บทที่ 133 ถูกฆ่าเป็นครั้งแรก

Myth Online ฮีลเลอร์สายบู๊ [网游之奶个锤子]

มีแสงสลัวอยู่ในเมืองนั้น ราวกับว่าเป็นวันที่ท้องฟ้าถูกปกคลุมไว้โดยหมู่เมฆจนแสงแดดมิอาจส่องถึง แต่ถ้าให้เทียบกับภายในหมอกแห่งสงครามที่มืดจนมองไม่เห็นอะไรเลยล่ะก็ ที่นี่ย่อมดีกว่าอยู่แล้ว

เซียวเฟิงผู้ที่ซึ่งในที่สุดก็สามารถหลุดออกมาจากหมอกแห่งสงครามได้แล้ว มัวแต่ตกตะลึงกับภาพของเมืองที่อยู่ท่ามกลางหมอกนี้จนลืมเพิ่มพลังชีวิตของตนเองไปเสียสนิทเลย…

เมืองแห่งนี้ดูงดงามด้วยกำแพงสูงตระหง่านที่ห้อมล้อมเมืองไว้ ด้วยขนาดที่กว้างใหญ่ดูแล้วน่าจะเป็นเมืองที่กว้างใหญ่น่าดู และสิ่งที่สะดุดตาไม่แพ้กันก็คงจะเป็นหัวกระโหลกที่อยู่บนเสากำแพงเมืองแต่ละต้นนั่นแหละ แม้จะไม่มั่นใจว่าตัวเมืองแห่งนี้จะใหญ่ขนาดไหน แต่ก็มั่นใจได้ว่ามันใหญ่กว่าเมืองเตียนหลงแน่ๆ

เศษซากของสงครามที่จารึกไว้บนกำแพงเมืองที่ทอดยาวนี้ จิตรกรรมจากรอยเลือดมีให้เห็นแห้งกรังติดอยู่ทั่ว ประตูเมืองถูกทำให้เหมือนปากของยักษ์ขนาดใหญ่ซึ่งทำให้เมืองภายใต้หมอกแห่งสงครามเปรียบเสมือนอสูรร้ายตัวใหญ่ที่กำลังหลับไหลอยู่ภายในขุมนรกก็มิปาน

[ท่านได้สำเร็จภารกิจเนื้อเรื่อง : บทนำแห่งความืด]

ขณะที่เซียวเฟิงกำลังมองไปยังเมืองตรงหน้าเขาอยู่นั่นเอง เสียงประกาศจากระบบเกี่ยวกับเรื่องภารกิจก็ก็ดังขึ้น นั่นหมายถึงเขาสามารถกลับไปส่งภารกิจได้แล้วในตอนนี้

นอกจากนี้เสียงของระบบดังกล่าวยังทำให้เซียวเฟิงเรียกสติกลับมาได้อีกครั้งหลังจากหลงไปกับความใหญ่โตของเมืองภายใต้ม่านหมอกนี้ไปพักใหญ่ ๆ อีกด้วย ชายหนุ่มไม่คาดคิดเลยว่าภายใต้หมอกแห่งสงครามนั้นจะซ่อนเมืองขนาดใหญ่นี้เอาไว้

ถึงแม้ว่าเซียวเฟิงจะสำเร็จภารกิจแล้ว แต่เขาก็ไม่ใช่ชายที่จะหันหลังให้กับการผจญภัยหรอกนะ โดยเฉพาะการผจญภัยในที่ใหม่ ๆ ที่เขาไม่เคยพบเคยเจอมาก่อน ด้วยเหตุนี้ชายหนุ่มจึงเติมพลังชีวิตให้เต็มก่อนจะค่อย ๆ เดินเข้าใกล้เมืองแห่งความโศกเศร้าด้วยความอยากรู้อยากเห็น

ที่ด้านนอกนี้ค่อนข้างเงียบและไม่มีอะไรอยู่เลย ไม่มีกระทั่งมอนสเตอร์ และด้วยความเงียบนี้มันก็ทำให้เซียวเฟิงอดที่จะสั่นขึ้นมาไม่ได้

