บทที่ 161 พ่อครัวเงาแห่งเมืองอาทิตย์ขจี

ทะลุมิติมาเปิดร้านอาหารอยู่ต่างโลก: GOURMET OF ANOTHER WORLD

เมืองอาทิตย์ขจีตั้งอยู่ภายนอกดินแดนป่ารกชัฏพอดิบพอดี จัดเป็นเมืองหน้าด่านที่ตั้งโดยจักรวรรดิวายุแผ่ว เนื่องจากดินแดนป่ารกชัฏเป็นพื้นที่อันตรายยั้วเยี้ยไปด้วยอสูรเวทมากมาย มีทั้งอ่อนแอและทรงพลังปะปนกันไป อสูรเวทระดับบนบางตัวนั้นไม่สามารถประเมินความแข็งแกร่งได้เลยทีเดียว ส่วนตัวที่อ่อนแอกว่าก็มักมีปราณอยู่ที่ระดับสามกับสี่

ดินแดนป่ารกชัฏแบ่งออกเป็นวงแหวนชั้นนอก วงแหวนชั้นกลาง และวงแหวนชั้นใน ทั้งสามบริเวณนี้เป็นวงกลมที่ซ้อนทับกัน ภายในเต็มไปด้วยอสูรเวทมากมายนับไม่ถ้วน เมืองอาทิตย์ขจีในฐานะเมืองหน้าด่านและทางเข้าดินแดนป่ารกชัฏจึงเต็มไปด้วยแรงกดดันจากการเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญ

หากจำนวนอสูรเวทเพิ่มมากขึ้นจนถึงจุดหนึ่ง อาจเกิดภัยพิบัติอย่างเหตุการณ์อสูรหลั่งไหลก็เป็นได้ อสูรเวทที่กำลังแตกตื่นจะพากันบุกมาเหยียบทำลายทุกอย่างราบเป็นหน้ากลอง ถือเป็นโศกนาฏกรรมที่อาจเกิดขึ้นกับผู้คนที่อาศัยอยู่ในเมืองอาทิตย์ขจีได้อย่างแท้จริง มีเพียงผู้ที่แข็งแกร่งเท่านั้นที่จะรอดชีวิตไปได้

เมืองอาทิตย์ขจีเป็นเมืองที่เหล่าผู้เยี่ยมยุทธ์มารวมตัวกัน ทุกคนที่ทำมาหากินอยู่ ณ ที่แห่งนี้ล้วนเป็นผู้ฝึกตนระดับสูง ส่วนมากเป็นนักผจญภัยที่มาจากทั่วทุกสารทิศของทวีปมังกรซ่อนเร้น ไม่ได้มีแค่ประชาชนของจักรวรรดิวายุแผ่วเท่านั้น แต่ยังมาจากอาณาจักรที่เล็กกว่าเช่นกัน

ทุกคนมารวมตัวกันเพื่อเก็บเกี่ยวประสบการณ์จากดินแดนป่ารกชัฏ และเพื่อหาผลึกเพิ่มความมั่งคั่ง

นักเดินทางเหล่านี้สามารถแลกอสูรเวทที่ล่ามาเป็นผลึกได้ อสูรเวททุกตัวเปรียบเสมือนหีบสมบัติที่นำไปแลกเปลี่ยนเป็นของมีค่าได้หลายอย่าง ด้วยอำนาจของเงินตราและความมั่งคั่ง หลายคนจึงยังวนเวียนหลั่งไหลมาที่เมืองนี้เสมอ แม้จะต้องเสี่ยงกับความน่ากลัวของเหตุอสูรหลั่งไหลที่อาจเกิดขึ้นก็ตาม

“ร้านอาหารอันดับหนึ่งในเมืองอาทิตย์ขจี” เป็นร้านอาหารเดียวในเมือง มีทั้งหมดสองชั้นด้วยกัน ชั้นแรกนั้นกว้างใหญ่มีที่มาก ด้านในเต็มไปด้วยชีวิตชีวาอย่างที่ร้านอาหารควรจะเป็น และมีคนมากมายเข้าออกตลอดเวลา

กลิ่นสุราเคล้ากลิ่นอาหารหอมลอยล่องอยู่ในอากาศ เสียงตะโกนเจือเสียงหัวเราะดังมาเป็นพักๆ

