หยางเสียวจิ่นมองไปที่เริ่นเสี่ยวซู่ พวกมันเล็งเป้ามาที่เธอเพราะเธอไม่ใช่พลเมืองของป้อมปราการเนี่ยนะ เขาพูดบ้าอะไรอยู่เนี่ย!
ทันใดนั้นเริ่นเสี่ยวซู่ก็โพล่งว่า “เจ้ากลุ่มตัวทดลองนี่กำลังโตแถมแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ ตอนที่ฉันไปช่วยเธอ ฉันเห็นตัวทดลองฉีดอะไรบางอย่างใส่มนุษย์ธรรมดาด้วย ตอนที่สารเหลวสีเทานั่นเข้าร่างเขา เขาก็กลายเป็นตัวทดลองไปเลย”
หยางเสียวจิ่นที่เพิ่งเคยได้ยินเรื่องนี้จึงตกตะลึงไป “ถ้าพวกมันฉีดยานั่นใส่ชาวป้อมปราการทุกคน แบบนี้ไม่ใช่ว่าจะมีตัวทดลองเป็นแสนๆ ตัวไปเลยเหรอ ไม่สิ พวกมันน่าจะเลือกคนที่ฉีดด้วย”
“ใช่” เริ่นเสี่ยวซู่เอ่ย “พวกมันน่าจะเลือกเหยื่อที่จะฉีดยาด้วย แต่พวกเรายังไม่รู้ว่ามันมีเงื่อนไขอะไรบ้าง ตราบใดที่เรารู้ว่าตัวทดลองกำเนิดมาจากไหน พวกเราก็น่าจะเข้าใจว่ามันเลือกเหยื่อยังไง หลังป้อม 113 เกิดภัยพิบัติ มีผู้รอดชีวิตหลายพัน แต่ว่าจำนวนของตัวทดลองเพิ่มราวๆ พันกว่าเท่านั้นเอง”
หยางเสียวจิ่นพลันเอ่ย “พวกเราได้ข้อมูลเกี่ยวกับบริษัทหัวจ่งมา ดูเหมือนว่าแล็บในเขาจิ้งซานจะเกี่ยวข้องกับพวกนั้น ก่อนจะเกิดภัยพิบัติแล็บนี้เป็นของพวกเขา แต่หลังจากนั้นห้องแล็บก็หายสาบสูญไปเลย งานวิจัยส่วนนี้และอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องก็หายไปด้วย”
“แล้วพวกเธอรู้หรือเปล่าว่าที่นั่นทำการทดลองอะไรอยู่กันแน่” เริ่นเสี่ยวซู่ถาม
“ไม่รู้ รู้แค่ว่าเป็นการทดลองเกี่ยวกับผู้ป่วยที่เป็นโรคมะเร็ง ผู้ป่วยโรคมะเร็งรู้ตัวดีว่าอยู่บนโลกได้อีกไม่นาน เลยตัดสินใจขายตัวเองให้บริษัทหัวจ่ง ทิ้งเงินก้อนใหญ่ไว้ให้ครอบครัว” หยางเสียวจิ่นตอบ
ทันใดนั้นเองแผลของเริ่นเสี่ยวซู่ก็ปวดจี๊ดขึ้นมาอีกครั้ง เขาเอายาดำออกมาจากพระราชวังทาให้ตัวเอง “เธอก็น่าจะทายาบนแผลหน่อยนะ เจ็บตรงไหนบ้างล่ะ”
หยางเสียวจิ่นตอบ “เอายามา ฉันทาเองได้”
เริ่นเสี่ยวซู่ส่งขวดยาดำให้หยางเสียวจิ่น เขาอยากจะบอกราคาค่ายาเสียหน่อย แต่สุดท้ายก็ไม่ได้พูดออกไป
จากนั้นเขาก็มองหยางเสียวจิ่นเป่าเทียนดับแล้วทาแผลตัวเองในความมืด “เคยได้ยินมาว่ายาดำของนายมันมหัศจรรย์มาก แต่ไม่คิดเลยว่าจะได้ผลดีขนาดนี้”
“อืม…” เริ่นเสี่ยวซู่ถามท่ามกลางความมืดว่า “มีแผลตรงไหนเอื้อมไม่ถึงไหม ให้ฉัน…”
เกิดเสียงครูด หยางเสียวจิ่นใช้ไม้ขีดไฟจุดเทียนอีกครั้ง เริ่นเสี่ยวซู่ก้มหน้าก้มตาทายาให้ตัวเองต่อ
หยางเสียวจิ่นมองเริ่นเสี่ยวซู่ยกเสื้อขึ้น เผยให้เห็นรอยแผลลึกสี่รอยที่มีเลือดเต็มไปหมดตรงหน้าท้อง น่าจะเป็นรอยกรงเล็บของตัวทดลอง โชคดีที่อวัยวะภายในไม่ได้รับบาดเจ็บไปด้วย เธอถามออกมาอย่างแปลกใจ “เพิ่งมานึกปวดแผลตอนนี้เหรอ”
