บทที่ 750 อาหารมีพิษ

แฟนผมกลายเป็นซอมบี้

บทที่ 750 อาหารมีพิษ โดย Ink Stone_Fantasy

ในที่สุดเจ้านักวิจัยก็เริ่มมีสีหน้าตื่นตระหนกขึ้นมา เขาจ้องหลิงม่ออย่างเหลือเชื่อ พลางยื่นมือออกไปทุบก๊อกน้ำก๊อกนั้นรัวๆ

แก๊สสีเทาเพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อยๆ แต่หลิงม่อกลับยังคงยืนนิ่งอยู่หน้าประตู และจ้องหน้าเขาอย่างงุนงงเล็กน้อย

ถึงแม้จะสังเกตอารมณ์จากใบหน้าของซอมบี้ได้ยาก แต่พอถูกหลิงม่อจ้องอยู่อย่างนี้ เจ้านักวิจัยกลับรู้สึกกดดันมาก

เหงื่อเย็นๆ เริ่มซึมออกมาตามร่างกาย ใบหน้าที่เดิมซีดขาวตอนนี้กลับกลายเป็นสีแดงเถือกไปทั้งดวง

“นี่มันกิดอะไรขึ้นกันแน่เนี่ย!” เจ้านักวิจัยลนลาน ส่วนหลันหลันนั้นอึ้งค้างไปเรียบร้อยแล้ว

ที่เธอกล้าพาหลิงม่อเข้ามาในนี้ ก็เพราะมีด่านป้องกันสุดท้ายอยู่ที่นี่

แต่ตอนนี้ อุบายสุดท้ายกลับไม่ได้ผลซะงั้น!

หลันหลันรู้สึกสิ้นหวังขึ้นมาทันที ในใจพลางคิด “ฉันตายแน่ๆ…”

พอคิดว่าตัวเองต้องถูกฉีกร่างเป็นสองท่อนในไม่ช้านี้ ขอบตาของหลันหลันก็เริ่มแดงรื้นขึ้นมาอีกครั้ง

ไม่คิดเลยว่าพลาดท่าครั้งเดียวยังไม่พอ แต่นี่เธอกลับพลาดท่าถึงสองครั้งติดกัน…นี่มันเหมือนเธอรนหาที่ตายเองชัดๆ…

“เป็นไปไม่ได้! นี่มันเป็นไปไม่ได้! ขอเพียงสูดดมเข้าไปนิดเดียวก็ล้มได้แล้ว ฉันเคยทดลองใช้มาตั้งหลายครั้งแล้ว!” เจ้านักวิจัยตบหัวก๊อกน้ำจนแทบจะพังคามือแล้ว

และหลิงม่อที่งุนงงอยู่ในตอนแรก พอได้ยินอย่างนี้เขาก็เข้าใจทันที

ปัญหาไม่ได้อยู่ที่แก๊สชนิดนี้ แต่อยู่ที่ตัวเขาเอง…

เมื่อกี้สีหน้าของเจ้านักวิจัยเต็มไปด้วยความมั่นใจเต็มร้อย เห็นได้ชัดว่าเขาเชื่อมั่นในแก๊สชนิดนี้มากขนาดไหน

ที่เขาใช้มันในสถานการณ์อย่างนี้ได้ อย่างน้อยมันก็บ่งบอกถึงสองเรื่อง หนึ่ง คือแก๊สชนิดนี้ไม่ส่งผลกระทบต่อมนุษย์ สอง คือ มันสามารถทำให้เห็นผลทันตา…

ไม่แน่ในเสี้ยววินาทีที่แก๊สถูกปล่อยออกมา เจ้านักวิจัยคนนี้อาจกำลังลุ้นในใจอย่างย่ามใจว่า “ล้มลงไปซะ”!

น่าเสียดาย อย่าว่าแต่ล้มเลย หลิงม่อไม่มีแม้แต่ปฏิกิริยาตอบสนองซักนิดด้วยซ้ำ! ตัวเขาเองก็แปลกใจเช่นกัน จึงรีบสังเกตความผิดปกติต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นในร่างกายตัวเอง แต่ผลปรากฏว่า หลังจากตรวจสอบดูหนึ่งรอบ หลิงม่อก็ต้องประหลาดใจมาก

