ตอนที่ 371 จำต้องแยกบ้าน / ตอนที่ 372 ความสามารถของตนเอง

คู่มือเศรษฐีของหมอหญิงบ้านนา

ตอนที่ 371 จำต้องแยกบ้าน

เมื่อได้ยินเจ้าใหญ่ร้องเรียก สตรีสามคนในเรือนก็ออกมาพร้อมกันในทันที

หญิงชรากล่าวทักทายหัวหน้าหมู่บ้านว่า “ยังเช้าอยู่เลย กินข้าวมาหรือยัง”

หัวหน้าหมู่บ้านโบกมือ “กินหรือยังไม่ใช่เรื่องเร่งด่วน จัดการเรื่องของราชสำนักให้เสร็จสิ้นเร่งด่วนกว่า มา นี่เป็นหนังสือยืนยันเข้าร่วมกองทัพ พวกเจ้าลงนามเรียบร้อยแล้วจะไม่อาจเปลี่ยนใจได้อีก เพราะฉะนั้นพวกเจ้าพิจารณาอีกครั้งก่อนจะลงนามก็ได้”

หลิวซื่อรีบรับหนังสือมา ก่อนจะส่งให้หญิงชราอย่างรวดเร็ว “ท่านแม่ ยังต้องพิจารณาอะไรกันอีก ท่านรีบลงนามเถอะ”

หญิงชรามองเจ้ารองที่เงียบเชียบอยู่ด้านข้างครั้งหนึ่ง ในใจนางคิดว่าในเมื่อเจ้ารองยืนกรานจะแยกบ้าน ไม่คิดจะเลี้ยงดูหญิงชราอย่างนางอีกต่อไป เช่นนั้นแล้วก็ให้เขาจากไปตอนนี้ รับเงินยี่สิบตำลึงมาก่อนค่อยว่ากันดีกว่า

นางยื่นมือไปรับหนังสือที่หลิวซื่อส่งมาให้ หัวหน้าหมู่บ้านจึงถามว่า “พวกเจ้าจะให้ใครไปรึ”

หลิวซื่อยิ้มกล่าว “ย่อมต้องเป็นเจ้ารองกับฟู่กุ้ย เดิมทีเจ้าใหญ่ของข้าก็อยากไป ทว่าอาการบาดเจ็บที่ขาของเขายังไม่หายดี ไม่ค่อยสะดวกเท่าไรนัก ต้าเป่าก็ใกล้จะแต่งงานแล้ว ยิ่งไปไม่ได้ใหญ่ ส่วนเสี่ยวเฟิงยังต้องเรียหนังสือ ไม่อาจสิ้นเปลืองเวลาไปได้ ท่านว่าข้าพูดถูกหรือไม่”

หัวหน้าหมู่บ้านยิ้มเจื่อนๆ พลางผงกศีรษะ ก่อนจะชำเลืองมองไปทางเจ้ารอง เขาถอนใจเงียบๆ เสียงหนึ่ง ทีแรกก็เป็นเจ้าสาม ต่อมาเป็นจ้าวหลาน คราวนี้ถึงตาเจ้ารองแล้ว

เขาพูดกับหญิงชราว่า “ในเมื่อเจ้ารองกับฟู่กุ้ยต้องการร่วมกองทัพ เช่นนั้นพวกเขาก็ต้องเป็นคนลงนามบนหนังสือฉบับนี้”

ในหัวของหลิวซื่อมีแต่เรื่องเงิน ใครจะเป็นคนลงนามจึงไม่มีความแตกต่างกันสำหรับนาง “ได้ๆๆ เช่นนั้นก็ให้พวกเขาลงนาม ส่วนเงินก็มอบให้ข้า”

หลิวซื่อยื่นมือไปหาหัวหน้าหมู่บ้าน ขณะหัวหน้าหมู่บ้านกำลังคิดว่าควรมอบเงินให้นางตอนนี้ดีหรือไม่ เจ้ารองก็กินโจ๊กคำสุดท้ายหมดแล้ว

