ตอนที่ 176

เสน่ห์คมดาบ

ท่านแม่… 

 

 

อาจารย์… 

 

 

ขนตายาวๆ ของแคลร์เริ่มขยับเล็กน้อย 

 

 

“แคลร์!” เฟิงอี้เซวียนกำมือของแคลร์อย่างตื่นเต้น 

 

 

ในใจของเหลิ่งหลิงยวิ๋นก็โล่งใจเล็กน้อย 

 

 

แคลร์ลืมตาขึ้นช้าๆ 

 

 

ในสายตาไม่มีความสับสนไม่มีความสิ้นหวัง… 

 

 

มีเพียงความมุ่งมั่น! 

 

 

“แคลร์” เฟิงอี้เซวียนเรียกอย่างเป็นห่วง 

 

 

แคลร์หันหน้าไปมองเฟิงอี้เซวียนและเหลิ่งหลิงยวิ๋น แล้วส่งเสียงเบาๆ “อืม…” 

 

 

รอยยิ้มปรากฏบนใบหน้าของเฟิงอี้เซวียนรู้สึกโล่งใจราวกับยกภูเขาออกจากอก 

 

 

เหลิ่งหลิงยวิ๋นพูดเบาๆ “ในที่สุดเจ้าก็ฟื้นแล้ว” 

 

 

“อืม ข้าฟื้นแล้ว” แคลร์ค่อยๆ ลุกขึ้น เฟิงอี้เซวียนก็รีบก้าวไปช่วยแคลร์ 

 

 

“ทำให้พวกเจ้ากังวลเลยสินะ” แคลร์เอนหัวพิงหัวเตียงเบาๆ 

 

 

“ไม่เป็นไรก็ดีแล้ว” เฟิงอี้เซวียนและเหลิ่งหลิงยวิ๋นพยักหน้าเบาๆ 

 

 

“บอกข้าทีว่าตอนนี้สถานการณ์เป็นอย่างไรบ้าง?” ดวงตาสีเข้มของแคลร์ดูลึกล้ำ 

 

 

เฟิงอี้เซวียนและเหลิ่งหลิงยวิ๋นมองหน้ากัน 

 

 

ต้องพูดหรือ? 

 

 

แคลร์ถูกใส่ร้ายว่าเป็นฆาตกรที่ฆ่าคนที่ห่วงใยนางมากที่สุด ต้องบอกหรือไม่? 

 

 

เฟิงอี้เซวียนเลียริมฝีปากที่แห้งผากอย่างลังเล เหลิ่งหลิงยวิ๋นก็เงียบเช่นกัน 

 

 

“เจ้าคิดว่าข้าจะทำอะไรโง่ๆ หรือ?” ใบหน้าของแคลร์สงบลงและก็พูดประโยคนั้นออกมาเบาๆ 

 

 

“ข้ารู้ว่าเจ้าไม่ทำ แต่… ” เฟิงอี้เซวียนหยุดพูด แต่เขาไม่อยากบอกความจริงที่โหดร้ายเช่นนี้กับแคลร์หรอก นี่คือการโรยเกลือลงบนแผลของแคลร์ แต่ว่า หากตนเองไม่พูดแคลร์ก็จะรู้เรื่องนี้ในที่สุดอยู่แล้วถึงตอนนั้นจะยิ่งทำให้แคลร์เจ็บปวด 

 

 

“อย่างที่พวกเจ้าบอก ข้ายังมีเรื่องต้องทำอีกมากการตายของท่านแม่และอาจารย์ ข้าจะต้องชำระแค้นวิหารแห่งแสงให้ได้” เสียงของแคลร์สงบ แต่เย็นชาอย่างแปลกประหลาด 

 

 

เฟิงอี้เซวียนมองแคลร์และกัดริมฝีปาก 

 

 

แคลร์ไม่พูดอะไร และรอคำพูดของเฟิงอี้เซวียนอย่างเงียบๆ 

 

 

