บทที่ 164 น้องหญิง

คู่ชะตาบันดาลรัก

ฮ่องเต้ก็คือฮ่องเต้เขาดึงตัวเองกลับมาได้อย่างรวดเร็วแล้วถามหยางชูกลับไป “หมิงเชินยังไม่ตายงั้นหรือ ตอนแรกเจิ้นคิดว่าเขาเป็นคนที่มีพรสวรรค์ บุคลิกดี ขัดเกลาอีกนิดหน่อยจะกลายเป็นคนที่มีประโยชน์มากเลยทีเดียว ไม่คิดว่าเขาจะเลวร้ายเพียงนี้”

“กระหม่อมได้ตรวจสอบเรื่องนี้แล้วพะย่ะค่ะ เป็นหมิงเชินอย่างไม่ต้องสงสัย” หยางชูรายงาน “เขามีน้องชายฝาแฝดซึ่งเรื่องนี้ได้รับการยืนยันแล้วพะย่ะค่ะ”

ฮ่องเต้ถอนหายใจ “หนานเซียงโหวมีชื่อเสียงมากในใต้หล้า ไม่คิดว่าลูกหลานของเขาจะไม่เอาถ่านเช่นนี้”

หยางชูตอบ “ถึงหมิงเชินจะมีจิตใจชั่วร้าย พี่น้องคนอื่นสมรู้ร่วมคิดด้วย แต่ใช่ว่าตระกูลหมิงจะไม่มีคนดี หมิงชางน้องชายของเขาและหมิงเฉิงผู้เป็นหลานชาย พวกเขามีส่วนช่วยพวกเราอยู่มากแล้วยังมีบุตรสาว…”

พูดถึงตรงนี้ฮ่องเต้ก็รู้สึกสนใจขึ้นมา “เรื่องที่พวกเจ้าพูดก่อนหน้านี้เหลือเชื่อมาก บุตรสาวของหมิงเชินโง่เขลามาหลายสิบปีไม่เพียงแต่จู่ๆ หายจากอาการป่วย แต่ยังรู้เคล็ดวิชาอีกด้วยในใต้หล้ายังมีเรื่องอัศจรรย์เช่นนี้ด้วยหรือ”

มีเพียงหยางชู อาสวน อาหว่านเท่านั้นที่รู้เรื่องภายในเกี่ยวกับวิญญาณเข้าร่างของหมิงเวย เจี่ยงเหวินเฟิงอาจจะเดาอะไรบางอย่างได้ แต่ไม่ได้ถามในรายละเอียดซึ่งถือว่าเขาเอาใจใส่นางมากเพราะหากเขารู้เรื่องราวภายใน ด้วยจริยธรรมที่เขาพึงมีทำให้เขาต้องรายงานอย่างละเอียด

หยางชูตอบไปว่า “เป็นความจริงพะย่ะค่ะ ตามที่นางเล่ามาสาเหตุที่นางเกิดมาโง่เขลานั้นเป็นเพราะสูญเสียจิตวิญญาณ แต่เนื่องจากมารดาของนางสวดมนต์ต่อเสวียนหนี่เหนียงเหนียงทุกคืน สวรรค์เห็นถึงความจริงใจ จิตวิญญาณของนางจึงถูกเสวียนหนี่เหนียงเหนียงรับมาไว้และถ่ายทอดเคล็ดวิชาให้แก่นาง”

ฮ่องเต้เคยเห็นเคล็ดวิชามาก่อนเจ้าสำนักของเสวียนตูกวันเป็นราชครูในราชวงศ์นี้ ได้ยินว่าตอนที่ไท่จู่บุกเข้ายึดอำนาจด้วยกองกำลังนั้น เขาได้สร้างคุณงามความดีมาไม่น้อย เมื่อได้ยินเรื่องนี้เขาจึงไม่สงสัยอะไรได้แต่ถอนหายใจ “นางจี้เป็นมารดาที่รักลูกจริงๆ ช่างน่าเสียดาย”