เริ่นเสี่ยวซู่เพิ่งคุยกับเธออย่างลื่นปากไปเอง ใบหน้าเขาไม่เผยให้เห็นว่าเจ็บอยู่เลย
เขาทายาดำไป ก็พูดเสียงนิ่งไปด้วยว่า “ฉันชินแล้วน่ะ”
‘ชิน’ คำนี้มีพลังไม่น้อย ความขมขื่นทุกข์ตรมตลอดกว่าสิบปีที่ผ่านมาสรุปอยู่ในสองคำนี้
เคยชินกับความเจ็บปวด
เคยชินกับการได้รับบาดเจ็บ
เคยชินกับการต้องทนเจ็บ
ท่ามกลางแสงไฟนี้ หยางเสียวจิ่นเห็นว่าหน้าผากของเริ่นเสี่ยวซู่หลั่งเหงื่อไม่หยุด แถมริมฝีปากก็ซีดขาว ดูก็รู้ว่าอาการบาดเจ็บร้ายแรงมาก
เธอดึงยาดำไปจากเริ่นเสียวซู่ ดึงเสื้อเขาขึ้น เธอเห็นรอยแผลสิบกว่ารอยอยู่ทั่วร่าง หยางเสียวจิ่นว่า “ฉันทาให้”
เริ่นเสี่ยวซู่ไม่พูดอะไร ปล่อยให้หยางเสียวจิ่นลูบไปตามรอยแผล
มือของเธอไม่ได้เรียบนุ่มแม้แต่น้อย ที่จริงมือของเธอด้านไปหมด น่าจะเป็นผลจากการฝึกฝนอันเข้มข้นมาตลอด
จริงๆ แล้วเริ่นเสียวซู่รู้ตั้งแต่อยู่ในเขาจิ้งซานว่าหยางเสียวจิ่นไม่ได้เป็นเด็กสาวที่อ่อนแอบอบบางเหมือนกับเด็กสาวคนอื่นๆ
“เจ็บมากไหม ถ้าฉันมือหนักไปก็บอกนะ” หยางเสียวจิ่นพูดเสียงนุ่ม “หันหลังมา ที่หลังนายก็มีแผลเหมือนกัน” เสียงของหยางเสียวจิ่นฟังไม่สั่นไหว
เริ่นเสี่ยวซู่คิดพักหนึ่งก่อนจะว่า “ข้างบนที่เราอยู่เมื่อกี้คงมีตัวทดลองเต็มไปหมดเรียบร้อย พวกเราเดินมาพักใหญ่ น่าจะใกล้ถึงประตูป้อมแล้วล่ะ แต่ฉันยังไม่รู้เลยว่าเราจะหนีออกไปได้หรือเปล่า”
จะออกจากใต้ดินไปบนดินนั้นง่ายมาก แต่จะหนีจากตัวทดลองที่ตามล่ามาต่ออย่างไรนี่แหละประเด็น
ถ้าโผล่ไปปุ๊บแล้วเจอตัวทดลองเลย พวกเขาคงโดนไล่ล่าจากป้อมปราการไปอีกเป็นร้อยๆ กิโลเมตรจนตาย!
เริ่นเสี่ยวซู่สัมผัสได้ถึงฤทธิ์อันอ่อนโยนของยาดำ ความเจ็บปวดบรรเทาลงไป ทำให้เขามีกำลังวังชาขึ้นมาก “แต่ฉันว่าพวกตัวทดลองน่าจะพักผ่อนตอนฟ้าสว่างนะ พวกเราน่าจะซ่อนตัวอยู่ที่นี่จนเช้า พอถึงเวลานั้นค่อยหนีก็ได้ ตอนนี้ก็พักผ่อนสะสมเรี่ยวแรงไว้ก่อน”
หยางเสียวจิ่นตอบ “เรื่องที่พวกมันกลัวแสงอาทิตย์ใครๆ ก็รู้ ความคิดนายไม่เลว ตอนฟ้าสว่างพวกมันน่าจะไปซ่อนตัว”
“อืม” เริ่นเสี่ยวพยักหน้าเห็นด้วย ใจคิด ‘คนเป็นผู้กล้าย่อมคิดเห็นตรงกันสินะ’
พวกเขาสองคนนั่งเงียบๆ อยู่ในท่อน้ำอันมืดมิด จู่ๆ หยางเสียวจิ่นก็พูด “ในสถานการณ์แบบนั้น ขนาดเพื่อนสนิทอาจจะไม่กลับมาช่วยฉันด้วยซ้ำ ฉันจะข้ามการขอบคุณไป และก็…”
แต่เริ่นเสี่ยวซู่กลับพูดเสียงเข้มว่า “เธอควรขอบคุณฉันนะ”
หยางเสียวจิ่นผงะ “ขอบคุณ…”
[ได้รับเหรียญคำขอบคุณจากหยางเสียวจิ่น +10!]