เฟิงอี้เซวียนและเหลิ่งหลิงยวิ๋นมองหน้ากันและในที่สุดเฟิงอี้เซวียนก็บอกคำประกาศของอันพาแกรนด์และวิหารแห่งแสงออกมาเสียงของเฟิงอี้เซวียนนั้นเบามากๆ และเขาก็ระมัดระวังกับการแสดงออกของแคลร์มากๆแต่แคลร์ก็ใจเย็นมากตั้งแต่ต้นจนจบเลย 

 

 

ในที่สุดเฟิงอี้เซวียนก็พูดจบ เขามองใบหน้าที่สงบของแคลร์อย่างเป็นห่วง มีความรู้สึกที่หลากหลายในใจของเขา 

 

 

แคลร์หันไปมองที่ทั้งสองคนเปิดริมฝีปากเล็กน้อยทั้งสองรู้สึกประหม่าแต่แคลร์กลับพูดกับเหลิ่งหลิงยวิ๋นเบาๆ “เหลิ่งหลิงยวิ๋น ซวนซวนล่ะ?” 

 

 

เหลิ่งหลิงยวิ๋นตะลึง เฟิงอี้เซวียนก็ตะลึง 

 

 

“เจ้าอยู่กับข้า ช่วยข้าไว้วิหารแห่งแสงจะปล่อยเจ้าไปได้อย่างไร? เจ้าไม่คิดถึงซวนซวนเลยหรือ?” หัวใจของแคลร์เป็นอ่อนไหว มองใบหน้าของเหลิ่งหลิงยวิ๋น และหัวใจของนางก็ร้อนเป็นไฟ รู้สึกถึงลางไม่ดี 

 

 

เหลิ่งหลิงยวิ๋นเงียบลง แต่ความเศร้าโศกลึกๆ ภายในแววตาของเขาไม่รอดพ้นไปจากสายตาของแคลร์ได้เลย 

 

 

เฟิงอี้เซวียนก็ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี 

 

 

แคลร์รู้ได้ทันที เด็กผู้บริสุทธิ์และไร้เดียงสาผู้นั้น หรือว่าจะ… 

 

 

“ข้าขอโทษ… ” แคลร์พูดอย่างเงียบๆ มีความเศร้าและกล่าวโทษตัวเองอยู่ในนั้น 

 

 

“ไม่ มันไม่มีอะไรเกี่ยวกับเจ้าเลย” เหลิ่งหลิงยวิ๋นถอนลมหายใจออก พร้อมกับรอยยิ้มจางๆ บนใบหน้าของเขา “นี่คือความปรารถนาของซวนซวนความปรารถนาสุดท้ายของนางคือให้ข้าออกจากวิหารแห่งแสงและได้ใช้ชีวิต ข้าคิดแล้ว ข้าจะทำให้นางสมหวัง” 

 

 

แคลร์และเฟิงอี้เซวียนมองใบหน้าที่ยิ้มจางๆ ของเหลิ่งหลิงยวิ๋น และในใจของพวกเขาก็ซับซ้อนมาก พวกเขาไม่เคยเห็นรอยยิ้มแบบนี้ นี่คือรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยพลังและความหวัง 

 

 

“ที่นี่มันคือที่ไหนกัน?” แคลร์มองไปรอบๆ ห้องนี้ไม่มีหน้าต่าง มีเพียงประตูหิน และรูเล็กๆ ที่ด้านบนสำหรับระบายอากาศ เฟอร์นิเจอร์ในห้องค่อนข้างเรียบง่ายมีเชิงเทียนสีเงินสามเหลี่ยมบนโต๊ะ 

 

 

“ห้องลับของครอบครัวข้าเอง” เฟิงอี้เซวียนพูดเบาๆ “อิทธิพลของวิหารแห่งแสงในประเทศลากัคนั้น ไม่สามารถมองข้ามได้ดังนั้น…” 

 

 