เขาลุกขึ้นยืนจากเก้าอี้ไม้ไผ่ กล่าวกับหัวหน้าหมู่บ้านว่า “ท่านหัวหน้าหมู่บ้าน ข้ากับฟู่กุ้ยจะไม่เข้าร่วมกองทัพ และจะไม่ลงนามอะไรทั้งสิ้น ใครอยากเข้าร่วมก็ให้ผู้นั้นลงนาม อีกอย่าง ข้าคิดจะแยกบ้านจากบ้านใหญ่ รบกวนท่านหัวหน้าหมู่บ้านช่วยข้าจัดการสักหน่อยเถอะ”

หัวหน้าหมู่บ้านชะงักงัน ไม่ใช่ว่าก่อนหน้านี้พวกเขาตกลงกันเรียบร้อยแล้วรึ

เขาพูดกับหลิวซื่อและหญิงชราในทันที “นี่มันอะไรกัน แท้จริงแล้วพวกเจ้าสกุลไป๋มีใครเข้าร่วมกองทัพหรือไม่”

หลิวซื่อรีบยื่นมือไปดันแขนของแม่สามี “ท่านแม่ ท่านรีบพูดเร็ว”

หญิงชรามองเจ้ารอง แววตาของนางเย็นเยียบยิ่งนัก “ตอนนี้ยังไม่ได้แยกบ้านกัน ข้ายังคงเป็นเจ้าของบ้าน ในเมื่อข้าเป็นเจ้าของบ้าน กิจธุระภายในบ้าน ก็ต้องเป็นข้าที่ตัดสินใจ ข้าบอกให้พวกเจ้าไป พวกเจ้าก็ต้องไป”

เจ้ารองหัวเราะเสียงเย็น “อย่างนั้นหรือ เก่งจริงก็พวกท่านก็มัดข้าไปสิ”

หญิงชรารู้สึกร้อนใจ หัวหน้าหมู่บ้านจึงรีบพูดว่า “เรื่องนี้จะบังคับกันไม่ได้ ในเมื่อพวกเขาไม่อยากไป เช่นนั้นก็ช่วยไม่ได้”

หลิวซื่อกล่าวด้วยความร้อนรน “ไม่ได้นะ พวกเราตกลงเรื่องนี้กันแล้ว จะเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาได้อย่างไร”

จางซื่อเดินมาถึงตรงหน้าของหลิวซื่อ ถามเสียงเย็นว่า “ตกลงเรื่องนี้กันแล้ว? ใครตกลงกับเจ้ากัน พวกข้าตกลงแล้วหรือไร เจ้าอยากได้เงินเอง ก็ให้สามีกับบุตรชายของเจ้าไปสิ เหตุใดต้องให้คนอื่นไปเสี่ยงชีวิตแทนด้วย เจ้าคิดว่าตนเองเป็นใคร”

หลิวซื่อโมโหจนตัวสั่น “ทุกคนฟังดูสิ มีอย่างที่ไหนสะใภ้รองพูดจากับสะใภ้ใหญ่เช่นนี้ ในบ้านนี้ยังมีกฎเกณฑ์อยู่หรือไม่”

จางซื่อแค่นหัวเราะ “กฎ? กฎที่พวกเจ้าตั้งขึ้นมาเองน่ะหรือ หลิวกว้าหัว ข้าจะบอกเจ้าให้นะ สามีข้าไม่ใช่เจ้าสาม ข้าเองก็ไม่ใช่จ้าวหลานเช่นกัน ที่จะให้พวกเจ้าคอยออกคำสั่งอยู่ตลอดเวลา”

“การเข้าร่วมกองทัพในครังนี้ ไม่ว่าจะเป็นสามีหรือบุตรชายของข้า ก็จะไม่มีใครไปเข้าร่วมทั้งนั้น พวกเจ้าล้มเลิกความตั้งใจเสียตั้งแต่ตอนนี้เถอะ ส่วนเรื่องแยกบ้าน ไม่ว่าอย่างไรวันนี้ก็จำต้องแยก”

……….