เดี๋ยวก่อนนะ! เริ่นเสี่ยวซู่ตื่นเต้น ที่เขาให้หยางเสียวจิ่นขอบคุณก็เพราะเห็นว่าไหนๆ ภารกิจก็ไม่ผ่านแล้ว ได้เหรียญคำขอบคุณมาสักนิดชดเชยก็ยังดี แต่กลายเป็นว่าคำขอบคุณของหยางเสียวจิ่นทำให้เขาได้มาทีเดียวสิบเหรียญ!
ทำไมหยางเสียวจิ่นถึงพิเศษไปกว่าคนอื่นล่ะ!
ทว่าตอนนั้นเอง ฝาท่อที่อยู่บนหัวพวกเขาก็ขยับ จากนั้นตัวทดลองก็กระโดดลงมา ทว่ามันเองก็ไม่คิดเหมือนกันว่าข้างล่างมีคนอยู่ ทั้งสองฝ่ายต่างเผชิญหน้ากันอย่างไม่คาดคิด!
อะไรทำให้พวกมันต้องหลบซ่อนตัวในยามฟ้าสว่างกัน และทำไมจู่ๆ ตัวทดลองถึงลงมาใต้ท่อน้ำ นี่มันใกล้รุ่งสางแล้ว พวกมันควรไปหาที่ซ่อนตัวแล้วไหม
หยางเสียวจิ่นพูดเสียงค่อย “ฉันเพิ่งนึกอะไรขึ้นมาได้ ถ้าพวกมันจะหาที่หลบตอนกลางวัน พวกมันจะไปซ่อนที่ไหน”
เริ่นเสี่ยวซู่คิดตาม “ท่อระบายน้ำ?”
“อืม” หยางเสียวจิ่นพยักหน้า
เริ่นเสี่ยวซู่ขนลุกซู่ เขาอยากให้พวกตนหนีตอนฟ้าสว่างอยู่หรอก แต่ตอนนี้พวกเขาต้องหนีด่วนๆ แล้ว ไม่อย่างนั้นคงได้นอนพร้อมกับพวกตัวทดลองแน่ แต่ไม่รู้ตัวทดลองจะต้อนรับพวกเขาหรือเปล่า
ทันใดนั้น ตัวทดลองก็คำรามก้องและกระโจนเข้ามา เริ่นเสี่ยวซู่ไม่ต้องขยับ ร่างแยกเงาก็พุ่งไปพร้อมดาบทมิฬแล้ว ร่างแยกเงาใช้มือหนึ่งกุมคอของตัวทดลอง และใช้ดาบทมิฬกระซวกเข้าที่หัวใจของมัน เจ้าตัวทดลองถูกดาบปักเข้ากับผนังท่อระบายน้ำฝั่งตรงข้าม
ทว่าหายนะที่ใหญ่กว่ากำลังมา เสียงคำรามของตัวทดลองต้องเรียกตัวๆ อื่นที่อยู่บนพื้นลงมาแน่ ตัวทดลองอีกสองตัวที่นอนหมอบอยู่บนพื้นข้างฝาท่อพลันชะโงกหน้าลงมาดู เริ่นเสี่ยวซู่พูด “วิ่ง ฉันจะแบกเธอเอง!”
เขาให้ร่างแยกเงาแบกหยางเสียวจิ่นไม่ได้ เพราะเขาต้องใช้มันไว้สู้!
แต่เริ่นเสี่ยวซู่ไม่รู้ตัวเองเลยว่าร่างกายเขารับไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว หลังกรำศึกมาหนักหน่วงเมื่อคืนบวกกับอาการบาดเจ็บ จะยืนเฉยๆ ยังยากเลย
ตอนนั้นเองหยางเสียวจิ่นก็ย่อตัวลง “ฉันแบกนายเอง”
ก่อนที่เริ่นเสี่ยวซู่จะทันพูดอะไร หยางเสียวจิ่นก็ดึงเริ่นเสี่ยวซู่มาไว้บนหลังและเริ่มวิ่ง
หยางเสียวจิ่นสูงไม่น้อยแต่กลับมีรูปร่างเล็ก เริ่นเสี่ยวซู่ที่โดนเธอแบกไว้ที่หลังจึงรู้สึกกระอักกระอ่วนเล็กน้อย ในช่วงเวลายากลำบาก เขาไม่เคยพึ่งพาผู้อื่นมาก่อน
เขากลับเข้าป้อมปราการมาเพื่อช่วยคน แต่ตอนนี้คนที่เขาอยากช่วยกลับมาแบกเขาขึ้นหลังแทนเสียได้