“แม้ว่าวิหารแห่งแสงและอันพาแกรนด์จะออกหมายจับ แต่พวกเขาไม่ระดมคนเพื่อตามล่าแคลร์ เพราะว่าสีของดวงตาและผมของแคลร์ได้เปลี่ยนเป็นสีดำแล้ววิหารแห่งแสงไม่สามารถระดมคนเพื่อจะตามล่าได้ ถ้าหากเป็นเช่นนั้นจะเป็นการเปิดโปงความเจ้าเล่ห์และความโหดร้ายของวิหารแห่งแสงดังนั้นคนที่มาตามล่าจะเป็นเพียงคนภายในของวิหารเท่านั้น”เหลิ่งหลิงยวิ๋นวิเคราะห์เบาๆ 

 

 

เฟิงอี้เซวียนและแคลร์นึกถึงวิหารแห่งแสงที่แอบตามล่าเด็กสาวผมดำตาดำนั้น ดวงตาของแคลร์ก็หม่นลงเล็กน้อย เคยไม่เคิดว่าเด็กสาวผู้นั้นจะเป็นตัวแทนของตัวนางเอง 

 

 

“พวกเจ้าออกไปก่อนเถอะ ข้าจะพักผ่อนสักหน่อย” แคลร์หลับตาลงช้าๆ และพูดเบาๆ 

 

 

เฟิงอี้เซวียนและเหลิ่งหลิงยวิ๋นมองหน้ากันทั้งคู่เห็นความกังวลในดวงตาของกันและกัน เมื่อมองใบหน้าที่สงบของแคลร์อีกครั้งทั้งสองก็เดินออกไปอย่างเงียบๆ 

 

 

หลังจากประตูปิดลง แคลร์ก็เอนหลังพิงหัวเตียงอย่างอ่อนแรงและค่อยๆลืมตาขึ้น 

 

 

ดวงตาเต็มไปด้วยความเย็นชาอย่างน่าทึ่ง! 

 

 

วิหารแห่งแสง! กอร์ตั้น ฮิลล์! 

 

 

ข้าจะกลับไป! 

 

 

ข้าจะกลับไปอย่างแน่นอน! 

 

 

แคลร์กำลังจดจ่ออยู่กับสภาพร่างกายของตนเอง และเมื่อตรวจดูแล้วแคลร์ก็ประหลาดใจเล็กน้อย กระจกดอกบัววิ่งวนอยู่ในร่างกาย อาการบาดเจ็บในร่างกายหายไปมากแล้ว 

 

 

“จี๊บๆ!” 

 

 

“ฮู่ๆ!” 

 

 

เสียงไป๋ตี้ร้องข้างหมอนของแคลร์เฮยหยู่ก็ร้องออกมาดังขึ้นอย่างไม่ยอม 

 

 

แคลร์ก้มลงมองไปที่เจ้าขนปุยเล็กๆ ทั้งสองด้วยรอยยิ้มจางๆ บนใบหน้า แล้วอุ้มขึ้นมาไว้ในอ้อมแขนและพูดเบาๆ “ขอบคุณพวกเจ้าทั้งสองที่ช่วยข้า” 

 

 

“ฮู่!” เฮยหยู่กระพือปีกอย่างภาคภูมิใจ 

 

 

“แต่ว่า พวกเจ้าทั้งสองเป็นใครกัน? ทำไมทั้งเทพีแห่งแสงและเทพเจ้าแห่งความมืดถึงรู้จักพวกเจ้าล่ะ” แคลร์มองเจ้าขนปุยน้อยทั้งสองในอ้อมแขนของนางอย่างสงสัย 

 

 

เจ้าขนปุยน้อยทั้งสองเงียบโดยพร้อมเพรียงกัน 

 

 

แคลร์เอนหลังมองเพดานเหนือศีรษะแล้วหลับตาลงช้าๆ 

 

 

กฎใหม่เพิ่งจะเริ่มต้น 

 

 

ประวัติศาสตร์ของแผ่นดินลังกาได้เปิดหน้าใหม่ในวันนี้แล้ว 

 

 

