หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.462 – กลองศึก

 

ตลอดทั้งเกาะลอยฟ้า หลงเหลือผู้คนอยู่อีกเพียงไม่กี่คนเท่านั้น นอกเหนือจากนั้นได้ตายลงไปกันหมดแล้ว

 

ดังนั้น บรรยากาศโดยรอบในขณะนี้จึงเงียบงัน … เงียบงันจนน่าขนลุก

 

ดวงตาของหวังหงษ์เต๋าหรี่แคบลง เพ่งมองไปทางอีกฝ่าย

 

ในมือของฉีหยานกำลังกุมดาบยาวที่สาดแสงดั่งหยาดน้ำค้างในฤดูใบไม้ร่วง ขณะที่บนศีรษะสวมหมวกไม้ไผ่

 

ขอบของหมวกไม้ไผ่ถูกกดลงมาจนต่ำเกินควร จนทำให้ผู้ที่มองมา มิอาจเห็นถึงเค้าโครงหน้าที่แท้จริงของเขาได้

 

อย่างไรก็ตาม เพียงกวาดสายตามอง หวังหงษ์เต๋าก็สามารถตระหนักถึงเอกลักษณ์ของอีกฝ่ายได้ในทันที

 

คนเบื้องหน้าเขา คือฉีหยานจริงๆ

 

ทุกๆสรีระต่างๆในร่างกาย ไม่มีส่วนใดผิดเพี้ยนไปจากฉีหยานที่เขาเคยพบเจอเลย

 

ฉีหยานก็มองดูเขาเช่นกัน

 

สายตาของทั้งสองประสานกัน มิอาจถอนออกไปได้ชั่วคราว

 

แต่แล้วก็เป็นหวังหงษ์เต๋าที่ยอมแพ้สงครามจ้องตานี้ เขาเบนวิสัยทัศน์ไปยังดาบยาวในมือของฉีหยาน

 

ปากเอ่ยกล่าว “ไม่หรอก เจ้าจะต้องไม่ใช่ฉีหยานอย่างแน่นอน”

 

“เหตุใดเจ้าจึงคิดเช่นนั้นเล่า?” ฉีหยานเอ่ยถาม

 

“เพราะเจ้าหนูฉีหยานมันไม่เคยใช้ดาบ เขาเชี่ยวชาญในค่ายกลและธาตุไฟจากธาตุทั้งห้า”

 

“ก็ .. ไม่คิดบ้างเลยหรือว่าบางทีจู่ๆข้าอาจจะรู้สึกสนใจที่จะหันมาฝึกดาบก็ได้” ฉีหยานกล่าว

 

หวังหงษ์เต๋าส่ายหัว “ทักษะดาบ เป็นอะไรที่ร่วมฝึกกับทักษะอื่นๆได้ยากเย็นที่สุด และมันย่อมไม่มีทางบรรลุได้เพียงชั่วข้ามคืน”

 

เขายกมือขึ้น และเริ่มขับเคลื่อนพลังวิญญาณตน

 

ทันใดนั้นแมลงมารหลากสีสันก็ปรากฏกายของมันขึ้นบนหลังมือของเขาอย่างเงียบๆ

 

“ถึงแม้ว่าเจ้าจะสวมหมวกไม้ไผ่ แต่ข้าก็สามารถรับรู้ถึงสถานะขอบเขตโดยประมาณของเจ้าได้อยู่ดี – ความแข็งแกร่งของเจ้าด้อยกว่าข้ามากมายนัก ดังนั้น หากยังอยากจะมีชีวิตอยู่ต่อไป จงบอกพิกัดของโลกใหม่แด่ข้าประเดี๋ยวนี้!” หวังหงษ์เต๋ารวบรัด

 

ฉีหยานกุมดาบในมือแน่นขึ้น ทว่าก็ยังคงมิเอ่ยสิ่งใด

 

หวังหงษ์เต๋าเมื่อเห็นแบบนั้น ก็เอ่ยต่อว่า “พวกเราอย่ายืดเยื้อให้เสียเวลาจะดีกว่า มันไม่สำคัญอีกแล้วว่าเจ้าจะเป็นใคร แต่ตอนนี้จงมอบพิกัดของโลกใหม่มาเสีย จากนั้นก็รับผนึกต้องห้ามของข้าเข้าสู่ตัวเจ้าซะ แล้วเราจะได้มีเวลาสนทนากันมากขึ้น”

 

“อาวุโสหวัง ท่านใช่ดูกังวลเกินไปหรือไม่?” ฉีหยานเอ่ยถาม

 

“มิใช่เช่นนั้นหรอก ก็แค่เพียงไม่อยากจะพล่ามไร้สาระมากไปกว่านี้ก็เท่านั้นเอง”

 

“เพราะเหตุใด?”