ไม่นานนักเขาก็เดินทางมาถึงปากทางเข้าของเมือง ประตูบานใหญ่นั้นถูกเปิดออกกว้างไว้อยู่แล้ว ทว่าเมื่อมองไปภายในเมืองผ่านประตูแล้วก็ต้องประหลาดใจเมื่อภายในเมืองนี้มีแต่ความมืดปกคลุมจนมองไม่เห็นอะไรเลย

มันดูไม่มีอะไรให้น่าสนใจเลยเมื่อเดินเข้าใกล้ประตูมากขึ้นเรื่อย ๆ เขาพยายามฟังเสียงจากภายนอกด้วยความรอบคอบ แต่ที่แห่งนี้ก็ไม่มีเสียงอื่นใดเลย ราวกับทุกสิ่งทุกอย่างได้ตายไปหมดแล้วจนไม่สามารถรับรู้การเคลื่อนไหวภายในได้เลย

เซียวเฟิงกัดฟันและตัดสินใจที่จะแบกรับความเสี่ยง แต่แล้วในจังหวะที่เขากำลังจะก้าวเข้าไปในส่วนที่มืดสนิทภายในเมืองนั้นเอง กลุ่มก้อนของพลังงานขนาดใหญ่ก็ปรากฏขึ้นเบื้องหน้า มันหมุนวนอยู่บริเวณประตูทางเข้าเมืองก่อนจะก่อร่างกลายเป็นลูกบอลและภายในลูกบอลนั้นก็มีร่างขนาดใหญ่ก้าวเดินออกมา

ผู้คุ้มกันประจำเมืองแห่งความโศกเศร้า

เลเวล : 30

ระดับ : บอสเทพเจ้า

ธาตุ : อันเดธ

พลังชีวิต : 180,000 / 180,000 หน่วย

พลังโจมตี : 3,000 – 3,090 หน่วย

พลังเวท : 2,900 – 2,090 หน่วย

พลังป้องกันกายภาพ : 2,800 – 2,880 หน่วย

พลังป้องกันเวทมนตร์ : 2,720 – 2,800 หน่วย

สกิล : ระเบิดแรงสูง, เงื้อมมืออันเดธ, ความบ้าคลั่งขั้นสุดยอด, สายลมที่บีบเค้น, ถ้ำกระดูก, กลิ่นอายอันเดธ, อันเดธต่อต้าน, สละชีพ, ซากศพ, ต้นกำเนิดพันธุ์อมตะ, ขุมพลังแห่งทวยเทพ

คำอธิบาย : สิ่งมีชีวิตที่ทรงพลังและน่าหวาดกลัวผู้ปกป้องคุ้มกันเมืองแห่งความโศกเศร้า มันเกรงกลัวเพียงพลังแห่งพระเจ้าและแสงสว่างเท่านั้น

มันคือบอสนักรบกระดูกที่สูงกว่า 10 เมตร หรือสูงพอ ๆ กับตึก 3 ชั้นดี ๆ นี่เอง

บนตัวมันมีชุดเกราะโบราณสวมทับไว้อยู่ทั่วทั้งตัว จะมีแค่คอและข้อต่อเท่านั้นที่ไม่มีเกราะคอยปิดกั้น ร่างของมันปลดปล่อยหมอกสีดำออกมาอยู่ตลอดเวลาซึ่งทำให้ไม่สามารถมองเห็นมันได้อย่างชัดเจนนัก

ด้วยหน้ากากเหล็กบนใบหน้า มีเพียงดวงตาสีแดงเลือดเท่านั้นที่แสดงให้เห็นว่ามันกำลังจ้องมองมายังเซียวเฟิงอยู่

ไม่ว่าจะด้วยรูปลักษณ์หรือค่าสถานะ ทุกอย่างล้วนทำให้เซียวเฟิงตกใจและรับรู้ได้ถึงแรงกดดันอันมหาศาลจากนักรบกระดูกตนนี้ด้วย

มันเป็นบอสเลเวล 30 และจากทักษะการตรวจสอบระดับสูงของเซียวเฟิง เขาก็สามารถรับรู้ได้ด้วยว่ามันน่ากลัวขนาดไหน?