สามวันต่อมารถม้าธรรมดาๆ คันหนึ่งขับออกไปจากประตูเมืองหลวงของลากัคอย่างช้าๆ 

 

 

ท้องฟ้าสีครามไร้เมฆต้นไม้ใหญ่ริมถนนเขียวชอุ่มและนกบนกิ่งไม้ต่างกระโดดโลดเต้นและส่งเสียงร้องเจื้อยแจ้ว 

 

 

บนถนนราบเรียบมีรถม้าวิ่งผ่านไปมา 

 

 

ในรถม้าธรรมดานั้นแคลร์เอนตัวอยู่ในรถม้าอย่างเงียบๆ มีเฟิงอี้เซวียนและเหลิ่งหลิงยวิ๋นอยู่ในรถม้าด้วย 

 

 

“ข้าไม่สามารถอยู่ที่นี่ได้อีกแล้วประการแรกข้าไม่อยากลากตระกูลเฟิงของเจ้าให้จมลง ประการที่สองข้าต้องการจะแก้แค้น” เมื่อสองวันก่อนแคลร์ปฏิเสธการรั้งไว้ของอันลิซ่า อันลิซ่าไม่ได้พูดอะไรเพียงแค่กอดแคลร์และยิ้มให้ตอนนี้ลากัคไม่สามารถต่อสู้กับอันพาแกรนด์ได้ไม่ต้องพูดถึงวิหารแห่งแสงเลย แคลร์รู้ถึงสิ่งเหล่านี้เป็นอย่างดี นางไม่ได้บอกให้ตระกูลหลี่รู้ด้วยซ้ำว่านางอยู่ในตระกูลเฟิง ตระกูลเฟิงและตระกูลหลี่ไม่สามารถรับผลกระทบนี้ได้ หากตนเองยังไม่แข็งแกร่งอย่างแท้จริง ก็ไม่สามารถเผชิญหน้ากับอันพาแกรนด์และวิหารแห่งแสงได้ แคลร์มีแผนในใจแล้ว 

 

 

ครั้งนี้เฟิงอี้เซวียนติดตามอยู่ข้างกายแคลร์แคลร์ไม่ได้คัดค้านอะไร และก็ไม่ได้คิดจะให้เฟิงอี้เซวียนไปไหนด้วย 

 

 

จุดมุ่งหมายของทั้งสามไม่มีการเปลี่ยนแปลง 

 

 

คือที่โยซาลี่สถานที่ที่พลังของวิหารแห่งแสงเข้ามาได้น้อยที่สุด นอกจากนี้ยังเป็นประเทศที่ยากจนที่สุดในแผ่นดินลังกาด้วย 

 

 

ประเทศนี้ประกอบด้วยทะเลทรายขนาดใหญ่และโอเอซิสไม่กี่แห่งสภาพแวดล้อมทางภูมิศาสตร์ที่ร้ายแรงและผู้อยู่อาศัยที่ยากจนทำให้วิหารแห่งแสงไม่ให้ความสนใจกับประเทศนี้มากนัก เฉพาะเมืองหลวงของประเทศเท่านั้นที่มีห้องโถงสาขาที่เป็นสัญลักษณ์อยู่ 

 

 

ลมพัดทรายโหมกระหน่ำทั่วทะเลทราย เหนือศีรษะคือแสงแดดที่แผดจ้า 

 

 

ในทะเลทรายอันกว้างใหญ่อูฐสามตัวที่แบกคนไว้บนหลังเดินไปข้างหน้าอย่างช้าๆ ล้อมรอบด้วยกระบองเพชรขนาดใหญ่ ไม่มีสิ่งมีชีวิตเลยลมพัดทรายสีเหลืองที่บางครั้งก็เผยให้เห็นกระดูกหนาทึบใต้ทรายสีเหลือง นี่คือพื้นที่อันตราย 

 

 

ไกลออกไปทรายสีเหลืองก็ลอยขึ้นมา มีควันโขมงและใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ความจริงแล้วมันเป็นทีมม้าที่แข็งแรง มีดาบและรองเท้าบู๊ตหนัง พวกโจรม้า! 