 

“เพราะยิ่งพูดมาก ตัวแปรก็จะยิ่งผกผันมากขึ้นเป็นเงาตามตัว”

 

เมื่อจบประโยคนี้ กระแสเสียงของหวังหงษ์เต๋าก็เต็มไปด้วยเจตนาฆ่า “ข้าจะให้เวลาเจ้าสามลมหายใจ จงทิ้งดาบในมือและยอมจำนนเสีย มิฉะนั้นข้าจักสังหารเจ้าลงตรงนี้เลยโดยตรง”

 

อย่างไรก็ตาม ดาบในมือของฉีหยานกลับวูบไหวทันใด

 

รังสีดาบทะยานตัวออก และสับเข้ากับบางสิ่งที่มองไม่เห็นกลางอากาศ

 

โฮกกกก!

 

ในอากาศที่ว่างเปล่า จู่ๆแมลงยักษ์ตัวหนึ่งเผยโฉมออกมา มันเปล่งเสียงร้องร่ำด้วยความเจ็บปวด

 

มันถูกรังสีดาบสับสะบั้นตั้งแต่ส่วนหัว จรดไปจนถึงหาง

 

เลือดสีเหลืองซัดสาดราวกับพายุฝนกระหน่ำ แต่ทั้งหมดก็ถูกเป่าลอยหายไปตามกระแสลมที่เกิดจากรังสีดาบ

 

แมลงประหลาดร่วงตกลงในจุดนั้น ร่างของมันกระแทกลงกับพื้นและนิ่งงันไม่เขยื้อนไหวอีกเลย

 

“อาวุโสหวัง เจ้ามิใช่กล่าวว่าจักให้เวลาข้า 3 ลมหายใจหรอกหรือ แล้วเหตุใดจึงลงมือทันทีเลยเล่า?” ฉีหยานเอ่ยเสียงเย็น

 

สีหน้าของหวังหงษ์เต๋าหม่นทะมึนลง

 

“ขอบเขตระดับต่ำ ทว่าทักษะดาบกลับโดดเด่นชนิดหาตัวจับได้ยาก ..”

 

“แต่ด้วยความแข็งแกร่งของเจ้าในตอนนี้ มันยังเร็วไป 100000 ปี หากคิดทะนงตนมาต่อกรกับข้า!”

 

หวังหงษ์เต๋ากล่าวอย่างช้าๆ ความผันผวนทางพลังวิญญาณอันสยองเกล้าเริ่มจะลุกโชนออกมา

 

ด้วยอำนาจของเขาเพียงลำพัง ส่งผลให้ตลอดทั้งเกาะลอยฟ้าค่อยๆเริ่มเกิดการสั่นสะเทือนขึ้น

 

“นี่น่ะหรือคือพลังอันทรงพลานุภาพของขอบเขตลมปราณจิต?”

 

ฉีหยานที่รับรู้ได้ถึงความผันผวนทางพลังวิญญาณในอากาศที่ว่างเปล่า ปากเอ่ยกล่าวถอนหายใจด้วยอารมณ์เล็กน้อย

 

“โอกาสสุดท้าย จะยอมจำนนต่อข้า หรือว่าจะเลือกตายลงในวินาทีถัดไป” หวังหงษ์เต๋ากล่าวอย่างไร้เยื่อใย

 

ฉีหยานตอบกลับ “ในความเป็นจริงแล้ว เรื่องเกี่ยวกับความเป็นความตายของข้า นายน้อยของข้าคงจะไม่เห็นด้วยเป็นแน่”

 

“นายน้อยของเจ้า?” น้ำเสียงของหวังหงษ์เต๋าเริ่มจะรุนแรงขึ้น

 

สิ่งที่ได้ยินนี้ช่างเป็นอะไรที่ไม่คาดคิดจนทำให้รู้สึกฉงนได้จริงๆ

 

ประโยคเหล่านี้ มันเป็นตัวแทนที่บ่งบอกได้ถึงความหมายมากมายหลากหลาย เป็นเรื่องยากนักที่จะคาดเดา

 

หวังหงษ์เต๋าชะงักงันไป

 

แต่แล้วในวินาทีต่อมา

 

ขณะเดียวกัน สีหน้าการแสดงออกของฉีหยานก็เผยให้เห็นถึงความสนใจออกมา

 

และหวังหงษ์เต๋าก็เช่นกัน เขาเงยหน้าขึ้น จ้องมองไปบนท้องฟ้า

 

“โครม!”