บอสระดับเทพเจ้าเลเวล 30 ต่อให้พยายามไม่มองหลอดพลังชีวิตที่ยาวเป็นหางว่าวของมัน พลังโจมตีและพลังป้องกันก็ยังสูงจนเหมือนเกมไม่ได้สร้างมันขึ้นมาให้ผู้เล่นโค่นได้ด้วย มันเป็นเรื่องยากมาก ๆ ที่ผู้เล่นทั่วไปจะสามารถสู้กับมันได้อย่างสมเนื้อสมตัวเมื่อต้องเผชิญหน้า

ถึงแม้ว่าพลังของเซียวเฟิงจะทรงพลังมาก ๆ เมื่อเทียบกับผู้เล่นทั้งหมด แต่ยังไงพลังชีวิตของเขาก็มีเพียง 300 – 400 หน่วยเท่านั้น ในขณะที่ผู้คุ้มกันตนนี้น่ะ มีพลังโจมตีสูงกว่า 3,000 หน่วยเสียอีก มันมากกว่าพลังชีวิตทั้งหมดของเขาเป็น 10 เท่าเลยนะ!

เช่นเดียวกันกับพลังป้องกันของเซียวเฟิงที่น่าจะเรียกได้ว่าสูงที่สุดในบรรดาผู้เล่นแล้ว ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังรู้สึกลำบากเมื่อต้องเผชิญกับความแข็งแกร่งของบอสระดับนี้

แต่ถึงจะต้องเผชิญหน้ากับบอสที่แข็งแกร่งระดับนี้ เซียวเฟิงก็ไม่ได้เกรงกลัวแต่อย่างใด กลับกันแววตาของเขากลับเปล่งประกายไปด้วยความตื่นเต้นอีกด้วย

“นี่มัน… บอสระดับเทพเจ้า ถ้ากำจัดมันได้ก็จะมีโอกาสดร็อปอาร์ติแฟคท์สินะ!”

ตั้งแต่ที่มิทเปิดให้บริการ ไอเทมระดับเทพเจ้าของเซียวเฟิงก็ครองอันดับหนึ่งของตารางจัดอันดับอุปกรณ์มาโดยตลอด และตลอดมาก็ไม่มีใครสามารถก้าวข้ามเขาได้เลย สถานะของไอเทมระดับเทพเจ้านั้นสูงเป็นสองเท่าของไอเทมระดับล่าง ดังนั้นพลังในการต่อสู้ของเซียวเฟิงจึงมากขึ้นเป็นสองเท่าไปด้วย

แล้วถ้าเป็นอาร์ติแฟคท์ ความสามารถมันก็ย่อมต้องแข็งแกร่งขึ้นอีกขั้นอย่างแน่นอน!

ไอเทมระดับเทพเจ้าของเซียวเฟิงได้มาจากเมื่อครั้งปราบราชากระดูกทองคำ แล้วถ้าเกิดเขาสามารถปราบบอสระดับเทพตัวนี้ได้ โอกาสที่อาร์ติแฟคท์จะดร็อปก็น่าจะสูงอยู่

แววตาของเขาเปล่งประกายเช่นเดียวกับหัวใจที่เต้นถี่ด้วยความตื่นเต้น ตอนนี้ชายหนุ่มไม่สนใจแล้วว่าตนกับผู้คุ้มกันตนนี้จะคู่ควรกันหรือไม่

เพราะหากไม่มองความสามารถอันแข็งแกร่งเกินกำลังของผู้คุ้มกันแล้ว ยังไงเสียมันก็เป็นธาตุอันเดธ

หรือพูดง่าย ๆ ก็คือ เขาสามารถกำจัดผู้คุ้มกันตนนี้ได้ง่าย ๆ ด้วยสกิลโฮลี่ไลท์

ด้วยความหน้ามืดตามัวนี้ เซียวเฟิงราวกับว่าโดนอาร์ติแฟคท์ที่มองไม่เห็นโบกมือเรียกเข้าให้แล้ว

“มีนักผจญภัยฝ่าเข้ามาได้งั้นหรือ ? โอ้ ตัวเจ้ามีออร่าแสงสว่างเปล่งประกายออกมาด้วย ดูเหมือนเจ้าจะมาจากพวกวิหารแห่งแสงเจ้าเล่ห์นั่นสินะ” ผู้คุ้มกันเอ่ยขึ้นขณะที่เหลือบตาลงมองเซียวเฟิงที่ตัวเล็กกว่าไปด้วย น้ำเสียงของมันนิ่งเฉยราวกับเสียงนั้นมาจากศพ แต่ยังไงเสียผู้คุ้มกันตนนี้ก็เป็นสิ่งมีชีวิตเผ่าพันธุ์ที่เกี่ยวข้องกับอันเดธอยู่แล้ว