แล้วถามเขาอีกว่า “นางจี้ผู้นี้มีความเกี่ยวข้องกับตระกูลจี้ที่เกือบถูกทำลายในตงหนิงใช่หรือไม่”

หยางชูตอบว่า “นางจี้เป็นคนจากตระกูลนี้พะย่ะค่ะ”

ฮ่องเต้พยักหน้า “ไม่แปลกใจเลยตระกูลจี้แข็งแกร่งมากน่าเสียดายที่โชคไม่ดีเกือบถูกพวกก่อความวุ่นวายกวาดล้างตระกูลแล้วตอนนี้ตระกูลนี้ยังมีคนทำราชการอยู่หรือไม่”

“มีพะย่ะค่ะ จี้ชู พี่ชายของนางจี้ตอนนี้เป็นอาจารย์อยู่ที่กั๋วจื่อเจียน”

แน่นอนว่าฮ่องเต้จำขุนนางเล็กๆ เช่นนั้นไม่ได้หรอก แต่กั๋วจื่อเจียนเป็นสถาบันการศึกษาชั้นหนึ่งการที่ได้เป็นอาจารย์ของที่นั่นได้ความรู้จะต้องดีมากอย่างแน่นอน

“ดูเหมือนตระกูลจี้จะไม่ได้ทำให้ธรรมเนียมของบรรพบุรุษผิดหวัง เช่นนั้นก็ดี ทำงานการศึกษาเป็นเรื่องถูกแล้ว” หยางชูรู้สึกโล่งใจที่ได้ยินเช่นนั้น

สิ่งที่ฮูหยินสามได้ประสบนั้นไม่ใช่เรื่องที่ควรเปิดเผยต่อสาธารณะ เรื่องราวของนางควรถูกซ่อนอยู่ในคดี แต่หมิงเวยได้สร้างคุณงามความดีอย่างใหญ่หลวง เมื่อฮ่องเต้ทรงตรัสถามจึงคิดนำความดีความชอบส่วนนี้ไปไว้ที่จี้ชู

เมื่อบอกในสิ่งที่คิดออกไปหมดแล้วหยางชูก็โล่งใจ สามารถรักษาครอบครัวของฉีตงจวิ้นอ๋องเอาไว้ได้ สตรีและเด็กในตระกูลหมิงถูกตัดสินว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องด้วย

ไม่ว่าอย่างไรฮ่องเต้ก็ทรงเป็นเจ้าแผ่นดินผู้มีความเมตตาที่หาได้ยาก

“เรื่องที่เหลือไว้ค่อยคุยกันวันรุ่งขึ้นเถอะ” ฮ่องเต้มองเขาด้วยรอยยิ้ม “หลายวันมานี้ลำบากเจ้าแล้วหากไม่ปล่อยเจ้ากลับไปเกรงว่าสนมเผยจะโกรธข้าได้”

รอยยิ้มจางๆ ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของหยางชู “เป็นสิ่งที่กระหม่อมควรทำแล้วพะย่ะค่ะ”

ฮ่องเต้พูด “ตอนนี้เจ้าโตแล้วสามารถดูแลทุกอย่างได้เป็นอย่างดี แต่เจิ้นก็นึกถึงเจ้าเมื่อครั้นยังเป็นคนไร้แก่นสารอยู่นะ รู้สึกเหมือนเราใกล้ชิดกันมากกว่า”

หยางชูตอบ “กระหม่อมไม่สามารถทำตัวไร้แก่นสารไปตลอดชีวิตได้ ไม่อย่างนั้นท่านย่าที่เสียไปแล้วจะสบายใจได้อย่างไร…” พูดถึงประโยคหลังเสียงของเขาก็เบาลง

ฮ่องเต้นึกถึงพระเชษฐภคินีก็อดเศร้าไปด้วยไม่ได้ “เจ้าที่เป็นเช่นนี้พี่ใหญ่ต้องสบายใจแน่นอน เอาล่ะ กลับไปพักผ่อนเถอะ เรื่องพวกนี้ให้เจี่ยงชิงจัดการ เจ้ากลับไปพักสักสองสามวันค่อยเข้าวังมาพบท่านน้าของเจ้าแล้วกัน”

