนั้นโผล่หัวออกมาจากข้างหลังกำแพงที่พังไปครึ่งหนึ่งและกล่าวกับทั้งสอง “ฆราวาสฉิน เจ้าไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับจ้านคงและหมิงซิ่น เมื่อพวกเขาเรียนรู้คัมภีร์เที่ยงแท้บัลลังก์จักรพรรดิสำเร็จแล้ว พวกเขาก็จะกลับไป การส่งพวกเขาออกไปนั้นง่ายกว่าส่งพวกท่านทั้งสองออกไปมาก ข้าเองตอนนี้กำลังซ่อมกำแพง ขออภัยที่ไม่ส่ง”

วงรัศมีข้างหลังศีรษะของพุทะเจ้าท้าวสักกะสว่างไสวอีกครั้ง และส่องแสงพุทธธรรมแก่บริเวณโดยรอบ เขากล่าวด้วยรอยยิ้ม “ศิษย์พี่กล่าวว่าขี้กองนี้ใหญ่โตและเหม็นโฉ่วมากพอ ข้าอยากจะรู้ว่ามันใหญ่โตและเหม็นโฉ่วขนาดไหน สหายน้อยฉิน เลิกทำหน้ามืดทะมึนได้แล้ว ข้าได้ทำผิดต่อเจ้าและลากเจ้ามาในความยุ่งเหยิงนี้…”

ฉินมู่ทำท่าราวกับว่าจะปลดใบหลิวทองคำออก พุทธเจ้าท้าวสักกะโค้งขออภัยพลางกล่าว “อย่าปลดมันออก ต่อให้เจ้าทุบตีข้าจนน่วม ข้าก็คงหนีไปได้ ให้ข้ากล่าวขอโทษเจ้าตรงนี้ละกัน แล้วข้าจะตอบแทนเจ้าในอนาคตอย่างแน่นอน”

ฉินมู่วางมือลง ท้าวสักกะก็กล่าว “ข้าในฐานะพุทธเจ้า จะรับความผิดนี้แทนเจ้าเอง ความผิดใหญ่ขนาดนี้ข้าคงจะไม่อาจล้างมลทินไปได้ต่อให้ผ่านเวลาไปนาน”

พุทธเจ้าท้าวสักกะกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ไม่ต้องห่วง ข้าจะคืนความบริสุทธิ์ให้แก่เจ้าอย่างแน่นอน อีกอย่าง ข้าก็ได้แบกขี้ของข้าแล้ว เมื่อศิษย์พี่ใช้เสียงของข้าเพื่อพูดในตอนแรกเริ่มนั้น เขาก็ได้ละเลงขี้ก้อนแรกลงบนหัวข้า พวกเราออกไปจากที่นี่กันเถอะ แม้ว่าสภาสวรรค์จะใหญ่อุ้ยอ้ายและมีความเน่าเฟะภายใน แต่พวกเขาก็จะได้รับข่าวคราวภายในไม่กี่วันและจะมาจับตัวพวกเรา พวกเรากลับไปที่สวรรค์ชั้นสักกะเพื่อเตรียมตัวก่อนดีกว่า”

ฉินมู่สีหน้าอ่อนลงและเขาก็ผงกหัว

พุทธเจ้าท้าวสักกะเหาะขึ้นไปบนอากาศพร้อมกับเขา เขามองไปรอบๆ และเห็นซากศพของธรรมราชโม่หลุนและพุทธเจ้าอีกจำนวนหนึ่ง เมื่อเห็นเข้า เขาก็มีสีหน้าประหลาดใจแกมยินดี ข้ารู้ว่าดวงตาเขามีความพิลึกประหลาด แต่ไม่นึกเลยว่าพลานุภาพของมันจะแข็งแกร่งขนาดนี้ ถึงกับสังหารพุทธเจ้าอย่างโม่หลุนได้ แม้ว่าความสำเร็จของโม่หลุนในเชิงธรรมะจะครึ่งๆ กลางๆ แต่กำลังฝีมือของเขานั้นเหนือธรรมดา ขี้กองนี้ไม่ใช่เล็กๆ เลย แต่ข้ายังรับมือไหว มันคุ้มค่า!