เซียวเฟิงตกใจในตอนแรก แต่หลังจากคิดทบทวนได้ว่าบอสเป็นถึงระดับเทพเจ้า ดังนั้นความฉลาดของมันก็น่าจะสูงกว่ามอนสเตอร์ธรรมดาสูงอยู่ จึงทำให้สามารถสื่อสารกับผู้เล่นได้เช่นนี้

“ข้าล่ะเกลียดความจมูกดีของพวกแสงสว่างจริง ๆ หากเจ้ามาอยู่ที่นี่ได้ แสดงว่าพวกเจ้าเล่ห์นั่นก็คงจะรู้ถึงการมีอยู่ของที่นี่ด้วยแล้วสิ ดูเหมือนว่าเผ่าพันธุ์แห่งความมืดอย่างพวกข้าคงจะต้องเร่งมือแล้ว” เมื่อเห็นเซียวเฟิงไม่ได้พูดอะไร ผู้คุ้มกันก็พูดเสริม “นักผจญภัยที่มาจากเผ่าพันธุ์มนุษย์เอ๋ย เจ้าควรจะรู้ไว้ว่าแสงสว่างที่เจ้าเชื่อมั่น วันหนึ่งพวกมันก็จะหักหลังเจ้า มีเพียงความมืดเท่านั้นที่ยั่งยืน ถ้าหากเจ้าเข้าร่วมกับพวกเราล่ะก็ เจ้าจะได้สิ่งตอบแทนที่มากล้นเลยทีเดียว”

คำพูดเหล่านั้นทำเอาเซียวเฟิงงงไปหมด “เกิดอะไรขึ้นน่ะ ? บอสตัวนี้กำลังชักชวนฉันงั้นเหรอ ?”

“เข้าร่วมกับเผ่าพันธุ์ของแกงั้นเหรอ ?”

“ใช่ หากเจ้าเข้าร่วม เจ้าจะได้รับพลังแห่งความมืดรวมถึงคลาสลับที่มาพร้อมพลังอันยิ่งใหญ่ดังที่เจ้าต้องการยังไงล่ะ” เปลวไฟสีเลือดในดวงตาของผู้คุ้มกันประจำเมืองสว่างมากขึ้นอีกนิดหน่อย

“เทียบกันแล้ว ฉันสนใจอาร์ติแฟคท์ที่จะดร็อปหลังจากกำจัดแกได้มากกว่าแฮะ”

คลาสลับน่าจะเป็นสิ่งที่ล่อตาล่อของเหล่าเกมเมอร์จำนวนมากอยู่แล้ว ดังนั้นพวกเขาคงไม่ลังเลแน่ ๆ หากมีคนเช่นนี้มาเชิญชวนให้เข้าร่วมกับเผ่าพันธุ์แห่งความมืดเช่นนี้

เหตุก็เพราะเมื่อครั้งเลือกคลาสตอนสร้างตัวละคร พวกเขาหรือเธอสามารถเลือกได้เพียงฝั่งของแสงสว่างเท่านั้น แต่ตอนนี้กลับกลายเป็นว่ามีโอกาสให้เปลี่ยนฝั่งได้ มันเป็นสิ่งที่ผู้เล่นหลายคนอยากจะได้ลิ้มลอง ยิ่งสามารถเป็นเพียงไม่กี่คนที่เปลี่ยนฝ่ายได้ มันก็ยิ่งทำให้พวกเขารู้สึกตื่นเต้นมากขึ้นไป

แต่อย่างไรก็ตาม เห็นได้ชัดว่าเซียวเฟิงไม่ใช่หนึ่งในผู้เล่นเหล่านั้น อันดับแรกเลย คลาสของเขาคือผู้ประกอบพิธีกรรมศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งมันทำให้เขาแข็งแกร่งเพียงพอแล้ว และสองก็คือเขาถูกเสี่ยวไป๋ผูกรั้งไว้ให้ต้องอยู่กับวิหารแห่งแสงเท่านั้น เพราะงั้นเซียวเฟิงจึงไม่สนใจข้อเสนอใด ๆ ก็ตามที่บอสยื่นมาให้เลย

“ดูเหมือนว่าข้าคงไม่จำเป็นต้องพูดอะไรกับเจ้าแล้ว เจ้าหนอนแมลง เจ้ากล้าดีอย่างไรจึงได้มาหาเรื่องกับพวกเรานครแห่งความโศกเศร้า ?”