 

ดูเหมือนว่าจะมีบางสิ่งบางอย่างถูกทำลายลง

 

ต่อมา ก็บังเกิดชุดเสียงกึกก้องที่สั่นสะเทือนไปทั่วทั้งเกาะลอยฟ้าขึ้นอีกครั้ง

 

ตึง!

 

ตึง! ตึง!

 

ตึง! ตึง! ตึง!

 

ตึง! ตึง! ตึง! ตึง!

 

เสียงนี้ดังระรัวขึ้นราวกับกลองชุด มันค่อยๆถี่ขึ้น ถี่ขึ้นเรื่อยๆ

 

เสียงกลองศึกขจรขจาย กังวานออกไปตลอดทั้งเกาะ

 

นี่เป็นเสียงแจ้งเตือนระดับสูงสุดของนิกายกวงหยาง ซึ่งบ่งบอกว่าสถานการณ์อันตรายร้ายแรงถึงขั้นชีวิตและความตายได้บังเกิดขึ้นแล้ว!

 

เมื่อเสียงกลองชุดนี้ดังขึ้น ผู้ฝึกยุทธทุกคนจักต้องละมือจากทุกสิ่งอย่างที่พวกเขากำลังทำอยู่ และมุ่งหน้าตรงไปยังส่วนล่างของเกาะลอยฟ้า

 

และทุกคนจักต้องพิทักษ์ที่นั่นโดยห้ามหวงแหนชีวิตและความตายของตนเองเอาไว้โดยเด็ดขาด

 

เพราะเสียงกลองนี้ มันกำลังบ่งบอกว่าค่ายกลที่สำคัญที่สุดกำลังเกิดปัญหา!

 

แน่นอน ว่าค่ายกลที่สำคัญที่สุด ย่อมไม่พ้น ‘ค่ายกลตัดขาดโลกภายนอกขนาดใหญ่!!’

 

นี่มันเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับการที่มารโลกาจะสามารถค้นพบเกาะใบนี้ได้!

 

และในขณะนี้ ค่ายกลที่ว่าก็พึ่งถูกทำลายลง!

 

สำหรับนิกายแล้ว นี่นับว่าเป็นเรื่องชี้เป็นชี้ตาย!

 

เสียงของกลองศึกโบราณสะท้อนไปตลอดทั้งเกาะ

 

สีหน้าของหวังหงษ์เต๋าแปรเปลี่ยนกลับกลาย

 

ในเสี้ยววินาที พลังวิญญาณของเขาก็ถูกดูดเก็บกลับคืน สลายไปไม่หลงเหลือกระทั่งร่องรอยของมัน

 

เขาใช้ความเร็ว เร็วแบบเร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วได้ รวบพลังวิญญาณกลับคืน

 

ทว่า …

 

แม้หวังหงษ์เต๋าจะรวดเร็วเท่าใด แต่มันก็ยังช้าไปเล็กน้อยอยู่ดี

 

เบื้องบนท้องฟ้า บังเกิดฟันซี่แหลมๆที่อยู่ในปากหนาสีดำปรากฏขึ้น

 

—ร่างไร้จิตสำนึกของมารโลกาปรากฏตัวออกมาแล้ว!

 

ปากขนาดใหญ่เหล่านี้ลอยล่องอยู่รอบเกาะอย่างเงียบๆ ทั้งหมดล้วนหันหน้าตรงมายังตำแหน่งที่หวังหงษ์เต๋ายืนอยู่

 

ปากใหญ่สีดำอ้าเผยอออก และค่อยๆหุบลงอย่างช้าๆ

 

น่าเสียดายจริงๆ หากพวกมันรวดเร็วกว่านี้อีกสักลมหายใจเดียว คงจับตำแหน่งที่แม่นยำของความผันผวนทางพลังวิญญาณเมื่อครู่ได้แล้ว

 

อีกเพียงแค่นิดเดียว .. พวกมันก็จะได้กลืนกินอาหารอันโอชะอยู่แล้วเชียว

 

ปากใหญ่สีดำทยอยกันปรากฏกายมากขึ้น มากขึ้นเรื่อยๆ จนเติมเต็มไปตลอดทั้งความว่างเปล่า

 