เขาพาฉินมู่เหาะข้ามทะเลทองคำ ทันใดนั้นสีหน้าของเขาก็กลายเป็นมืดคล้ำ แสงพุทธธรรมข้างหลังศีรษะของเขาเกือบดับวูบไปเมื่อเขามองเห็นทะเลทองคำ แสงพุทธธรรมในบรมแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งพุทธเกษตรนี้แทบจะถูกทำลายล้างไปครึ่งหนึ่ง มันมีปราณมารแดนใต้พิภพอันเข้มข้นอยู่ทุกหนทุกแห่ง ขุนเขาศักดิ์สิทธิ์และเกาะศักดิ์สิทธิ์พังราบไปทั้งหมด วัดวามากมายบนภูเขาศักดิ์สิทธิ์และเกาะศักดิ์สิทธิ์ก็พังทลายและจมลงไปในทะเล!

นี่มันโคตรภัยพิบัติชัดๆ!

พุทธเจ้าท้าวสักกะจ้องด้วยดวงตาเบิกกว้าง แสงพุทธธรรมข้างหลังศีรษะเขากะพริบวูบๆ วาบๆ ราวกับว่ามันพร้อมจะมอดดับลงไปได้ทุกขณะจิต ผ่านไปสักพักหนึ่งเขาถึงได้สติ เขาหันไปมองฉินมู่ด้วยความยากลำบากและถาม “ขี้กองนี้มันจะอยู่บนหัวข้าหรือ พวกเราจะผ่ากองขี้นี้ แล้วเจ้าช่วยแบ่งเบาข้าสักนิดจะได้หรือไม่”

ฉินมู่ส่ายหัว “พุทธเจ้า ข้าก็ยังคงมีความผิดที่กาไว้บนหัวข้าอยู่…”

พุทธเจ้าท้าวสักกะระบายลมหายใจสะท้าน เขานั้นห่อเหี่ยวลงไป ขืนเป็นแบบนี้ บรมแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งพุทธเกษตรก็จะกลายเป็นแดนใต้พิภพอีกแห่ง เขาคะเนว่าภายในเวลาไม่นาน ดวงวิญญาณมากมายก็คงจะมารวมตัวกันที่นั่น แม้แต่ภูติบดีก็คงจะแวะมาเดินเล่น!

แดนนิรมลแห่งนี้ เห็นทีจะต้องยกให้กับภูติบดีไปครึ่งหนึ่ง!

ข้าต้องแข็งใจเข้าไว้ ข้าจะต้องแบกรับนี่ให้ได้! ศิษย์พี่บอกว่าขี้กองนี้ต้องมีสักวันที่ข้าจะล้างออก เขาต้องไม่โกหกข้าแน่ๆ!

พุทธเจ้าท้าวสักกะสูดลมหายใจลึกและเบือนสายตาจากสถานการณ์อันอเนจอนาถ เขาพาฉินมู่ไปยังสวรรค์ชั้นสักกะและกล่าว “ศิษย์พี่บอกว่าเจ้ามีวิธีที่จะพาข้าออกไปจากพุทธเกษตร ข้าถามได้หรือไม่ว่าวิธีการในมือของสหายน้อยฉินคือวิธีใด”

ฉินมู่กล่าวอย่างตะบึงตะบอน “ข้ามาที่นี่เพื่อแสวงหาคัมภีร์เที่ยงแท้ ไม่เพียงแต่ข้าไม่ได้รับในสิ่งที่ข้าต้องการแล้ว แต่ข้ายังต้องแบกรับความผิดนี้อีกด้วย ตอนที่ข้ากลับไป ข้าจะตอบกับยูไลได้อย่างไร ข้าไม่มีหน้าไปพบเขาอีกต่อไป ปล่อยให้สภาสวรรค์มาจับตัวข้าและประหารข้าให้แล้วๆ ไปเถอะ”

พุทธเจ้าท้าวสักกะเข้าใจกระจ่าง และเขาก็กล่าวด้วยรอยยิ้ม “ข้าจะสอนคัมภีร์สักกะให้กับเจ้า แม้ว่าพวกมันจะไม่ดีเยี่ยมเท่ากับคัมภีร์เที่ยงแท้บัลลังก์จักรพรรดิ แต่พวกมันก็ยังเป็นคัมภีร์ระดับตำหนักชิดฟ้าอยู่ดี คัมภีร์ของศิษย์พี่ลึกซึ้งจนเกินไป ยากที่จะตรึกตรองเข้าใจ แต่ในทางกลับกัน คัมภีร์สักกะของข้าเรียบง่าย ห้าวหาญ และทรงพลังกว่ามาก มันฝึกง่ายและเจ้าก็จะสามารถเห็นผลลัพธ์ของมันได้อย่างรวดเร็วหลังจากที่เรียน ทีนี้ เจ้าก็บอกข้าถึงวิธีการออกจากพุทธเกษตรได้แล้วใช่ไหม”