แก๊สสีเทาชนิดนี้ไม่ใช่ว่าไร้ประสิทธิภาพ แต่ในความจริง ประสิทธิภาพของมันค่อนข้างน่าทึ่งเลยทีเดียว! ไม่รู้ว่ามันมีส่วนประกอบอะไรบ้าง เพราะพอมันถูกสูดดมเข้าไปในร่างกายของซอมบี้ มันกลับสามารถส่งผลคล้ายยากล่อมประสาทได้อย่างน่าเหลือเชื่อ ทันทีที่สูดดมเข้าไป คลื่นดวงจิตของซอมบี้ก็จะเกิดปัญหา สุดท้ายมันก็จะส่งผลให้มันสูญเสียความสามารถในการต่อต้านไปชั่วขณะ

วิธีการอย่างนี้ใช้ได้ผลดีกับซอมบี้ระดับต่ำ แต่สำหรับหลิงม่อ มันไม่เพียงไม่ใช่อุปสรรค แต่กลับเป็นการช่วยเหลือเขาโดยไม่ได้ตั้งใจต่างหาก!

เดิมทีเพราะถูกก่อกวนรุนแรงขึ้น ทำให้การควบคุมหุ่นซอมบี้เป็นเรื่องยากขึ้น แต่ตอนนี้พอร่างหุ่นซอมบี้ถูกสะกดจิตให้หลับใหลแล้ว หนวดสัมผัสทางจิตของหลิงม่อที่เป้นพลังงานทางจิตจากภายนอก จึงแทรกแซงดวงจิตของมันได้ง่ายขึ้นมาก!

เจ้านักวิจัยไม่เพียงเลือกใช้แก๊สนี้ผิดคน แต่ยังเป็นการยกหินขึ้นมาแต่กลับหล่นทับเท้าตัวเอง! ( ยกหินขึ้นมาแต่กลับหล่นทับเท้าตัวเอง หมายถึง ทำอะไรแล้วผลร้ายกลับมาสู่ตัวเอง คล้ายสุภาษิตไทยคำว่า ขว้างงูไม่พ้นคอ // ที่มา : 沪江泰语 )

การควบคุมของหลิงม่อราบรื่นขึ้น ซึ่งนั่นแสดงว่าสถานการณ์ของสองคนนี้ย่ำแย่ลงกว่าเดิม…

“แต่ความสามารถของคนคนนี้ไม่ธรรมดาจริงๆ ถึงแม้แก๊สชนิดนี้จะได้ผลกับซอมบี้ระดับสูงไม่มาก แต่ซอมบี้ระดับต่ำคือองค์ประกอบสำคัญของฝูงซอมบี้ สำหรับผู้รอดชีวิต แก๊สชนิดนี้มีประโยชน์มากจริงๆ…”

ตอนนี้เจ้านักวิจัยเหงื่อท่วมศีรษะไปแล้ว แม้แต่ขาทั้งสองข้างก็กำลังสั่นพั่บๆ เขาหันมามองหลิงม่อ จากนั้นก็หันไปมองเครื่องเตือนภัยสีแดงที่อยู่ไม่ไกล

“อย่าขยับ” หลิงม่อกลับสังเกตเห็นการเคลื่อนไหวของเขาอย่างรวดเร็ว และพูดขึ้น

ขณะเดียวกับที่พูด เขาดึงตัวหลันหลันออกมาข้างหน้า แล้วบอกว่า “ถ้าไม่อย่างนั้นฉันจะกินเธอ”

“ไม่!” เจ้านักวิจัยเกร็งไปทั้งตัว จากนั้นก็รีบควานหาบางสิ่งในกระเป๋าอย่างรีบร้อน

หลิงม่อกลับไม่ได้ห้ามเขา คนคนนี้ไม่ได้เอามือล้วงเข้าไปในกระเป๋าทันที เห็นชัดว่าเขาไม่ต้องการให้หลิงม่อเข้าใจผิด

สิ่งของมากมายหล่นลงบนพื้น เจ้านักวิจัยค่อยๆ นั่งลงไปอย่างระมัดระวัง แล้วหยิบกระเป๋าใบเล็กๆ ขึ้นมาแกว่งไปแกว่งมาตรงหน้า

“อันนี้…ให้แก อย่ากินลูกฉันเลย” เสียงของเจ้านักวิจัยแหบแห้งมาก แค่ฟังก็รู้แล้วว่าเป็นเพราะสูบบุหรี่จัดเกินไป

หลิงม่อเหลือบมองของที่อยู่ข้างในแล้วถึงกับพูดไม่ออก

ก้อนเหนียวหนืด…ไม่คิดเลยว่าเจ้านักวิจัยถึงกับเอาก้อนเหนียวหนืดมาทำการแลกเปลี่ยน…คิดว่าซอมบี้เป็นพวกเห็นแก่กินรึไง!