 

 

“เจ้านายดูสิสามคนนั้น คนที่อยู่ตรงกลางต้องเป็นผู้หญิงแน่นอน แม้ว่าข้าจะไม่เห็นหน้า แต่ข้าก็คิดว่าร่างนั้นเป็นหญิงงามแน่ๆ ” ชายน่าสมเพชวิ่งไปตรงหน้ากลุ่มโจรม้าแล้วพูดยืนยันกับคนรูปหล่อข้างๆ เขา เห็นได้ชัดว่าสามคนนี้ไม่ใช่แกะอ้วน แต่ถ้าหญิงผู้นั้นเป็นหญิงงาม ก็จะทำเงินได้มากเลย 

 

 

และคงไม่มีใครคาดคิดว่าชายหน้าตาหล่อเหลาผู้นี้คือผู้เป็นใหญ่ของทะเลทรายแห่งนี้ หัวหน้ากลุ่มโจรม้า 

 

 

หลงซ่าซือพยักหน้าเขาไม่ได้สงสัยในคำพูดของชายน่าสมเพชที่อยู่ข้างๆ เขา แม้ว่าชายผู้นี้จะเลวร้ายมาก แต่สายตาของเขาไม่เคยมองพลาดเลย 

 

 

โจรม้าส่งเสียงอย่างแปลกประหลาดโบกดาบในมือของพวกเขาและควบม้าไปที่หน้าคนทั้งสาม 

 

 

“หญิงสาวที่อยู่ตรงกลางให้อยู่นี่ที่ อีกสองคนไปซะ” หลงซ่าซือตะคอกอย่างเย็นชา 

 

 

“เจ้า…” เสียงหวานเพียงแค่เปล่งออกมาก็ ทำให้หัวใจของโจรม้าสั่นสะท้าน ผู้ที่มีน้ำเสียงเช่นนี้จะมีรูปลักษณ์แบบไหนกันนะ? 

 

 

“เจ้าคือหลงซ่าซือลมกรดทะเลทรายใช่หรือไม่” เสียงหวานพูดเบาๆ และพูดชื่อของหลงซ่าซือออกมา 

 

 

หลงซ่าซือผงะไปครู่หนึ่งแล้วหัวเราะเสียงดัง “ทำไมสาวงามถึงรู้จักชื่อของข้าแล้วล่ะ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ก็ลงมาแล้วตามข้าไปเสียดีๆ” 

 

 

“เจ้างี่เง่าที่ถูกใส่ร้ายแล้วกลายเป็นโจรม้า สูญเสียบ้านจะหยิ่งยโสอะไรเช่นนี้ล่ะ?” แต่ประโยคถัดมาของน้ำเสียงหวานนั้นรุนแรงมาก 

 

 

สีหน้าของพวกโจรม้ารอบๆ หลงซ่าซือเปลี่ยนไปทันที ทุกคนรู้ว่านี่เป็นจุดอ่อนของเจ้านายของพวกเขา ไม่ควรไปแตะต้องเมื่อพูดถึงเรื่องนี้ เจ้านายจะแทบคลั่งผลที่ตามมาอาจเป็นหายนะเลย 

 

 

แต่ความประหลาดใจของทุกคนก็คือหลงซ่าซือไม่ได้ทำรุนแรง แต่เขาเหวี่ยงมีดชี้ไปที่คนตรงกลางอย่างระมัดระวังและพูด “เจ้าเป็นใคร?” 

 

 

“คนที่มาช่วยเจ้า” เสียงน่าฟังตอบแผ่วเบา จากนั้นคนที่อยู่ตรงกลางก็ค่อยๆยกหมวกขึ้นเผยให้เห็นใบหน้าที่ไม่มีใครเทียบได้ ผมสีดำสนิทดวงตาสีดำล้ำลึก เด็กสาวตรงหน้าดูมีเสน่ห์มากแล้วถ้าโตขึ้น นางจะมีเสน่ห์แค่ไหนกันนะ?