ภาพบรรยากาศในร้านอาหารนี้จัดว่าครึกครื้นเลยทีเดียว

อาลู่เดินเคี้ยวน่องไก่ตุ้ยๆ ส่วนอาเหวยก็กำลังเดินเข้าร้านพร้อมด้วยกระทะใบใหญ่เบ้อเริ่มบนหลัง ทันใดนั้นสตรีหน้าตาสะสวยทรวดทรงองค์เอวโค้งเว้าในชุดเปิดเผยก็เดินส่ายสะโพกเข้ามาหาคนทั้งสอง นางพูดพร้อมหัวเราะคิกคัก “ตายๆ อาลู่กับอาเหวย กลับมาแล้วหรือ เป็นอย่างไรบ้าง ทำภารกิจที่ตาแก่มอบให้สำเร็จไหม”

อาลู่หยิบน่องไก่ออกมาจากผ้ากันเปื้อนแล้วกัดเข้าไปคำหนึ่ง เขาเคี้ยวชิ้นไก่ในปากกร้วมๆ จากนั้นก็พูดเสียงแผ่ว “ท่านป้าเยวี่ย เราสองคนแพ้ นครหลวงของจักรวรรดิวายุแผ่วนั้นเต็มไปด้วยผู้มีความสามารถมากมาย สมกับที่เป็นศูนย์กลางความเจริญจริงๆ ขนาดพี่ใหญ่เอาไพ่ตายออกมาใช้ยังพลิกกลับมาชนะไม่ได้เลย”

ใบหน้าของอาเหวยมืดมนลงทันที เขาเหลือบมองป้าเยวี่ยคนสวยโดยไม่พูดอะไร ไม่มีอะไรให้ต้องอธิบายเพิ่มเติมอีก แพ้ก็คือแพ้ เขาทำได้เพียงโทษตัวเองเท่านั้นว่าความสามารถไม่มากพอ

แววประหลาดใจปรากฏขึ้นบนใบหน้าของป้าเยวี่ย “อาลู่กับอาเหวยแพ้ที่งานสมโภชร้อยครอบครัวรึนี่… ทั้งๆ ที่เป็นพ่อครัวที่เก่งกาจถึงเพียงนี้เนี่ยนะ ความสามารถของพ่อครัวแม่ครัวแห่งจักรวรรดิวายุแผ่วพัฒนาขึ้นจนน่ากลัวถึงขั้นนี้แล้วหรือนี่

“ถึงอย่างไรอาลู่และอาเหวยก็เป็นศิษย์ที่ได้รับวิชาโดยตรงจากตาแก่เชียวนะ!”

“ไม่เป็นไรนะ แพ้ก็ไม่เป็นไร ดีกว่าให้พวกเจ้าสองคนหลงคิดไปว่าความสามารถในการทำอาหารของตนนั้นเลิศเลอที่สุดในปฐพี เจออุปสรรคเสียบ้างก็ไม่ใช่เรื่องแย่อะไรหรอก” ป้าเยวี่ยพูดพร้อมหัวเราะหึๆ จนทำให้หน้าอกกระเพื่อมตามแรงโยก ลูกค้าหลายคนในร้านดวงตาเป็นประกายขึ้นทันที

ใบหน้าของอาเหวยและอาลู่พลันหมองลง ขณะมองไปรอบๆ ด้วยสายตาไม่พอใจ ก่อนจะพากันเดินขึ้นไปที่ชั้นสองของร้านอาหาร

พวกเขาเหยียบขึ้นไปบนชั้นสอง พื้นส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าดตอบรับทุกย่างก้าวขณะเดินไปบนพื้นไม้ที่ดูไม่ค่อยมั่นคง ยิ่งเดินลึกเข้าไปก็ยิ่งมืดขึ้นเรื่อยๆ จนทั้งสองมาหยุดอยู่หน้าห้องเล็กๆ ห้องหนึ่ง

อาเหวยเคาะประตูด้วยท่าทางเคารพ ความจองหองที่ปรากฏอยู่เสมอบนใบหน้าหายวับไปทันที

“เข้ามาได้” เสียงชราดังลอดออกมาจากในห้อง สองศรีพี่น้องหันมามองหน้ากันก่อนจะเดินเข้าห้องไป

“ท่านอาจารย์ขอรับ…”

อาลู่และอาเหวยก้มศีรษะลงแล้วพูดทักทายชายชราในชุดคลุมสีเทาด้วยเสียงเบา

ชายชราผู้นั้นนั่งอยู่บนเก้าอี้โยกไม้จันทน์ พลางสะบัดพัดที่ทำจากขนนกของอสูรเวทชนิดใดก็ไม่ทราบได้เบาๆ