“เช่นนั้นกระหม่อมขอทูลลา” หยางชูออกจากพระราชวัง เขากระโดดขึ้นขี่ม้า สายตามองพระราชวังที่สูงตระหง่านและเงียบไปชั่วขณะ

………

เมื่อคืนหมิงเวยหลับสบายมากนางตื่นขึ้นในตอนเช้าอาบน้ำให้ร่างกายสดชื่นแล้วพาตัวฝูออกไปทานมื้อเช้า เมื่อมาถึงห้องโถงพบว่าเหล่ารุ่นเยาว์มากันครบแล้ว

จี้เสียวอู่ก้มหัวลงแล้วเขาก็ถูกหลานสาวหัวเราะใส่ “ท่านอาเขิน บวมๆ!”

ใบหน้าอันหล่อเหลาบอบบางของเขานั้นตรงหน้าผากบวมปูด ซึ่งจี้หลิงกำลังทายาดองให้เขา จี้เสียวอู่เจ็บจนต้องกัดฟันแน่น แต่ก็ยังตีฝีปากกับหลานสาว

“โทษท่านพ่อของเจ้าเลยเขาทำให้ข้าตกลงมา!”

พอพูดจบจี้หลิงก็ออกแรงกดจนจี้เสียวอู่กระเด้งตัวขึ้นร้อง ‘โอ้ย’

เสี่ยวจู่เอ๋อร์ที่ถูกอีกฝ่ายทำท่าตลกใส่ก็หัวเราะพอหันหน้าไปอีกทางก็เห็นหมิงเวยเดินเข้ามาจึงชูมือตะโกนขึ้นว่า “ท่านอาหญิง!”

จี้เสียวอู่คิดในใจท่านพี่กลับมาเยี่ยมบ้านหรือ เมื่อเขาเงยหน้าขึ้นมองภาพที่เห็นกลับไม่ใช่พี่สาวคนใดคนหนึ่งในสองคนของเขา

แม่นางผู้นั้น…เขากะพริบตา

เสียงของพี่สะใภ้ดังขึ้น “เสียวอู่ นี่คือลูกพี่ลูกน้องของเจ้า เมื่อคืนวานเจ้ากลับมาช้าเลยไม่ได้พบกัน”

หมิงเวยทำความเคารพเขา “คารวะพี่ห้าเจ้าค่ะ”

จี้เสียวอู่กลับไม่ตอบรับอะไร ดวงตาของเขาจ้องไปที่นางตรงๆ ไม่แม้แต่จะกะพริบตา จี้หลิงเห็นเขาทำตัวไม่ปกติจึงผลักรอยบวมที่หน้าผากของเขา

“น้องหญิงเรียกเจ้า!”

จี้เสียวอู่กระโดดขึ้นร้อง ‘โอ้ย’ อีกครั้งแล้วชี้ไปทางหมิงเวยจากนั้นก็ตะโกนขึ้นมาว่า “ท่านพี่! ผู้ที่ข้าพบเมื่อคืนเป็นนาง นางหลอกให้ข้าปีนเชือก!”

จี้หลิงตบหน้าผากของเขาดัง ‘ป้าบ’ จี้เสียวอู่กุมหน้าผากที่บวมปูดพลางหดตัวกลับ พี่ชายของเขาช่างไร้มนุษยธรรมพอมีน้องสาวแล้วก็ไม่คิดมองน้องชายของตนเองในฐานะมนุษย์อีก!

จี้หลิงดุเขา “เจ้ายังกล้าพูดจาไร้สาระอีก! เห็นได้ชัดว่าเจ้าเมากลับมาถึงได้ทำเรื่องไม่เข้าท่าเช่นนั้นไปยังจะมาโทษน้องของเจ้าอีก”

จี้เสียวอู่ประท้วง “ข้าไม่ได้เมานะ! ข้าแค่ดื่มเหล้าผลไม้ไปสองแก้วเอง ไม่เมาเลยสักนิด!”