เกาะลอยฟ้าของนิกายกวงหยาง บัดนี้ถูกล้อมกรอบไปด้วยร่างไร้จิตสำนึกของมารโลกา

 

หวังหงษ์เต๋าจ้องมองไปยังฉากนี้ด้วยฟันที่ขบแน่น ปากเอ่ยกล่าว “ไอ้เด็กสารเลวนี่  … ”

 

“ต่อให้เจ้ามีขอบเขตวรยุทธที่สูงส่งแล้วมันอย่างไร? หากนายน้อยไม่อนุญาตให้เจ้าได้ใช้พลังวิญญาณ ตัวเจ้าก็ไม่นับว่าเป็นสิ่งใดอยู่ดี” ฉีหยานกล่าวอย่างสบายๆ

 

ทั้งสองต่างยืนพูดคุยกันอยู่บนแท่นเวทีหารือ

 

ขณะที่ตลอดทั้งเกาะของนิกายกวงหยาง บัดนี้มิอาจปลดปล่อยพลังวิญญาณได้อีกต่อไป!

 

เพราะนับจากช่วงเวลานี้ไป ตราบใดที่มีใครกล้าใช้พลังวิญญาณ คนผู้นั้นก็จะถูกค้นพบร่างไร้จิตสำนึกและถูกกลืนกินลงโดยมารโลกา

 

ไม่ว่าจะเป็นหวังหงษ์เต๋าในขอบเขตลมปราณจิต หรือเซ่าหวูชุ่ยในขีดสุดความว่างเปล่า ก็ล้วนมิอาจใช้พลังวิญญาณที่คุกรุ่นอยู่ในร่างกายออกมาได้เพียงแม้เพียงน้อย!

 

ปากใหญ่สีดำบนฟากฟ้าเผยอขึ้นอีกครา เผยให้เห็นถึงคมเขี้ยวแหลมของมัน

 

พวกมันกำลังเฝ้ารอให้สิ่งมีชีวิตเปิดเผยพลังวิญญาณออกมา

 

หากสามารถระบุตำแหน่งของเป้าหมายได้อีกแม้เพียงครั้งหนึ่ง พวกมันจะปิดล้อมจับกลุ่ม และกัดกินผู้ฝึกยุทธไม่มีหลงเหลือในทันที

 

“กักขังพลังวิญญาณ แล้วดวลกันด้วยเพลงดาบและกระบี่เพียวๆ … นี่คือวิธีที่เจ้าคิดจะใช้เพื่อจัดการกับข้าอย่างงั้นสินะ? ” หวังหงษ์เต๋าหรี่ตามองฉีหยาน

 

ตึง ตึง!

 

ตึง! ตึง! ตึง! ตึง! ตึง! ตึง! ตึง! ตึง!

 

เสียงกลองกระหน่ำระรัวราวกับห่าฝนที่ซัดสาด กระตุ้นให้ผู้คนต่อสู้แลกชีวิตเพื่อปกป้องนิกายของตน

 

และเสียงกลองนี้จะไม่มีวันหยุดลง ตราบใดที่ค่ายกลยังไม่ถูกซ่อมแซมลงจนเสร็จสมบูรณ์

 

เดิมที ในช่วงเวลาเช่นนี้ มันคือช่วงเวลาที่ผู้ฝึกยุทธจะต้องลุกฮือขึ้นมาอย่างหาญกล้าเพื่อทำการปกป้องนิกาย

 

แต่ผู้ฝึกยุทธเกือบทั้งหมด … ได้ถูกสังหารตกตายลงไปแล้วด้วยน้ำมือของหวังหงษ์เต๋า!

 

ในตอนนี้ จึงไม่มีผู้ใดเลยที่จะสามารถเข้าไปป้องกันค่ายกลได้

 

นี่นับว่าเป็นช่วงเวลาที่น่าอัปยศที่สุดในชีวิตของหวังหงษ์เต๋าโดยแท้!