“พวกเจ้าแพ้รึ นำรางวัลกลับมาไม่ได้ใช่หรือไม่” น้ำเสียงของชายชราเจือแววเยาะเย้ย ทำให้อาเหวยรู้สึกอับอายขึ้นมาทันที ก่อนจะออกจากเมืองไปแข่ง เขาประกาศด้วยความมั่นใจว่าตนเองจะนำรางวัลที่หนึ่งกลับมาได้อย่างแน่นอน แต่ก็ต้องพ่ายแพ้ย่อยยับกลับมาเสียนี่

“ข้าเคยบอกแล้วใช่หรือไม่ ทวีปมังกรซ่อนเร้นเป็นสถานที่ที่กว้างใหญ่ โลกและมุมมองของพวกเจ้านั้นแคบเหมือนบ่อน้ำเล็กๆ ในมหาสมุทรใหญ่โต หากเจ้ามองโลกโดยนั่งอยู่ในบ่อน้ำบ่อน้อยนั้น ก็คงรู้สึกเหมือนตนเองใหญ่คับฟ้า แต่ความจริงแล้วเจ้ากลับเหมือนกบในกะลาน่าขัน” ชายชราเอ่ยขณะหยุดโยกเก้าอี้

จากนั้นเขาก็ลุกขึ้นยืนแล้วมองสองศรีพี่น้องตรงหน้า ใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยเหี่ยวย่นสั่นตามแรงหัวเราะจนตัวโยน “ไม่เป็นไรหรอก พวกเจ้าทั้งสองไม่จำเป็นต้องโทษตัวเองไป ให้ใช้ความพ่ายแพ้นี้เป็นบทเรียนก็แล้วกัน ทำพลาดครั้งเดียวไม่เป็นไร จงฝึกให้หนักแล้วไปเอาคืนด้วยตนเอง”

“ขอรับ… ท่านอาจารย์ ความจริงแล้วหากข้าใช้หม้อร้อยรสคงไม่แพ้ราบคาบเช่นนี้!” อาเหวยยังคงทำใจยอมรับความปราชัยไม่ได้

ชายชราเหลือบมองอาเหวยแล้วส่ายหน้า “ข้าส่งต่อหม้อร้อยรสให้เจ้าเพื่อให้เจ้าบ่มมันไว้อีกสิบปี หากเจ้าใช้ตอนนี้ก็แปลว่าพลังงานที่มันสะสมเอาไว้จะเสียไป ต่อให้ได้ชัยชนะมาครองแล้วอย่างไรเล่า สิ่งที่เจ้าเสียไปนั้น… มากกว่าสิ่งที่เจ้าจะได้มาอยู่โข จงดีใจเถิดที่ตนเองเลือกไม่ใช้หม้อร้อยรสเพื่อการนี้”

“อาลู่ เล่าสิ่งที่เกิดขึ้นที่ทำให้พวกเจ้าแพ้ให้ข้าฟังที” ชายชราเอ่ย

อาลู่ประหลาดใจอยู่ครู่หนึ่ง มือเอื้อมไปที่ผ้ากันเปื้อนเพื่อจะคว้าน่องไก่มากินตามความเคยชิน แต่เมื่อคิดสักพักก็หยุดมือ จากนั้นจึงเริ่มบรรยายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนั้นให้ผู้เป็นอาจารย์ฟังด้วยน้ำเสียงและสีหน้าจริงจัง

ชายชราฟังสิ่งที่เกิดขึ้นจากปากอาลู่โดยไม่พูดอะไร

“เกี๊ยวจันทร์เสี้ยวสีรุ้งรึ อาหารที่ทำมาจากวัตถุดิบธรรมดาสามัญสามารถเอาชนะอาหารซ้อนอาหารของอาเหวยได้เช่นนั้นหรือ” ผู้เป็นอาจารย์หรี่ตา ใบหน้าแสดงความเคร่งเครียดขึ้นมาเล็กน้อย “จักรวรรดิวายุแผ่วมีพ่อครัวที่เก่งกาจหาตัวจับยากเช่นนี้ปรากฏขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่ การที่อาหารซึ่งทำจากวัตถุดิบธรรมดาจะเอาชนะอาหารซึ่งทำจากวัตถุดิบที่เต็มไปด้วยพลังปราณได้ รสชาติและรสสัมผัสของวัตถุดิบจะต้องถูกดึงออกมาอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วยเท่าที่วัตถุดิบชนิดนั้นจะสำแดงได้เลยทีเดียว เป็นเรื่องยากมากที่จะทำได้สำเร็จ…”

“กร้วมๆ ท่านอาจารย์ขอรับ… รางวัลที่หนึ่งก็ตกเป็นของเถ้าแก่ปู้ไปเช่นกัน” อาลู่พึมพำขณะเคี้ยวน่องไก่ตุ้ยๆ