“ไม่เมาแล้วเจ้าไปปีนกำแพงทำอะไรบ้าๆ อย่างนั้นกลางดึกทำไม” จี้หลิงไม่เชื่อเลยสักนิด

จี้เสียวอู่อยากจะร้องไห้อันที่จริงเมื่อคืนวานฤทธิ์เหล้าทำให้เขาเกิดอาการบ้าไปหน่อย แต่เขาก็ยังมีสติอยู่! เขาจำเหตุการณ์เมื่อคืนได้อย่างชัดเจน ลูกพี่ลูกน้องของเขาคนนี้ขุดหลุมให้เขากระโดดลงไปทำให้เขาจมอยู่กับความสับสนงุนงงปีนเชือกที่แขวนอยู่ใต้กระถางต้นไม้ จากนั้นเขาก็ตกใจกับเสียงตะโกนของพี่ชายจนล้มลงกับพื้น

จี้หลิงหมุนตัวพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “น้องหญิง เจ้าอย่าถือสาเขาเลยนะ เขาเป็นคนบ้าๆ บอๆ เช่นนี้แหละ”

หมิงเวยยิ้ม “จะเป็นเช่นนั้นได้อย่างไรเจ้าคะ เมื่อคืนพี่ห้ากลับดึกคงจะตาลาย!”

จี้เสียวอู่มองนางอย่างไม่อยากจะเชื่อ น้องหญิงคนนี้งดงามดั่งเทพธิดา แต่ทำไมถึงพูดจาโกหกออกมาเล่า!

ในตอนนั้นเองนายท่านจี้กับฮูหยินจี้ก็มาถึง เหล่าเด็กรุ่นเยาว์ลุกขึ้นกล่าวทักทาย นายท่านจี้เห็นสภาพของจี้เสียวอู่ก็เลิกคิ้วจากนั้นก็พูดต่อว่า “ดูสภาพเจ้าสิ! เมื่อวานบอกเจ้าไปแล้วว่าลูกพี่ลูกน้องของเจ้าจะมาหา ทำไมถึงกลับดึกขนาดนั้น ตอนนี้จะมาเรียกร้องอะไรอีก มารยาทสักนิดก็ไม่มี”

จี้เสียวอู่ตะโกนเรียกบิดาด้วยความรู้สึกไม่ได้รับความเป็นธรรมคิดจะฟ้องร้องแต่พออ้าปากก็ต้องข่มกลั้นเอาไว้

ช่างเถอะ ขนาดพี่ใหญ่ยังไม่เชื่อเขาจะหวังอะไรให้บิดาเชื่อเขากัน เมื่อคิดถึงตรงนี้เขามองหมิงเวยด้วยแววตาข้องใจ

นายท่านจี้รู้สึกรำคาญมากขึ้น “เจ้ามองนางด้วยแววตาเช่นนั้นหมายความว่าอย่างไร ทักทายน้องของเจ้าหรือยัง”

ต่อหน้าบิดา จี้เสียวอู่ไม่กล้าดื้อรั้นขัดขืนเขาจึงระงับความคับข้องใจและคารวะให้หมิงเวยแบบขอไปทีเรียกหมิงเวยด้วยสีหน้าเศร้าสร้อย

นายท่านจี้อยากจะดุเขา แต่ฮูหยินจี้รู้นิสัยของบุตรชายตัวเองดี หากสามีของตนดุด่าเขาต่อไปเกรงว่าคงไม่ต้องทานข้าวกันแล้วนางจึงพูดออกไปว่า “เอาล่ะๆ ทานข้าวกันก่อนเถอะ! ท่านพี่ท่านต้องรีบไปสอนไม่ใช่หรือ ส่วนเสียวอู่ต้องรีบไปเข้าเรียนอีกด้วย!”

นายท่านจี้ยอมปล่อยผ่านไปแล้วพูดด้วยสีหน้านิ่งๆ ว่า “ทานข้าว!”

……………………