แต่คิดดูอีกที ซอมบี้ข้างกายเขาแต่ละตัวก็ดูเหมือนจะเป็นพวกเห็นแก่กินกันทั้งนั้น…

เดี๋ยวนะ…ลูกสาวงั้นหรอ!

สองคนนี้หน้าตาไม่เห็นเหมือนกันซักนิดเลยนี่!

แต่คิดดูดีๆ พวกเขากลับนิสัยเหมือนกันมาก!

แล้วก็คงจะมีแต่พ่อประเภทนี้ ที่จะปล่อยให้ลูกสาวตัวเองออกไปวิ่งเล่นในสถานที่อย่างข้างนอกนั่น…

“จะว่าไป ข้างนอกนั่น…คงไม่ใช่สวนสนุกที่เขาตั้งใจสร้างให้ลูกสาวตัวเองเล่นหรอกนะ?”

หลิงม่อนึกแล้วขนลุก แล้วเขาก็ยิ่งรู้สึกสับสนกว่าเดิมเมื่อมองหน้าเจ้านักวิจัยอีกครั้ง “ฉันไม่กินสิ่งนี้”

ก้อนเหนียวหนืดอยู่ตรงหน้าแต่กลับไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองใดๆ นี่ไม่ใช่พฤติกรรมของซอมบี้ทั่วไป

แต่เมื่อมีข้ออ้างอย่างการกลายพันธุ์ส่วนสมอง หลิงม่อจึงเริ่มขี้เกียจรักษาภาพพจน์ซอมบี้ของตัวเอง

เจ้านักวิจัยมองหน้าหลันหลัน แล้วบอกว่า “ถ้าอย่างนั้น…กินฉันสิ!”

“ใครจะกินแกกัน! ถ้าเปรียบเทียบกับการทำอาหาร ลูกสาวแกอย่างมากก็เหมือนอาหารที่ปรุงไม่สุกเพราะความร้อนไม่พอ แต่แกกลับเหมือนอาหารที่เป็นพิษ!”

โดยเฉพาะเมื่อเจ้านักวิจัยแหวกคอเสื้อตัวเอง เผยให้เห็นผิวหนังแห้งเหี่ยวหุ้มกระดูกรวมถึงคราบของเหลวบางอย่างที่เลอะติดอยู่…

หลิงม่อเริ่มทำอะไรไม่ถูก เขาละสายตาออกไปตรงๆ แล้วบอกว่า “แกออกมาก่อน”

เจ้านักวิจัยกับหลันหลันต่างพากันอึ้ง ไม่คิดว่าเจ้าซอมบี้ตัวนี้จะเจรจาง่ายขนาดนี้

อีกอย่าง ทำไมท่าทางของมันถึงได้แปลกไปอย่างนั้นล่ะ ดูเหมือน…จะนุ่นนวลขึ้นมาเล็กน้อย?

“นั่งตรงนี้”

หลิงม่อลากเก้าอี้ตัวหนึ่งมาไว้กลางห้อง แล้วพูดขึ้น

ที่เขาทำอย่างนี้ก็เพื่อเป็นการรับประกันว่าทุกการเคลื่อนไหวของเขาจะอยู่ภายใต้สายตาของหลิงม่อ ขณะเดียวกันก็เป็นการหลีกเลี่ยงไม่ให้เขาสัมผัสวัตถุใดๆ อีก

ถึงแม้ตอนนี้เขาจะดูยอมจำนนแต่โดยดี แต่หลิงม่อไม่มีทางลืมทักษะการแสดงอันยอดเยี่ยมที่เขาโชว์ให้เห็นเมื่อกี้แน่นอน

เจ้านักวิจัยนั่งลงไปอย่างว่าง่าย ส่วนหลิงม่อก็ยืนจับกุมหลันหลันอยู่ตรงหน้าเขา

เห็นลูกสาวตัวเองถูกจับตัวไว้เหมือนลูกแมวอย่างนั้น สีหน้าของเจ้านักวิจัยดูร้อนใจมาก

หากคิดในแง่ดี ตอนนี้เจ้าซอมบี้ตัวนี้ยังไม่มีทีท่าว่าจะกินเธอ แต่หากคิดในแง่ร้าย…ยังไงมันก็ยังเป็นซอมบี้นะ!