ชายชราพยักหน้าแล้วเริ่มหัวเราะพร้อมปรบมือไปด้วย “ไม่คิดเลยว่าจะมีใครในจักรวรรดิวายุแผ่วกล้าปะทะฝีมือแย่งของรางวัลกับข้า พ่อครัวเงาคนนี้… ข้าชักอยากเจอเถ้าแก่ปู้ขึ้นมาเสียแล้วสิ”

อาเหวยชะงักไปชั่วครู่ รูม่านตาหดแคบ “ท่านอาจารย์จะออกโรงเองเลยรึ” เขาคิด

“เมล็ดของต้นตื่นรู้ทางห้าสายนี้… หากปลูกสำเร็จ ข้าสงสัยนักว่าจะเกิดเหตุเหนือความคาดหมายที่ยิ่งใหญ่ถึงเพียงไหน” ชายชราพึมพำเงียบๆ กับตนเอง

ดวงอาทิตย์โผล่พ้นขอบฟ้า แสงสาดส่องผ่านม่านเมฆ ย้อมแผ่นดินให้เรืองด้วยแสงสีทองจับตา

หิมะไม่ตกแล้ว แต่อุณหภูมิยังคงเย็นเยือก

ปู้ฟางทำซี่โครงเปรี้ยวหวานให้เจ้าดำตามปกติ จากนั้นก็เริ่มฝึกทักษะการใช้มีดและทักษะการแกะสลัก รวมถึงฝึกทำอาหารจานอื่นๆ ด้วย

ผู้ที่ต้องการเป็นพ่อครัวเทพอย่างเขาจะอู้ไม่ได้เด็ดขาด การฝึกฝนวิชาทุกวันเป็นสิ่งจำเป็นไม่ต่างจากลมหายใจเข้าออก เนื่องจากจะทำให้ทักษะการทำอาหารของเขาดีขึ้น และทำให้พื้นฐานแน่นมากขึ้นอีก

ต้นกล้าสีเขียวในกระถางต้นไม้ดินเผานั้นสูงขึ้นเรื่อยๆ ต้นอ่อนที่เพิ่งแทงทะลุดินออกมาเมื่อวานบัดนี้สูงเท่าหนึ่งนิ้วมือแล้ว ถือเป็นปรากฏการณ์ที่น่าตื่นตาตื่นใจจริงๆ

ใบไม้สีน้ำเงินอมเขียวแต้มด้วยลวดลายลึกลับจนเต็มใบ แค่มองก็ทำให้ปู้ฟางตาลายแล้ว

“ไอ้เมล็ดนี่มันอะไรกัน จะงอกออกมาเป็นต้นอะไรเนี่ย” ปู้ฟางพึมพำกับตนเองด้วยความงุนงง ขณะเอานิ้วไปสัมผัสใบ จากนั้นเขาก็ลุกขึ้นยืนแล้วยกไม้กระดานปิดทางเข้าร้านออก

เจ้าอ้วนจินพุ่งพรวดเข้ามาในร้านพร้อมด้วยกองทัพชายอ้วนสหายของเขา ปู้ฟางคุ้นเคยกับคนพวกนี้เป็นอย่างดี จึงเดินเข้าครัวไปทำอาหารเพื่อนำออกมาให้ลูกค้า

โอวหยางเสี่ยวอี้มาถึงพร้อมสองพี่น้องตระกูลเซียว เซียวเยียนอวี่สวมผ้าคลุมหน้า แลดูอ่อนโยนสง่างามเช่นเดิม

หลังจากนั้นหลัวซานเหนียนก็มาถึงพร้อมสตรีขี้อายคนเมื่อวาน ทำให้ปู้ฟางประหลาดใจเล็กน้อย

“เถ้าแก่ปู้ เจวี้ยนเอ๋อร์อยากจะเจอท่านแน่ะ ท่านพอจะสะดวกหรือไม่”

ทันทีที่หลัวซานเหนียนก้าวเท้าเข้าร้านมา นางก็เริ่มตะโกนด้วยเสียงแปดหลอด สตรีนางนี้หน้าตาสวยน่ารักไม่หยอก แต่กลับไม่มีความอ่อนหวานเฉกเช่นสตรีคนอื่นๆ เลยแม้แต่น้อย…

เจวี้ยนเอ๋อร์เดินตามหลัวซานเหนียนมาด้วยท่าทางเอียงอาย พร้อมด้วยกล่องอาหารในมือ นางเดินเข้าร้านมาด้วยอาการหอบเล็กน้อย