ตอนที่ 372 ความสามารถของตนเอง

ทางสกุลไป๋กำลังวุ่นอยู่กับเรื่องแยกบ้าน ส่วนทางไป๋จื่อกำลังกลัดกลุ้มเรื่องที่หูเฟิงต้องการเข้าร่วมกองทัพ นางรู้สึกไม่สบายใจยิ่งนัก

นางจินตนาการถึงภาพยามที่หูเฟิงจากหมู่บ้านหวงถัวไปเป็นพันเป็นหมื่นรอบ นางรู้สึกว่าตนเองจะต้องโบกมือให้เขาอย่างสง่างามได้แน่ บอกลาเขาเหมือนกับที่ส่งเมิ่งหนานจากไป

ทว่าเมื่อถึงวันนี้แล้ว นางเพิ่งจะรู้ตัวว่าคำพูดที่หูเฟิงกล่าวกับนาง แตกต่างกับเมิ่งหนานลิบลับ

เมื่อถึงวินาทีที่จะต้องบอกลากันจริงๆ นางถึงจะรู้ว่าตนเองอาลัยอาวรณ์เพียงใด

ไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะเคยชินกับการที่มีเขาอยู่เคียงข้าง หรือด้วยเหตุผลอื่น นางไม่ค่อยเข้าใจนัก และรู้สึกแปลกใจกับความรู้สึกนี้อย่างยิ่ง

“เจ้าเหม่ออะไรอยู่” จ้าวซู่เอ๋อถือกะละมังไม้เข้ามาในเรือน เห็นไป๋จื่อตกอยู่ในภวังค์ที่ข้างเตียง ในมือถือปิ่นปักผมทำจากหยกขนาดกะทัดรัดชิ้นหนึ่งเอาไว้ด้วย

“ปิ่นนี้สวยนัก เจ้าซื้อมาเท่าไรหรือ”

ไป๋จื่อดึงสติกลับมา “เอ๋? เท่าไรน่ะหรือ ข้าเองก็ไม่รู้เหมือนกัน”

จ้าวซู่เอ๋อเป็นคนที่เคยมีประสบการณ์มาก่อน ทันทีที่เห็นเด็กสาวหน้าแดงเถือกเช่นนั้น นางจะยังไม่เข้าใจอะไรได้อีก จึงยิ้มกล่าวในทันที “คงจะเป็นหูเฟิงแน่ สายตาของเขาเฉียบแหลมจริงๆ”

เด็กสาวซ่อนปิ่นปักผมในมือไว้ในอกเสื้อ ใบหน้าร้อนฉ่าขึ้นเรื่อยๆ “อย่าพูดมั่วเลยเจ้าค่ะ!”

หลังจากเช็ดหยดน้ำบนมือ จ้าวซู่เอ๋อก็เดินไปนั่งข้างๆ ไป๋จื่อ แล้วจับมือของเด็กสาวไว้ “อาจื่อ เหตุใดเจ้าไม่โน้มน้าวอาเฟิง เรื่องที่เขาจะเข้าร่วมกองทัพสักหน่อยเล่า อายุของเขาก็ไม่น้อยแล้ว ควรจะแต่งงานได้แล้วกระมัง ส่วนปีนี้เจ้าก็อายุสิบสาม ปีหน้าไม่ใช่ว่าอายุสิบสี่แล้วหรือไร แม้สตรีแคว้นฉู่อย่างพวกเราจะออกเรือนได้หลังจากปักปิ่น[1] แต่ก็มีสตรีหลายคนที่แต่งงานตั้งแต่อายุสิบสี่ปี ไม่มีอะไรที่ไม่…”

ไป๋จื่อรีบขัดจังหวะนาง “พี่สะใภ้ ท่านพูดอะไรของท่าน ยิ่งพูดยิ่งเลอะเลือน ระหว่างข้ากับหูเฟิงมีแต่มิตรภาพของพี่น้อง ไม่ได้ซับซ้อนเช่นที่ท่านคิด แต่งงานเมื่ออายุสิบสี่สิบห้าอะไรกัน ข้าไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้เลยด้วยซ้ำ ตอนนี้ข้าเพียงอยากใช้ชีวิตอยู่อย่างสงบกับท่านแม่ที่หมู่บ้านแห่งนี้ ไม่เคยคิดเรื่องอื่นทั้งสิ้น”