แต่ว่า ในเมื่อซอมบี้ตัวนี้ไม่ได้ลงมือทันที ก็แสดงว่ายังมีโอกาสเจรจาต่อรองอยู่

“คือว่า…แกต้องการอะไร?” เจ้านักวิจัยถาม

“ต้องการถามอะไรซักหน่อย” หลิงม่อครุ่นคิด แล้วบอกว่า “ฉันอยากรู้เรื่องทั้งหมดเกี่ยวกับตัวเอง”

เจ้านักวิจัยอึ้ง แต่ไม่นานเขาก็เผยสีหน้าเหมือนเข้าใจกระจ่างชัด “เข้าใจแล้ว…”

“สมองของเขากลายพันธุ์ไปแล้ว” หลันหลันพูดแทรก

“พอดูออกแล้วล่ะ…” เจ้านักวิจัยพยักหน้า

เขาจ้องหลิงม่ออยู่ครู่หนึ่ง แล้วไม่นานดวงตาของเขาก็เปล่งประกายอย่างไม่รู้ตัว “ทั้งที่เป็นซอมบี้ระดับต่ำแต่กลับกลายพันธุ์จนถึงขั้นนี้ได้ ร้ายกาจจริงๆ น่าเสียดายที่ฉันไม่เจอแกให้เร็วกว่านี้…แกรู้ไหม? ฉันนี่แหละที่เป็นคนสร้างแกขึ้นมา! ถึงฉันจะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ แต่ฉันนี่มันอัจฉริยะจริงๆ! แกล่ะ แกสัมผัสได้ถึงสายสัมพันธ์พิเศษที่มีกับฉันใช่ไหม ถึงได้…”

“ตกลงใครถามใครกันแน่!” หลิงม่อพูดขึ้นอย่างหงุดหงิด

พ่อลูกคู่นี้ความคิดไม่เหมือนชาวบ้านจริงๆ ขอเพียงไม่ได้อยู่ต่อหน้าความตาย สมองของพวกเขาก็ไม่ยอมหยุดทำงาน!

โดยเฉพาเจ้านักวิจัยคนนี้ นี่มันใช่เวลามาตื่นเต้นหรือภูมิใจในตัวเองไหมเนี่ย?! แล้วยังไอ้สายสัมพันธ์พิเศษอะไรนั่นอีก…

หลิงม่อตัดสินใจพูดออกไปตรงๆ โดยไม่อ้อมค้อม “บอกฉันเกี่ยวกับเรื่องเชื้อไวรัส และการวิจัยของพวกแก”

“ถ้าฉันบอกแก แกจะไม่กินพวกฉันใช่ไหม?” เจ้านักวิจัยถาม

“ใช่” หลิงม่อพยักหน้า

เจ้านักวิจัยถูฝ่ามือไปมาอย่างดีใจ แล้วพยักหน้า “แกรับปากอย่างนี้ก็ดี!”

แม้แต่หลันหลันเองก็ผ่อนลมหายใจตามไปด้วย แค่ไม่โดนกินก็พอแล้ว!

ส่วนเรื่องพวกนั้น…สำหรับผู้รอดชีวิตทั่วไป เรื่องพวกนั้นถือเป็นความลับสุดยอด แต่ตอนนี้ฝ่ายที่ตั้งคำถามเป็นซอมบี้ตัวหนึ่ง ดังนั้นเรื่องจึงต่างออกไปโดยสิ้นเชิง

ถึงแม้จะบอกเรื่องทั้งหมดกับมัน แต่มันจะเอาความลับไปเผยแพร่ที่ไหนได้ล่ะ?

“พูดเรื่องเชื้อไวรัวก่อน” หลิงม่อบอก

“เชื้อไวรัสหรอ…พูดถึงเจ้าเชื้อไวรัสตัวนี้ ก่อนอื่นต้องพูดเรื่องแหล่งกำเนิดของมันก่อน แต่มันเป็นเรื่องที่น่าแปลกมาก เพราะเชื้อไวรัสตัวนี้ราวกับผุดขึ้นมาจากอากาศ ตอนแรกฉันตั้งสมมติฐานเอาไว้ว่ามันเป็นสิ่งที่กลายพันธุ์มาจากเชื้อไวรัสบางชนิดที่มีอยู่แล้วหรือเปล่า แต่หลังจากทำการทดลองมามากมาย กลับพบว่ามันเป็นเชื้อไวรัสสายพันธุ์ใหม่จริงๆ”

พอพูดถึงเรื่องเชื้อไวรัส เจ้านักวิจัยก็ดูกระตือรือร้นขึ้นมาทันที โดยเฉพาะเมื่อฝ่ายที่เขาเล่าให้ฟังเป็นซอมบี้ เขายิ่งรู้สึกตื่นเต้นกว่าเดิม

“บอกตามตรง ฉันทำงานสายนี้มาก็เกือบสามสิบปีแล้ว แต่ยังไม่เคยเห็นเชื้อไวรัสชนิดนี้มาก่อนเลยทั้งในและต่างประเทศ!”