ออร่าที่มาพร้อมความกดดันอันมหาศาลหลั่งไหลออกมาจากร่างของผู้คุ้มกันตรงนี้รุนแรงมากขึ้น สมแล้วที่เป็นบอสระดับเทพเจ้า ขนาดเซียวเฟิงอยู่ในระยะโจมตีแล้วแท้ ๆ ยังต้องถอยออกมาก่อนเลย

“สงบปากสงบคำแล้วเตรียมตัวมอบอาร์ติแฟคท์ในตัวแกกับค่าประสบการณ์ให้ฉันดีกว่าน่า”

ไม่พูดพล่ามทำเพลง เซียวเฟิงรีบถอยกลับเพื่อเปิดระยะให้กว้างขึ้นเพราะเขารู้ว่าการโจมตีของผู้คุ้มกันประจำเมืองตนนี้ต้องไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน และด้วยการโจมตีที่ทรงพลังนั้น เขาจะต้องตายก่อนมัน แน่ ๆ! ดังนั้นทางรอดเดียวก็คือ ใช้โฮลี่ไลท์สยบมันให้ได้เสียก่อน!

“โฮลี่ไลท์!”

-24,300!

ตัวเลขปริมาณมหาศาลปรากฎขึ้นเหนือหัวผู้คุ้มกันยักษ์ตรงหน้า มันเป็นตัวเลขแสดงความเสียหายที่รุนแรงจนมันต้องเผลอร้องโอดครวญออกมาด้วยความเจ็บแสบ

“อั่ก! นี่มัน พลังแห่งพระเจ้า! เจ้าเป็นใครกันแน่!”

ผู้คุ้มกันประจำเมืองพูดแล้วเริ่มวิ่งไล่เซียวเฟิงทันที และเพราะแบบนี้พื้นที่บริเวณนั้นจึงสั่นราวกับแผ่นดินไหวรุนแรงไปด้วย

เซียวเฟิงยังคงไม่ตอบคำถามใด ๆ เขาเพียงยิ้มอย่างมีความสุขและพูดกับตนเอง “ดูเหมือนว่าโฮลี่ไลท์จะใช้งานกับบอสระดับเทพเจ้าได้แฮะ ถ้าเป็นแบบนี้ล่ะก็ ขอเวลาไม่กี่นาทีฉันจะต้องฆ่ามันได้แน่!”

แต่ในวินาทีต่อมา เซียวเฟิงก็เหมือนโดนโลกกลั่นแกล้งอีกครั้ง

[ผลของ ‘กลิ่นอายอันเดธ’ ของผู้คุ้มกันประจำเมืองแห่งความโศกเศร้า ท่านสูญเสียพลังชีวิต 100 หน่วยต่อวินาที]

[พลังชีวิตของท่านลดลงเป็น 2 เท่าเนื่องจากท่านเป็นธาตุศักดิ์สิทธิ์]

เลขแสดงความเสียหายปรากฏขึ้นบนหัวของเซียวเฟิงทันที

-200!

-200!

“เวรเอ้ย!”

เขาถึงกับผงะ สกิลกลิ่นอายอันเดธนั้น เขาเคยโดนมาตั้งแต่ตอนสู้กับราชากระดูกทองคำแล้ว มันเป็นสกิลประเภทสร้างความเสียหายกับพลังชีวิตโดยตรง แต่บางทีน่าจะเป็นเพราะราชากระดูกทองคำมีระดับต่ำกว่า ผลของสกิลจึงไม่รุนแรงนัก ครั้งนี้พอเจ้าของสกิลเป็นผู้คุ้มกันประจำเมือง มันจึงทำให้เซียวเฟิงเสียพลังชีวิตวินาทีละ 100 หน่วยเช่นนี้

ที่แย่ยิ่งกว่าก็คือ เพราะเซียวเฟิงเป็นธาตุศักดิ์สิทธิ์ ผลของการลดพลังชีวิตจึงรุนแรงเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่า