จ้าวซู่เอ๋ออยู่ร่วมกับไป๋จื่อมาหลายวันแล้ว แล้วนางจะไม่เข้าใจความคิดของเด็กสาวได้อย่างไร นางถอนใจเสียงหนึ่ง ก่อนจะกล่าวว่า “อาจื่อ ไม่ใช่ว่าข้าต้องการราดน้ำเย็นใส่เจ้านะ ข้าอายุมากกว่าเจ้า จึงมีประสบการณ์มากกว่าเจ้านัก หมู่บ้านหวงถัวแห่งนี้ดูแล้วห่างไกล ตัดขาดจากโลกภายนอก แต่กลับไม่ใช่ดินแดนในอุดมคติอะไร ความคิดของเจ้าใช่ว่าจะไม่ดี แต่มันก็ไม่อาจจะเป็นไปตามที่เจ้าหวังไว้ก็ได้”

สิ่งที่จ้าวซู่เอ๋อพูด ไป๋จื่อเองก็เคยคิดคำนวณมาก่อน โดยเฉพาะหลังจากโดนกู้เฟิงคังโบยไปสามไม้

ในโลกใบนี้ ไม่ว่าจะอยู่บนแผ่นดินในการปกครองของราชสำนัก หรืออยู่บนแผ่นดินที่ห่างไกลจากผู้ปกครองแคว้น กฎหมายไม่มีความสำคัญอะไรกับผู้คนที่มีอำนาจเหล่านั้น มันมีหน้าที่กดอัดชาวบ้านตาสีตาสาอย่างพวกนางก็เท่านั้น

อยากใช้ชีวิตที่สุขสงบไปตลอดชาติ โดยที่แสร้งทำเป็นมองไม่เห็นความจริงตรงนี้ไม่ได้

มีเพียงครอบครองพลังอำนาจที่เป็นของตนเอง ครอบครองอิทธิพลอันเกรียงไกรที่ผู้อื่นไม่กล้าเข้ามาปะทะตามอำเภอใจ ถึงจะสามารถลงหลักปักฐาน ปกป้องตนเองและคนที่ต้องการจะปกป้องได้

ตอนนี้นางเป็นเพียงเด็กสาวชาวบ้านในเขาคนหนึ่ง หากต้องการจะมีอำนาจ ไหนเลยจะเป็นเรื่องง่าย

“พี่สะใภ้ ข้าจะจำคำท่านไว้ เพียงแต่เรื่องพวกนี้ใช่ว่าจะสำเร็จได้ในหนึ่งหรือสองวัน ข้าต้องคิดแผนการในระยะยาวด้วยเจ้าค่ะ”

จ้าวซู่เอ๋อ “ถูกต้อง เรื่องบางเรื่องรีบร้อนไม่ได้ แต่สำหรับเรื่องของหูเฟิง เจ้าจะต้องตัดสินใจให้ดี อย่าให้ผู้ชายดีๆ เช่นนี้จากไป สมรภูมิเป็นสถานที่เช่นไร นั่นเป็นฝันร้ายของอิสตรีเชียวนะ เมื่อบุรุษไปสนามรบแล้ว สตรีที่อยู่ที่บ้านต้องใช้เวลาแต่ละวันไปกับความอกสั่นขวัญแขวน หากไม่ไปได้ย่อมดีที่สุด ถือโอกาสไปโน้มน้าวเขาเสียตั้งแต่ตอนที่เขายังไม่ไป เขาอาจจะยอมไม่ไปก็ได้ ข้ามองออกว่าเขาเป็นห่วงเจ้า”

[1] ปักปิ่น (及笄) เมื่อสตรีจีนในสมัยโบราณเมื่ออายุครบ 15 ปีเต็ม จะเริ่มรวบผมและปักผมด้วยปิ่น ถือเป็นเครื่องยืนยันว่าถึงเวลาอันสมควรที่เหมาะสมจะแต่งงานแล้ว