“เอ่อ…ตกลงแกทำงานเป็นอะไรกันแน่?” จู่ๆ หลิงม่อก็ถามขึ้น

“ฉัน? เฮ้อ เรื่องนี้ไม่น่าพูดถึงเท่าไหร่หรอก ฉันก็เป็นแค่รองอธิการบดีคณะวิทยาศาสตร์สาขาย่อยของที่นี่ หน้าที่ของฉันคือดูแลห้องทดลองสำคัญของประเทศ XX ฉันเคยตีพิมพ์วิทยานิพนธ์ในต่างประเทศไม่กี่เรื่อง เคยได้รับหน้าที่เป็นศาสตราจารย์วิทยากรรับเชิญของมหาลัย XX และเป็นกรรมการในคณะกรรมการระดับประเทศของประเทศ XX…” เจ้านักวิจัยพูดเหมือนไม่แยแสเท่าไหร่

แต่พอหลิงม่อได้ยินคำว่า “รองอธิการบดี” เขาก็ไม่ได้ฟังที่เหลืออีก

ถึงแม้จะมีคำว่า “รอง” อยู่ด้านหน้าตำแหน่ง แต่ฟังดูร้ายกาจมากเลยนะเนี่ย!

ไม่น่าล่ะนิพพานถึงได้พัฒนามาไกลขนาดนี้ ที่แท้พวกเขาก็ตามหารองอธิการบดีที่ยังมีชีวิตอยู่จนเจอนี่เอง!

แต่คนที่ตะลึงมีแค่ร่างจริงอย่างหลิงม่อเท่านั้น เพราะหุ่นซอมบี้ของเขายังคงมีสีหน้าเรียบเฉย

“อ้อ พูดต่อสิ”

เจ้านักวิจัยยิ้มแหยๆ แล้วบอกว่า “เชื้อไวรัสชนิดใหม่นี้เป็นเชื้อไวรัสกลายพันธุ์ขั้นสูง จุดนี้ฉันคิดว่าแกคงเห็นจากร่างกายตัวเองแล้ว การกลายพันธุ์ของมันเต็มไปด้วยความเป็นไปได้ที่ไร้ขีดจำกัด ซึ่งจุดนี้แหละที่ทำให้มันน่าหลงใหลมากที่สุด…”

จากที่เจ้านักวิจัยบอก แนวทางหลักในการวิจัยของนิพพานมุ่งเป้าไปทางจะใช้ประโยชน์จากเชื้อไวรัสได้อย่างไร

พอเห็นสิ่งมีชีวิตที่มีพลังต่อสู้อันแข็งแกร่งขึ้นเพราะเชื้อไวรัว พวกเขาจึงรวบรวมพลังเพื่อวิจัยและสร้างอาวุธมีชีวิตที่ฟังคำสั่งของมนุษย์ได้

แต่นี่เป็นเพียงด้านเดียว เพราะระหว่างการำทำวิจัย พวกเขาเองก็หวังว่าจะค้นหาวิธีกำจัดเชื้อไวรัสชนิดนี้ให้หายสาบสูญไปได้เหมือนกัน

“เป็นความหวังของแก หรือความหวังของบอสใหญ่ที่นี่?” หลิงม่อถาม

เจ้านักวิจัยมองหลิงม่ออย่างผประหลาดใจเล็กน้อย แล้วบอกว่า “เขาเองก็คงจะหวังเหมือนกัน อย่างน้อยเขาก็ไม่อยากกลายพันธุ์”

“ถ้าอย่างนั้นแกวิจัยไปเพื่ออะไร?” หลิงม่อกวาดตามองไปรอบข้าง

ตำแหน่งในนิพพานของนักวิจัยคนนี้สูงมาก แต่คุณภาพชีวิตกลับไม่ได้ดีอย่างที่คิด แม้แต่บุหรี่บนโต๊ะก็ไม่ใช่ยี่ห้อดีๆ…

“เพราะความสนใจไง” เจ้านักวิจัยตอบพร้อมหัวเราะ

—————————————————————————–