และด้วยการลดลองของพลังชีวิตอย่างรวดเร็ว กว่าเซียวเฟิงจะรู้ตัว พลังชีวิตของเขาก็เกือบจะหมดแล้ว

ทั้งพลังชีวิตและมานาที่สูงถึง 700 หน่วยของเซียวเฟิง ลดหายราวกับหลอดที่ใช้เก็บทั้งสองค่านั้นมีรอยรั่ว และเมื่อเขาเพิ่งจะใช้โฮลี่ไลท์ไป ดังนั้นชายหนุ่มจึงจำเป็นต้องรอคูลดาวน์ก่อน ในส่วนของน้ำศักดิ์สิทธิ์และน้ำแห่งการชำระล้าง ทั้งสองแม้จะเพิ่มพลังชีวิตได้แต่มันก็ไม่พออยู่ดี เต็มที่ก็ทำให้เขาสามารถอยู่ต่อได้ไม่เกิน 1 วินาทีอยู่ดี

“เดี๋ยวก่อน ไม่…”

เซียวเฟิงร้องออกมาเพราะรู้ดีว่าครั้งนี้มันจบสิ้นแล้ว ระยะสกิลของกลิ่นอายอันเดธนั้นค่อนข้างกว้างขวางอยู่ เขาไม่สามารถวิ่งออกมาทันแน่ ๆ ทุกอย่างมันมืดลงหลังจากที่ทั้งพลังชีวิตและมานาของเขาไม่เหลืออีกแล้ว

[พลังชีวิตของท่านหมด ท่านเสียชีวิตแล้ว ต้องการที่จะกลับไปยังจุดวาร์ปที่ใกล้ที่สุดหรือไม่?]

เขาเลือก ‘ใช่’ ขณะตอบกลับเสียงระบบ จากนั้นร่างของเขาก็ไปปรากฏที่เมืองหรี่ลั่วด้วยสีหน้ามืดมน

“ไอ้เจ้าบอสระดับเทพเจ้านั่นแข็งแกร่งจริง ๆ แฮะ ไม่เพียงแต่ฉันจะพลาดไม่ได้อาร์ติแฟคท์จากมัน แต่ยังพลาดท่าตายครั้งแรกเพราะมันไปด้วย ไหนจะเสียค่าประสบการณ์ 20 แต้มกับปลอกแขนอีก”

ทุกสิ่งอย่างที่เขาบ่นนั้นคือต้นเหตุที่ทำให้เซียวเฟิงอารมณ์เสีย แน่นอนว่าเขาไม่ยอมปล่อยเรื่องนี้ไปโดยที่ยังไม่ได้แก้แค้นแน่ ๆ ครั้นพอคิดถึงเรื่องที่ว่าตัวเขายังไม่เหมาะที่จะสู้กับบอสตนนั้นโดยตรง เซียวเฟิงก็มุ่งหน้าไปหากัปตันโบลตันแทนเพื่อขอความช่วยเหลือ

กัปตันโบลตันเองก็เป็นบอสระดับเทพเจ้าเลเวล 30 เช่นกัน และเขาน่าจะสามารถสู้ได้อย่างสูสีกับผู้คุ้มกันประจำเมืองแห่งความโศกเศร้าตัวนั้น ด้วยความช่วยเหลือของเซียวเฟิงจากด้านหลัง กัปตันโบลตันจะต้องเอาชนะบอสได้แน่ ๆ ยิ่งไปกว่านั้น โฮลี่ไลท์ของเขาเองก็รุนแรงพอตัว ดังนั้นเรื่องนี้ไม่ใช่ปัญหาอยู่แล้ว แต่ปัญหามันกลับไปอยู่ตรงที่ เขาจะทำยังไงเพื่อให้กัปตันโบลตันไปช่วยสู้ในครั้งนี้ได้ต่างหาก!

จากรายละเอียดปาร์ตี้ ซูถิงถิงสามารถรู้ได้ว่าเซียวเฟิงถูกฆ่าไปแล้ว และภายในไม่กี่วินาทีต่อมา เธอก็ปรากฏตัวข้าง ๆ เซียวเฟิงด้วยใบวาร์ป

“อาจารย์ถูกฆ่าเหรอ ? หรือว่านี่จะเป็นภารกิจที่ไม่สามารถสำเร็จได้จริง ๆ?”