 

มือของเขา เอื้อมออกไปตบลงบนถุงสัมภาระโดยไม่รู้ตัว

 

“ข้าทราบดีว่าเจ้ามีเรือเหาะไว้ใช้หลบหนี แต่ตอนนี้เจ้ากล้าที่จะใช้ถุงสัมภาระจริงๆน่ะหรือ?” ฉีหยานเอ่ยถาม

 

หวังหงษ์เต๋าเงยหน้าขึ้นไปมองบนท้องฟ้า

 

เมฆหมอกทั้งมวลมิอาจมองเห็นได้อีกต่อไป ในวิสัยทัศน์มีแค่เพียงร่างไร้จิตสำนึกของมารโลกาเท่านั้น

 

พวกมันไม่แม้แต่จะเคลื่อนกายขยับไหว ทั้งตนทั้งร่างล้วนต่างพากันเพ่งความรู้สึกจับสัมผัสกับพลังวิญญาณที่อาจปรากฏขึ้นรอบตัว

 

สีหน้าของหวังหงษ์เต๋าหม่นทะมึน

 

เพราะการจะเปิดใช้งานถุงสัมภาระ … มันจำเป็นต้องใช้พลังวิญญาณ!

 

แต่หากเขาใช้พลังวิญญาณออกไป มันก็มีแนวโน้มมากทีเดียวที่จะถูกจับตำแหน่งได้โดยร่างไร้จิตสำนึกเหล่านั้น

 

แน่นอนว่าผลที่ตามมา คือความตาย!

 

และหวังหงษ์เต๋าก็มิกล้าที่จะเสี่ยงเดิมพันถึงเพียงนั้น

 

“แต่เจ้าไม่ลองคิดกลับกันดูหรือ ว่าหากเป็นในกรณีนี้ ตัวเจ้าเองก็มิสามารถหลบหนีออกไปได้เช่นกันนะ?” หวังหงษ์เต๋ากล่าว

 

“ข้ายังไม่ได้คิดเกี่ยวกับเรื่องนั้นเลย” ฉีหยานเฉลยด้วยรอยยิ้ม

 

‘มันดันเอ่ยยอมรับออกมาอย่างมีความสุข’ … หวังหงษ์เต๋าที่เห็นถึงฉากนี้แทบไม่อยากจะทำใจเชื่อได้

 

“ข้าไม่เชื่อเจ้า! ไม่มีผู้ใดหรอกที่จะเพิกเฉยต่อชีวิตและความตายของตนเอง!” หวังหงษ์เต๋าส่ายหัวและกล่าว

 

“ฟังนะ ขอบอกตรงๆว่าข้าเองก็ไม่เคยได้ยินเสียงกลองศึกโบราณเช่นนี้มาก่อนเลย แต่พอได้ฟังดูก็คิดว่ามันปลุกใจได้ดีทีเดียวเหมือนกัน” ฉีหยานเอ่ยอย่างแผ่วเบา

 

ดาบในมือถูกกุมแน่นขึ้น ทั้งคนทั้งร่างโน้มตัวลงไปยังเบื้องหน้าเล็กน้อย

 

“ในวันนี้ ณ ที่แห่งนี้ ไม่เจ้าตายข้าก็พินาศ! ถึงเวลาเสียทีที่ทุกสิ่งอย่างจะถูกตัดสินด้วยชีวิตเป็นตาย!”

 

เขากล่าวประโญคสุดท้ายออกมา และเตรียมที่จะเปิดฉากโจมตี

 

“ช้าก่อน!” หวังหงษ์เต๋าตะโกนลั่น

 

“เจ้ามันช่างโง่เง่านัก เหตุใดเจ้าจึงไม่บอกกันก่อนว่าเจ้าได้ควบคุมค่ายกลของเกาะลอยฟ้าแห่งนี้เอาไว้แล้ว พวกเราจะได้ตกลงกันด้วยดีตั้งแต่แรก!” หวังหงษ์เต๋ากัดฟันกล่าว”

 

“นั่นไม่จำเป็น” ฉีหยานเอ่ยปากออกมา “เพราะนายน้อยของข้ามิคิดจะสนทนาใดๆกับเจ้าอยู่แล้ว และอีกอย่าง สำหรับตัวข้าเอง ยามที่จักต้องต่อสู้กับศัตรู ก็มิชอบขบคิดอะไรน่าเบื่อให้มันยุ่งยากเช่นกัน!”

 

ดาบยาวที่สาดแสงดั่งหยาดน้ำค้างในฤดูใบไม้ร่วงชี้ตรงไปยังหวังหงษ์เต๋า

 

ตึ่ง! ตึ่ง! ตึ่ง!

 

กลองศึกกระหน่ำเสียงหนักทึบขึ้น

 

จิตต่อสู้ฟุ้งกระจายไปทั่ว

 

ดูเหมือนว่าสัญญาณแห่งการต่อสู้กำลังจะปะทุขึ้นแล้ว!

 

“ตัวข้า – ฉานนู่แห่งโลกปรภพ โปรดชี้แนะด้วย!”